ตอนที่ 124 สถานการณ์ที่ทุกคนคาดไม่ถึงล่ะ!

บันทึกการเดินทางของคุณแวมไพร์ล่ะ

“อ้ากก! ยัยปีศาจ! เป็นแกเองสินะที่มีความคิดชั่วๆกับตระกูลมิดเดอร์เรียของพวกเราน่ะ!”

สิ้นเสียงวู่หยาน ก็ราวกับเวลาได้ถูกหยุดไว้

ลูลู่อึ้งไป ใบหน้ามีความสุขของเธอแข็งค้าง โดยไม่รู้ว่าทำไมวู่หยานถึงพูดแบบนี้

เฟยเฟยเองก็อึ้งไปเหมือนกัน เธอเองก็ไม่รู้ทำไมอยู่ๆมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ นี่ทำให้เธอพูดไม่ออก

เกรย์อึ้งไป ก่อนจะรู้สึกกังวล วู่หยานนี่เขาไม่รู้หรือไงว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่น่ะ? แต่สิ่งหนึ่งเกรย์มั่นใจคือคำพูดของวู่หยานได้ไปยั่วยุอีกฝ่ายอย่างแท้จริง

เทียนเกอร์สตัน จากนั้นเขาก็หุบยิ้มแล้วเงียบไป ทว่าในใจมันมีหนึ่งความคิดผุดขึ้นมา นั้นก็คือไอ้เด็กเปรตนั่นตายแน่…….

ฮิวจ์อึ้งไป ก่อนจะโยนสีหน้าไม่แยแสทิ้ง แล้วหันไปมองวู่หยานด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร

ฮินางิคุ มิโคโตะ และ ลิลิน แม้แต่ อิคารอสเองก็อึ้งไปเหมือนกัน ถึงแม้พวกเธอจะตัวติดอยู่กับวู่หยานแทบจะตลอดเวลา แต่พวกเธอก็ไม่เคยเขาด่าอะไรแบบนี้เลย

ทุกๆคนต่างก็อึ้งไป ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมชายหนุ่มที่เมื่อหลายวันได้โชว์พลังที่เหนือกว่าสยบผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างถึงได้อารมณ์เสียแบบนี้ แต่พวกเขารู้ว่าการไปท้าทายตระกูลโลลิ ต่อให้เขาแข็งแกร่งขนาดไหนก็ต้องตาย! เว้นเสียแต่ว่าเขาเป็นแรงค์9!

แต่ว่า…มันเป็นไปได้เหรอ?

อย่างน้อย ชาวเมอืงที่ยืนอยู่ที่นี่ไม่มีใครเชื่อสักคน ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าวู่หยานนั้นหลงตัวเอง เขาคงคิดว่าตัวเองนั้นไร้เทียมทานเพียงเพราะสามารถล้มผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างสุนัขเหล็กได้……..

ผ่านไปชั่วครู่ ลูลู่ก็ยังคงไม่หายช็อคจากการที่ ‘เพื่อน’ ของเธอเรียกตนเองว่า ‘ปีศาจ’ ทำให้ในใจเธอเหมือนมีกองไฟกองใหญ่ลุกใหม้

ลูลู่ ยกมือมาเท้าเอว แล้วแอ่นหน้าอกขึ้น ส่งผลให้ภูเขาอันอุดมสมบูรณ์ของเธอเด้งขึ้นๆลงๆแทบจะทำให้ตาฮินางิคุกับมิโคโตะบอด ลูลู่ไม่ได้สังเกตถึงสายตาของพวกเธอ ขณะนี้เธอกำลังชี้นิ้วไปที่วู่หยาน แล้วพูดประท้วงกลับไปว่า

“ใครเป็นปีศาจกันยะ! ส่วนไหนของฉันกันที่มันไปเหมือนปีศาจ!”

วู่หยานฉีกยิ้มเยาะเย้ย โบกมือป่อยๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ลูลู่ แล้วพูดด้วยสีหน้าชอบธรรม “งั้นเธอช่วยบอกฉันหน่อยสิว่า ส่วนไหนของเธอที่ไม่เหมือนปีศาจน่ะ?”

“คุณหนูคนนี้มีตรงไหนกันที่เป็นปีศาจ! ฉันเป็นมนุษย์ของแท้ยะ!” ลูลู่พูดประท้วงกลับไปด้วยความโกรธ

ได้ยินคำพูดเธอ อยู่ๆวู่หยานก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง ไม่เพียงแต่เขา แต่รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ที่นี่

เฮ้ๆสาวน้อย ไม่ใช่ว่าเธอปฏิเสธผิดที่หรอกเหรอ? ในที่นี้ไม่มีใครสักคนหรอกที่สงสัยว่าเธอไม่ใช่มนุษย์น่ะ…….

วู่หยานยิ้มนขึ้นมาอย่างอึดอัด แล้วยักไหล่ตอบ “ก็ได้ งั้นถ้าเธอเป็นมนุษย์…..”

“ไอ้ ‘ถ้า’ นั่นมันอะไรกันห๊ะ?! ฉันเป็นมนุษย์! มนุษย์จริงๆนะยะ!” ยังไม่ทันที่วู่หยานจะพูดจบประโยค ลูลู่ก็พูดเถียงขึ้นมาทันควันเสียงดัง ราวกับว่าคำว่า ‘ปีศาจ’ จะเป็นการดูถูกเธออย่างแรงยังไงยังงั้น

วู่หยานไอแห้งๆ แล้วพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “งะ..งั้นคุณ ‘มนุษย์’ คนนี้คิดจะมาทำลายตระกูลมิดเดอร์เรียงั้นเหรอ?”

“ใครคิดกันยะ…..” ลูลู่บุ้ยปาก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “ฉันไม่ใช่คนชอบออกมาหาเรื่องรังแกคนอื่นนะ เป็นเจ้านั่นต่างหาก ที่ตื้อให้ฉันมาน่ะ!”

จากนั้น เธอก็ชี้นิ้วที่เรียวงามราวกับหยกไปที่เทียนเกอร์ที่กำลังทำหน้าอึ้งๆ ลูลู่โยนขี้ให้เขาเฉย แถมยังพูดด้วยสีหน้าชอบธรรมราวกับว่าตัวเองโดนบังคับมา

ใบหน้าจริงจังของวู่หยานพังทลาทันที เขากรอกตาใส่ลูลู่ แล้วพูดว่า “ที่นี่ไม่ใช่ว่าเธอใหญ่สุดรึไง? แล้วเล่นไปป้ายสีให้คนอื่นเนี่ยนะ ทำไมไร้ความรับผิดชอบแบบนี้นะ……”

“อะไรอ่ะ! ก็มันเป็นเรื่องจริงนี่!” ลูลู่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ฉันเองก็ไม่ได้อยากมารังแกคนอื่นหรอกนะ!”

“ถ้างั้น แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่ล่ะ?” วู่หยานมองลูลู่ด้วยสีหน้าสงสัย นี่เป็นคำถามที่อยู่ในใจเขา เขายอมรับเลยว่าตัวเองนึกเหตุผลที่ทำให้เธอมาที่นี่ไม่ออกเลยจริงๆ

ลูลู่ที่เดินนำคนอื่นมาหาเรื่องตระกูลมิดเดอร์เรียเหรอ? เหอะๆคิดยังไงก็นึกภาพไม่ออกวะ……..

ไม่ใช่วู่หยานดูถูกเธอ เอาจริงๆนะ อย่าว่าแต่พาคนมาหาเรื่องคนอื่นเลย เขายังคิดเลยว่าถ้าสักวันหนึ่งเธอโดนขายออกไป เขาว่าแม้แต่เส้นผมซักเส้นของยัยบื้อนี่ก็คงหาไม่เจออ่ะ…….

ทว่าคำพูดต่อมาเพียงแค่5คำของลูลู่ ก็ทำให้วู่หยานนิ่งอึ้งไป แล้วยังทำให้คนอื่นๆช็อคด้วย

“ฉันแค่เดินผ่านมาน่ะ……” (@คำพูดนี้มันคุ้นๆนะว่ามั้ย (ฮา) ใครนึกไม่ออก ลองกลับไปดูตอน7ไม่ก็8ดูนะ)

“……….” วู่หยานพูดไม่ออก มองหน้าลูลู่ชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจ “อ่า ถ้างั้นคุณคนที่ผ่านมา ไม่ทราบว่ามาทำอะไรที่นี่กันครับ?”

ได้ยินคำถามของวู่หยาน ลูลู่ก็อธิบายให้วู่หยานหมดเปลือก ไม่ว่าจะเป็นที่อีกฝ่ายดูแลพวกเธออย่างดี และความลำบากใจที่จะปฏิเสธ เธอพูดน้ำไหลไฟดับราวกับว่าตัวเองคับอกคับใจมานานแล้วได้เจอคนที่สามารถระบายได้ นี่ทำให้วู่หยานเหงื่อแตก แล้วยังทำให้เขามั่นใจกับความคิดก่อนหน้านี้มากขึ้นด้วย

ถ้าวันหนึ่งเธอโดนขายออกไปจริงๆ เขาว่ายัยนี้ก็คงยังบื้อไปนั่งนับเงินให้ไอ้คนที่ขายตัวเธอแน่ๆอ่ะ จริงแท้แน่นอน มั่นใจได้เลย,,,,,,,,,

ส่วนใกล้ๆกันเทียนเกอร์ยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งน่าเกลียด อย่างแรกโดยไม่ต้องสนใจบรรยากาศหวานของยัยคุณหนูปากไม่มีหูรูดกับไอ้เด็กนรกนี่ เอาแค่การที่เธอสาธยายออกไปนั้นก็ทำเขาอับจนหน้าร้อนยังกับไปแล้ว

ในบาฮาลนี้ เขาถือว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เรื่องที่เขาไปขอความช่วยเหลือจากคนนอกได้เผยออกมาให้คนในเมืองนี้รู้แล้ว……

ขณะเดียวกันเห็นสีหน้าท่าทางที่วู่หยานกับลูลู่คุยกันราวกับว่าเป็นเพื่อนสนิท ก็ยิ่งทำให้เทียนเกอร์เกิดลางสังหรณ์อัปมงคลขึ้น

ใกล้ๆกัน ฮิวจ์เองก็เกิดลางสังหรณ์อัปมงคลขึ้นด้วยเหตุผลที่ต่างกัน เมื่อเห็นวู่หยานดูสนิทกับลูลู่มาก ยิ่งมองเขาก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น โดยไม่มีที่ท่าว่าจะคลายลงเลย

หลังจากฟังคำอธิบายชองลูลู่ วู่หยานก็เข้าใจ ลูลู่แค่ผ่านมาทางมาพักที่เมืองนี้ แล้วเทียนเกอร์มันก็พยายามเอาอกเอาอกใจทุกอย่าง แล้วเมื่อทุกอย่างถึงจุดอิ่มตัว มันก็มาเอ่ยปากขอร้อง เธอที่ยากปฏิเสธได้จึงโดนลากมายุ่งกับเรื่องนี้

“หรือก็คือ เธอหลอกมาสินะ!” วู่หยานเอามือจับคางแล้วพูดออกมาด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“ใช่แล้วๆ!” ลูลู่พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะหยุดไปเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก จากนั้นเธอก็รีบส่ายหัวรัวๆ “ไม่ๆ ไม่ใช่สิ ฉันไม่ได้โดนหลอกนะ เอ๊ะไม่สิ….โดนหลอก…อืม ก็ไม่ใช่อีก งือออ งงไปหมดแล้วง่า…..”

มองดูสีหน้ากังวลของลูลู่ที่กำลังพยายามเค้นสมองคิด ทำให้ผู้คนรอบๆหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความแปลกใจและความสุข เมื่อพวกเขารู้ว่าคุณหนูจากตระกูลที่ทรงอำนาจที่พวกเขากลัวนักกลัวหนาที่แท้แล้วก็เป็น สาวนายที่น่ารักถึงขนาดนี้

แน่นอนส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะวู่หยานตั้งใจใช้คำพูดที่ชวนให้งง ยิ่งเป็นสาวเบ๊อะๆอย่างลูลู่แล้วก็ยิ่งได้ผล,,,,,

“ฉันว่าทางที่ดีเธออย่าไปคิดมากดีกว่า แค่ยอมรับมาว่าตัวเองโดนหลอกมาก็จบแล้ว!” วู่หยานพูดใส่ลูลู่ด้วยสีหน้ายิ้มๆ

“ฮึ่ม ใครจะไปยอมแพ้กันล่ะ…..” ลูลู่ย่นจมูกน้อยๆของเธอ “ฉันไม่ยอมรับหรอกนะว่าตัวเองโดนหลอก แบบนี้ก็เหมือนบอกว่าฉันโง่เลยสิ”

วู่หยานได้ยินแบบนี้ ก็ขำก๊ากทันที “ไม่ใช่แค่เหมือนนะ แต่เธออ่ะโง่ของแท้เลย!”

“นายสิโง่!” ลูลู่เถียงเสียงดังด้วยความไม่พอใจ

ทั้งสองคนเถียงกันไปมาราวกับว่าที่นี่มีเพียงแค่พวกเขาสองคน แถมยังไม่มีใครออกไปหยุดด้วย

แล้วจะให้ออกไปหยุดยังไงล่ะ? ไม่ว่าจะดูยังไงทั้งสองคนก็สนิทกันดีออก แถมถึงจะดูเหมือนเถียงกันอยู่ แต่มันก็ไม่มีบรรยากาศที่ตึงเครียดเลยแม้แต่น้อย

แล้วการที่วู่หยานพูดใส่ไปขนาดนั้น แต่คนของตระกูลโลลิกลับไม่มีใครออกไปทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

มีเพียงแค่เฟยเฟยที่หัวเราะออกมาด้วยความเหนื่อยใจ เป็นเพราะเธอได้เห็นฉากนี้แทบทุกวันเมื่อตอนที่พวกเธอยังอยู่เมืองท่า

เฟยเฟยไม่ได้พูดอะไร เพราะถึงแม้ดูเหมือนลูลู่จะโดนวู่หยานรังแกอยู่ แต่เธอที่อยู่กับลูลู่มาตั้งแต่เด็กทำไมจะดูไม่ออก ถึงลูลู่จะทำท่าเหมือนไม่พอใจแต่จริงๆแล้วเธอมีความสุขกับการได้พูดคุยแบบนี้กับวู่หยานมาก

คนอื่นจะคิดยังไงวู่หยานกับลูลู่ย่อมไม่รู้ ทั้งสองรู้เพียงแค่ว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกดีใจที่ได้กลับมาทะเลาะกัน เถียงกันไปมาแบบนี้อีกครั้ง เพราะพวกเขารู้ว่าตอนนี้ความรู้สึกเดิมๆที่มันได้หายไปเมื่อหลายเดือนก่อนได้กลับมาอีกครั้งแล้ว

ตอนนี้เอง เกรย์ก็ได้สติกลับมา จากความช็อคที่วู่หยานไปด่าใส่คุณหนูของตระกูโลลิ แต่ทั้งๆที่เขาคิดว่าจบสิ้นแล้ว กลับกลายเป็นแบบนี้ไปซะได้

คนที่เขาคิดว่าจะกลายมาเป็นฝันร้ายของตระกูลมิดเดอร์เรีย ตอนนี้ได้หันไปคุยกับวู่หยาน ‘อย่างมีความสุข’ แม้แต่คนนอกยังมองออกเลยว่าทั้งสองคนดูคุ้นเคยกันมาก เกรย์เองก็มองออกเช่นกัน

อย่าบอกนะว่าทั้งสองคนรู้จักกันน่ะ?

เกรย์มองไปที่วู่หยานด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “นะ…นี่พวกเธอทั้งสองคนรู้จักกันเหรอ?…..”