ตอนที่ 15

Dungeon Defence

มมารลำดับ 71 จอมมารที่อ่อนแอที่สุด ดันทาเลี่ยน

ปฎิทินจักรวรรดิ์: ปี 1505, วันที่ 16, เดือน 8

ลานกว้างหน้าวิหารเฮอร์มีส เมืองนีฟเฮม

การบินใช้เวลา 8 ชั่วโมง

ขอพูดตามตรงว่า นี่มันไม่ได้ต่างอะไรจากการทารุณกรรมเลยแม้แต่น้อย และก็เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกคิดถึงความก้าวหน้าทางวิทยศาสตร์ของโลกเดิม

การนั่งบนไม้กวาด เป็นอะไรที่ฟังดูเหมือนง่าย แต่ในความเป็นจริง มันกลับทำให้ง่ามก้นของผมเจ็บปวดรวดร้าวระทมถึงขีดสุด ขนาดที่ผมไม่สามารถจะยืนตรงได้หลังจากไปถึงนิฟเฮมซักพักใหญ่ ๆ เลยทีเดียว แล้วการเดินทางเฮงซวยพรรคนี้น่ะหรือที่คิดราคา 41 เหรียญเงิน ผมอยากจะร้องขอเงินคืนเดี๋ยวนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด

“ทำได้ดีมากทุกท่าน และเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่พาพวกเรามาส่งโดยสวัสดิภาพ ข้าขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงเบียร์เอง ฟังดูเป็นอย่างไรบ้าง?”

แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องมาอัดอั้นฝืนทน รักษาหน้าตาเอาไว้แม้แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็คือ ไอ้สิ่งที่เรียกว่ามารยาททางสังคมนั่นเอง แล้วนี่ถ้ายังไม่แย่พอ เหล่าพวกแม่มดก็ช่วยทำให้มันแย่ลงไปอีกด้วยการร้องดีใจ “ขอบคุณมากค่ะ นายท่าน!” กับข้อเสนอตามมารยาทของผมอีก

พวกเรารู้จักร้านดี ๆ ค่ะ พวกเธอพูดเช่นนี้แล้วก็นำทางพวกผมสองคนไป

ที่หมายของพวกเราก็คือตรงมุมสุดของลานกลางเมืองขนาดใหญ่ ที่นี่มีร้านเหล้าตั้งเรียงรายกันเต็มไปหมด แค่มองผ่าน ๆ ก็สามารถมองเห็นลูกค้ามากกว่า 200 คนที่นั่งดื่มเหล้าอยู่บริเวณหน้าร้าน ดูเหมือนว่าทุกร้านเหล้าที่นี่จะใช้เก้าอี้บริเวณด้านนอกร่วมกัน

“นี่คือลานกว้างหน้าวิหารเฮอร์มีสที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของนิฟเฮม แล้วก็เป็นสถานที่เดียวที่ทุกคนสามารถมาดื่มเบียร์โดยที่ไม่ต้องมาคอยพะวงกับเรื่องเผ่าพันธุ์และชนชั้นทางสังคมค่ะ”

เหล่าแม่มดชวนพูดคุยอย่างสนุกสนาน

“ชื่อของที่นี่ได้มาจากชื่อของวิหารเฮอร์มีสที่กลายเป็นซากปรักหักพังค่ะ นายท่านเห็นซากวิหารตรงนั้นไหมคะ? นั่นล่ะค่ะคือซากที่ยังหลงเหลืออยู่ของวิหาร”

“ดูเหมือนว่าจะถูกเก็บรักษาเอาไว้เพราะมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สินะ”

“ฮะฮะฮะ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ ต้องขอประทานโทษด้วย ที่เป็นเช่นนี้นั่นก็เพราะว่าเมื่อ 12 ปีก่อน มีเจ้าพวกโทรลงี่เง่ากับมิโนทอร์ซื่อบื้อดื่มเหล้าเมาแล้วก็สู้กันเองแบบยกใหญ่ จนทุกอย่างมันราบเป็นหน้ากลองอย่างที่เห็นนั่นล่ะค่ะ พอวันรุ่งขึ้นเจ้าเมืองของนิฟเฮมถึงกับประกาศกฎหมายใหม่ออกมาเลยว่า การฆ่าคนภายในโต๊ะที่มีคนมึนเมาสุรานั่งรวมกันมากกว่า 7 คนขึ้นไปจะถือว่าไม่มีความผิด หรือพูดอีกอย่างก็คือท่านเจ้าเมืองกำลังบอกว่า ‘คราวหน้าที่พวกแกเมาแล้วคิดจะก่อเรื่อง พวกเราจะไม่ช่วยแกแม้แต่จะหาคนที่ฆ่าพวกแกให้หรอกนะ จงดูแลตัวเองซะ’ นั่นล่ะค่ะ”

“……เป็นกฎที่เหมือนกับหลุดออกมาจากนิยายดีนะ”

“ท่านเจ้าเมืองนี้ออกจะเป็นพวกเร่าร้อนนิด ๆ แบบนี้ล่ะค่ะ”

แม่มดพยักหน้าเห็นด้วย

“แต่ถ้าเอาแบบจริงจัง เรื่องที่ท่านเจ้าเมืองปล่อยซากวิหารให้อยู่แบบนั้น ก็ต้องถือว่าว่าท่านเจ้าเมืองของเมืองนี้ฉลาดเอาการอยู่นะคะ”

“หมายความว่าอย่าซ่าให้มากสินะ?”

“ราว ๆ นั้นล่ะค่ะ—”

พวกเราเลือกนั่งลงบนโต๊ะว่างที่ใกล้ที่สุด

มีแฟรี่ขนาดเท่าฝ่ามือบินมารับออเดอร์ที่โต๊ะ แต่ดูเหมือนว่าแฟรี่คงจะกลัวพวกแม่มดอยู่ล่ะมั้ง เธอก็เลยไม่ค่อยกล้าเงยหน้าขึ้นมาเหมือนกับโต๊ะที่เธอไปมาก่อนหน้านี้ แม้พวกแม่มดจะถูกถือว่าเป็นพวกทาส เนื่องจากวิญญาณของพวกเธอนั้นถูกช่วงชิงไปโดยพวกจอมมารก็จริง แต่พลังของพวกเธอก็ไม่ใช่อะไรที่จะไปดูถูกดูแคลนได้

ไม่นาน เหล่าแฟรี่ก็บินเรียงแถวมาเสริฟเบียร์ พวกเราแต่ละคนรับมากันคนละแก้วแล้วชูขึ้น

“วันนี้พวกเธอทุกคนทำหน้าที่ได้ดีมาก แม้ว่าในระหว่างทางพวกเราจะถูกฝูงไซเรนเข้าโจมตี แต่พวกเธอก็สามารถขับไล่กลับไปได้อย่างรวดเร็ว ข้าขอชมเชย การที่พวกเราสามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัยต้องขอขอบคุณพวกเธอพี่น้องจริง ๆ ดังนั้นเบี้ยร์แก้วนี้ ข้าจึงอยากที่จะดื่มให้กับพี่น้องเบอเบอรเร”

““ดื่มให้กับพี่น้องเบอเบอรเร!””

แก๊ง

แก้วเบียร์ที่ชนกันส่งเสียงไพเราะดังกังวาล

การดื่มเหล้าสังสรรค์เป็นไปอย่างสนุกสนาน

หลังจากที่ผมรู้ว่าไม่เคยมีเชคสเปียร์เกิดมาบนโลกนี้ ผมก็เริ่มทำการแสดงเรื่อง <แม็คเบ็ธ> และ <โรมิโอ แอนด์ จูเลียต> แบบเดี่ยวไมโครโฟนทันที

ถึงการที่จะท่องละครออกมาทุกประโยคตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีตกหล่นเหมือนสมัยที่ผมอยู่ประถมนั้น มันจะเป็นอะไรที่ยากเกินไปสำหรับผมในตอนนี้ก็เถอะ แต่ถ้าแค่แสดงให้คนฟังรู้สึกอินสุด ๆ กับดราม่าของเรื่องล่ะก็ไม่มีปัญหา สีหน้าของเหล่าแม่มดแต่ละคนที่ตราตรึงไปกับการแสดงของผมนั้นต่างก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศก

……

“……ในที่สุด จูเลียต ก็เอื้อมมือไปจับมือของโรมิโอ มือของเขานั้นเย็นเฉียบ แม้จะยังเหลือความอบอุ่นอยู่ในมือข้างนั้นอยู่เล็กน้อย แต่มันก็กำลังค่อย ๆ เลือนหายไป จูเลียตที่อยากจะสัมผัสถึงไออุ่นที่แม้จะเล็กน้อยถึงเพียงไหนนั้น ก็นำหลังมือของโรมิโอไปวางบนแก้มของเธอ……”

““……””

แม่มดทั้ง 12 คนต่างก็พากันหยุดหายใจรอคอย

ส่วน แลพิส แลซูลี นั้น แม้ภายนอกจะยังจับแก้วเบียร์ด้วยท่าทางดูสงบเรียบร้อยดีก็จริง แต่แก้วของเธอก็ว่างเปล่ามาสักพักหนึ่งแล้ว นั่นก็แสดงว่าแม้แต่เธอเอง ก็กำลังถูกแสดงอันยอดเยี่ยมของผมดึงดูดอยู่

“แต่ว่าสุดท้าย แม้แต่หลังมือข้างนั้นก็ไม่สามารถหาความความอบอุ่นได้อีก จูเลียตหลั่งน้ำตาของเธอออกมา โอ ชายที่เราคนนี้รักไปไหนเสียแล้ว? ทำไมร่างกายของเขาถึงได้เย็นเฉียบถึงเพียงนี้? เธอพยายามค้นหาร่างกายของโรมิโออย่างสุดชีวิต เพื่อที่จะได้สัมผัสความอบอุ่นจากร่างกายของชายที่เธอรักแม้เพียงนิดก็ยังดี…… ทว่า สุดท้ายแล้ว เธอก็ไม่สามารถสัมผัสความอบอุ่นใด ๆ จากชายที่เธอรักและโหยหาได้อีก โอ โรมิโอ โรมิโอที่รักของข้า ข้าสัมผัสถึงความอบอุ่นจากตัวท่านไม่ได้เสียแล้ว……”

“ฮึก ฮืออ”

แม่มดแต่ละคนเริ่มมีน้ำตารื้นขอบตาแล้ว

ถ้ามองไปรอบ ๆ ตอนนี้ ก็จะเห็นว่าไม่ได้มีแต่โต๊ะที่พวกผมนั่งอยุ่เท่านั้นที่เงียบ แต่โต๊ะที่อยู่ข้าง ๆ ก็พากันเงียบไปด้วยเช่นกัน ผมรู้สึกได้ว่าในขณะนี้ ทุกคนรอบ ๆ โต๊ะผมต่างก็กำลังตั้งใจฟังเรื่องที่ผมเล่า

ผมมั่นใจว่า ในขณะนี้ ผมสามารถมัดใจของคนกว่า 30 กว่าคนเอาไว้ได้

คนที่โลกเดิมของผมต่างก็รู้เนื้อเรื่องของ <โรมิโอ แอนด์ จูเลียต> กันดี ก็เลยไม่ได้ฟังด้วยความรู้สึกที่สดใหม่กันสักเท่าไหร่ แต่ว่า คนบนโลกนี้นั่นไม่ใช่ นี่เป็นครั้งแรกของคนในโลกปีศาจที่ได้ฟังเรื่องราวความรักที่ร้อนแรงเช่นนี้ ความรู้สึกร่วมของคนที่นี่กับคนบนโลกเดิมของผมมันจึงเป็นคนละระดับ

ไม่ว่าจะยุคสมัยใด เรื่องราวของความรักต้องห้ามก็เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมเสมอ

ผมรีดเร้นเสียงที่เศร้าสร้อยออกมา

“โอ แต่นี่มันอะไรกัน? เมื่อวินาทีสุดท้ายได้มาถึง จูเลียตก็ได้ค้นพบความอบอุ่นจากร่างของคนรักของเธอ ริมฝีปากของเขา ที่นั่นยังมีความไออุ่นจากด้านในปากส่งผ่านมาเล็กน้อย เธอปาดน้ำตาที่ไหลออกมาของเธอออกไป และประทับริมฝีปากของเธอเข้ากับริมฝีปากของชายคนรัก สำหรับเธอ ในโลกนี้คงจะไม่มีอะไรที่จะอบอุ่น…… อ่อนโยน…… และอ่อนนุ่มไปมากกว่านี้แล้ว แต่เธอเองก็รู้ดีว่า ความอบอุ่นบนริมฝีปากของชายคนรัก กำลังจะเลือนหายไปเช่นเดียวกับความฝันเมื่อกลางฤดูใบไม้ผลิของเธอ”

ผมหยุด

ทุกโต๊ะที่กำลังดื่มอยู่ต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบจนน่ากลัว

เรื่องราวกำลังเดินเรื่องมาถึงจุดที่สุดยอดที่สุด

หลังจากที่ผมมองดูน้ำตาที่ไหลออกมาของเหล่าแม่มด ด้วยความรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ผมก็เล่าเรื่องต่อด้วยน้ำเสียงที่หดหู่ราวกับโศกนาฎกรรม

“จูเลียตพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ หากเป็นเช่นนี้แล้วล่ะก็ ก่อนที่ความอบอุ่นของคนรักเธอจะเลือนหาย ก่อนที่จะต้องเป็นพยานถึงการจากไปชั่วนิรันดร์ของชายคนรักเบื้องหน้า เธอขอใช้ความตายของตัวเองเพื่อปิดบังภาพความตายของเขา…… เธอยกมีดของโรมิโอขึ้นมา”

“อ๊ะ อ๊าาา!”

เหล่าแม่มดยกมือขึ้นมาปิดปากของพวกเธอ

ดูท่า พวกเธอจะสามารถเดาได้ถึงจุดจบของเรื่องนี้แล้ว

ดวงตาของพวกเธอเต็มไปด้วยความตกตะลึง

“และตะโกนออกมาว่า เจ้ามีดเอ๋ย เราดีใจเหลือเกินที่ได้พบกับเจ้า เราขอมอบหัวใจของเราให้เป็นฝักดาบของแก่เจ้า…… และก็แทงมีดลงไปบนอกของตัวเองจนสุดด้าม”

“อะ อาา!”

เหล่าแม่มดถึงกับหันไปกอดกันและกัน

อืมม

ผมรู้สึกพึงพอใจสุด ๆ

การได้ควบคุมอารมณ์ของผู้คนด้วยการแสดง ทำให้รู้สึกเศร้า, รู้สึกดีใจ, มีความหวัง และสิ้นหวัง นี่ล่ะคือสิ่งที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปจริง ๆ เพียงแค่นี้ ความเครียดที่สะสมมาในระหว่างบินมาที่นี่ของผมนั้น ก็ละลายหายไปเหมือนกับน้ำแข็งต้องแสงตะวันแล้ว

แต่น้องสาวต่างแม่คนที่สองของผมกลับตำหนิผมในเรื่องนี้อย่างรุนแรง บอกว่านี่เป็นรสนิยมที่โรคจิต

ผมล่ะไม่เข้าใจเธอจริง ๆ

ผมก็แค่มอบความสุขให้กับคนอื่นโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอะไรเลยก็เท่านั้นเอง

หากลองมองดูดี ๆ ก็จะเห็นว่า พวกแม่มดทุกคนต่างก็ไม่สามารถทนรับเนื้อเรื่องที่เศร้าสลดแบบนี้ได้ และก็กำลังสะอื้นจนตัวสั่นกันอยู่ ส่วน แลพิส แลซูลี นั้นถึงสีหน้าของเธอจะไร้อารมณ์อยู่เช่นเดิม แต่มือของเธอก็จับแก้วเบียร์เอาไว้อย่างสุดกำลัง ส่วนนักดื่มที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็พากันส่งเสียงคร่ำครวญออกมา ภาพที่ผมเห็นอยู่นี้มันช่างสวยงามและเข้ากันได้ดีสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่หรือ

เพราะแบบเหตุนี้เอง ผมจึงจะยิ่งทำให้ทุกคนมีความสุขมากขึ้นไปอีก

ผมยิ้มกริ่มอยู่ในใจนั้น พร้อมกับเล่าเรื่องต่อ

“โลหิตสีแดงหลั่งไหลออกมาจากกลางอกของจูเลียต เธอรู้สึกถึงเลือดตัวเองที่กำลังไหลรินออกมา สายตาของเธอค่อย ๆ เริ่มพร่ามัว ……”

“มะ-ไม่นะ”

มีคนส่งเสียงคร่ำครวญออกมาเบา ๆ

คนพวกนี้มันช่างไร้เดียงสาอะไรได้ถึงเพียงนี้

มันต้องแบบนี้สิ มันถึงค่อยรู้สึกคุ้มค่าที่ได้แกล้ง เอ้ย ผมหมายถึงช่วยบริการให้ต่างหาก

“……ในที่สุด จูเลียตหมดแรงลงและทิ้งร่างของเธอลงบนร่างกายของโรมิโอ เธอรู้สึกถึงได้ความอบอุ่นบนตัวของคนรัก แม้ในความเป็นจริง ความอบอุ่นนั้นจะมาจากเลือดที่ไหลออกมาจากตัวของเธอเองก็ตามที แต่สำหรับจูเลียต ที่สูญเสียประสาทสัมผัสทั้งหมดของเธอไปแล้ว ก็เพียงรับรู้แค่ว่า นั่นคือความอบอุ่น และความอ่อนนุ่มของร่างกายชายคนรักเธอเท่านั้น…… ราวกับเป็นโชคในคราวเคราะห์ และ เคราะห์ร้ายในความโชคดี…… จูเลียตยิ้มออกมาเล็กน้อย และในที่สุด ร่างของเธอที่นอนอยู่บนร่างกายของชายคนรัก ก็ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของตัวเธอเอง จากนั้น…… ดวงตาของเธอ ก็ค่อย ๆ ปิดลง ปิดลง ปิดลงอย่างช้า ๆ “

ปิดม่านการแสดง

จบบริบูรณ์

……

หลังจากที่ทุกอย่างเงียบตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ

““จูเลียตน่าสงสารที่สุดเลย—!””

พวกแม่มดตะโกนออกมาพร้อมกัน

พวกเธอต่างก็พากันได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรงจากฉากจบที่ไร้ซึ่งความฝันและความหวังเช่นนี้ พวกแม่มดทั้งสิบสองคนต่างก็เริ่มส่งเสียงโวยวายออกมา

“ไม่เอานะ! มันจะจบแบบนี้ได้ยังไงกัน!”

“ฮึก ฮือ…… แง……”

“นายท่าน นายท่านผู้ยิ่งใหญ่! สุดท้ายทั้งสองคนก็จะได้ครองคู่กันอย่างมีความสุขใช่ไหม? อย่างเช่น มีพ่อมดวอร์ล็อค โผล่มาพร้อมเสียง ‘แต่นแต้น’ แล้วก็ชุบทั้งสองคนขึ้นมา อะไรแบบนั้นใช่ไหม!?”

เสียงคร่ำครวญอย่างสุดชีวิตของพวกเธอทำให้ผมรู้สึกมีความสุขมาก

ท่านผู้ชมเอ๋ย ขอขอบคุณที่ทุกท่านต่างก็ตอบสนองกลับมาอย่างร้อนแรงเช่นนี้

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรักมากที่สุดในโลก คือการทำให้กับพวกที่ตะโกนเรียกร้องฉากจบแฮปปี้แอนด์ดิ้งแบบนี้ ได้พบกับความความเป็นจริงอันน่าโหดร้ายและสิ้นหวัง

“แม้จะน่าเสียใจ…… แต่ทั้งสองคนต่างก็ไม่มีโชคชะตาเช่นนั้น”

“นะ-แน่ใจหรือ?”

“ใช่”

ผมพยักหน้า

สีหน้าที่ชวนให้รู้สึกสมเพชเวทนาปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเหล่าแม่มด นี่มันยังกับสีหน้าในตอนที่พวกเธอได้รับแจ้งข่าวเรื่องตัวนากทะเลกำลังจะสูญพันธุ์จากองค์กรคุ้มครองธรรมชาติไม่มีผิด

ผมยิ้มออกมา

“ทั้ง โรมิโอ และ จูเลียต ทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครได้รับการชุบชีวิต และตายไปตลอดกาล”

“โฮฮฮฮฮฮฮฮ!”

เหล่าแม่มดต่างก็ร่ำไห้ออกมาอย่างสุดชีวิต

ตอนนี้ บนหัวใจของพวกเธอได้มีรอยแผลเป็นที่จะคงอยู่ไปตลอดกาลปรากฎขึ้นมาแล้ว

ผมเชื่อว่าคนเราจะเติบโตขึ้นทุก ๆ ครั้งที่มีรอยแผลเป็น หรือก็คือ การที่ผมมอบแผลเป็นแผลนี้ให้กับพวกเธอ คือการที่ผมมอบแท่นรองเหยียบที่จะทำให้พวกเธอเติบโตขึ้นในฐานะปัจเจกชนนั่นเอง ในอนาคตอันยาวไกล พวกแม่มดพวกนี้ก็คงจะหันกลับมามองอดีต แล้วรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของผม ซาบซึ้งในความห่วงใยอย่างที่สุดของฝ่าบาทดันทาเลี่ยน ที่ทำให้พวกเธอได้เติบโตขึ้นไปอีกในฐานะคนคนหนึ่ง……

ผลลัพธ์จากการอบรมของผมแสดงผลออกมาอย่างรวกเร็ว

[ฝีมือการแสดงดุจปีศาจร้ายของท่านแสดงได้จับใจผู้คนยิ่ง!]

[ค่าความชอบ แม่มด ฮัมบาบา เพิ่มขึ้น 11 แต้ม]

[ค่าความชอบ แม่มด สเธโน เพิ่มขึ้น 12 แต้ม]

[ค่าความชอบ แม่มด ยูริอาลี เพิ่มขึ้น 9 แต้ม]

ข้อความจากหน้าต่างแจ้งเตือนจำนวนมากปรากฎขึ้นมา

นอกจากแม่มดคนหนึ่งแล้ว ค่าความชอบของทุกคนในที่นั้นต่างก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เหล่าแม่มดต่างก็รู้สึกประทับใจสุด ๆ กับเรื่องราวความรักที่ผมเล่าออกไปด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งหลักฐานก็คือ พวกเธอยังเอาแต่ปาดน้ำตาไม่หยุดเลยยังไงล่ะ

“ทั้งเลดี้แม็คเบ็ธ ทั้งจูเลียต พวกเธอต่างก็……”

“ถูกชะตากรรมอันโหดร้ายของโลกเล่นตลก……”

“จากนี้ไปเราจะไม่เชื่อศาสนาหรืออะไรพวกนั้นอีกแล้ว……”

นี่มันสุดยอดสุด ๆ ไปเลยจริงไหม?

สีมืดหม่นของความสิ้นหวังแบบนี้แหละที่ดูเหมาะสมกับทุกคน

ความรู้สึกราวกับได้เป็นศาสดาของศาสนากำเนิดใหม่ ผมก้มลงมองเหล่าแกะน้อยทั้งหลายด้วยความรู้สึกสุขสม ใช่แล้ว จงละทิ้งความหวังของโลกภายนอกออกไปและขังตัวเองเอาไว้ข้างในซะ ทำแบบนั้นแล้วทุกอย่างจะดีเอง

ทันใดนั้น แลพิส เลซูลี ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมก็ถอนหายใจออกมา

“เราผู้นี้คงจะต้องยอมรับว่า ฝ่าบาทนั้นเป็นคนที่คงเส้นคงวาจริง ๆ “

“ใช่มั้ยล่ะ เป็นคนที่สดชื่นสดใหม่อย่างเสมอต้นเสมอปลายแบบนี้แหละ คือเสน่ห์ของข้า”

“เราผู้นี้กำลังคิดว่าฝ่าบาทนั้นเป็นคนที่เน่าเฟะไปถึงแกนกลางอย่างเสมอต้นเสมอปลายอยู่ต่างหาก”

“โฮ่ ความรู้สึกอิจฉาของพวกจืดชืดน่าเบื่อก็เป็นซะแบบนี้ล่ะน้า”

ผมยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ

ส่วน แลพิส แลซูลี ก็หันมาจ้องมองผมด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึก

ไม่เป็นไร ๆ ถึงสีหน้าของเธอจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ แต่ในใจของเธอต้องกำลังรู้สึกประทับใจกับคารมคมคายของผมอยู่แน่ จะพูดว่าฝีปากของผมทำให้เธอรู้สึกหลงไหลก็คงจะไม่เกินเลยไป เธอก็แค่รู้สึกอายที่จะต้องแสดงความรู้สึกจริง ๆ ของเธอออกมาก็เท่านั้นเอง……

[ค่าความชอบ แลพิส แลซูลี ลดลง 1 แต้ม]

ผมผิดไปแล้วครับ

แลพิส แลซูลี เธอไม่ใช่พวกรักนะแต่ไม่แสดงออกธรรมดา แต่เธอเหนือกว่านั้นเยอะ

จะเป็นความรู้สึกเขินหรือความรู้สึกอายก็ดี อารมณ์น่ารัก ๆ พวกนั้นไม่เคยมีอยู่ข้างในตัวของซัคคิวบัสที่ไม่อาจเข้าถึงได้นี่ตั้งแต่แรกแล้ว

“อืม อืม งั้นคราวนี้เอาเป็นเรื่องที่สดใสกว่าเมื่อกี้ก็แล้วกัน……”

“เฮ้ย! การต้อนรับของที่นี่มันห่วยแตกชะมัด!”

ในขณะที่ผมกำลังกระแอมเพื่อเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาอยู่นั้นเอง

อีกฟากหนึ่งของล้านกว้างก็มีเสียงกระแทกเกิดขึ้น และตามมาด้วยเสียงดังโวยวาย ทุกคนในกลุ่มของผมพร้อมใจกันหันไปมองต้นเสียง ราวกับว่าได้ทำการนัดแนะมาล้วงหน้า

“เหล้านี่ก็รสชาติห่วยแตก เก้าอี้ก็โคตรแข็ง! มารยาทที่ควรจะปฎิบัติต่อลูกค้าก็ไม่มีเลยสักนิด! แล้วยังคิดจะเก็บเงินอีกเรอะ นี่พวกแกตั้งใจคิดจะเปิดร้านจริง ๆ เปล่าเนี่ย หา!?

“ขอประทานอภัย ขอประทานอภัยอย่างสุดซึ้งครับ ฝ่าบาท”

ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังตะคอกใส่คนแคระสูงวัย

ใบหน้าของคนแคระที่กำลังเอาแต่ก้มหัวขอโทษขอโพยอยู่นั้น แม้จะเต็มไปด้วยริ้วรอยของความแก่ชรา แต่ก็สวมใส่เสื้อผ้าที่ดูพอมีฐานะอยู่บ้าง คงจะเป็นเจ้าของร้านเหล้าร้านนั้นล่ะมั้ง

“พนักงานที่ต่ำต้อยของเราก็แค่จำฝ่าบาทไม่ได้เท่านั้นเอง ทางเราไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ……”

“เฮอะ ก็เพราะแบบนี้แหละ ไอ้พวกแก่หงำเหงือกอย่างพวกแกถึงสมควรตายไปซะให้หมด”

ผัวะ

ชายหนุ่มเตะใส่สีข้างของคนแคระสูงวัยจนร้องด้วยความเจ็บปวดและทรุดลงไป

“เชื้อราขึ้นสมองแบบนี้แล้วยังคิดจะทำธุรกิจ!”

เตะ

“แหกตาดูร้านตัวเองซะบ้างว่า เอนเตอร์เทนลูกค้าได้ห่วยแตกขนาดไหน!”

เตะอีกครั้ง

การใช้กำลังอย่างไม่มีเหตุผลกำลังเกิดขึ้น

บรรยากาศภายในลานกว้างเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ แต่กลับไม่มีใครที่คิดจะออกไปห้ามสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเลยสักคน เหมือนกับว่าทุกคนได้ทำข้อตกลงกันเอาไว้อย่างลับ ๆ ว่าจะไม่มีใครออกไปยุ่งกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดอยู่ข้างหน้านี้

รสชาติของแอลกอฮอลจางหายไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกกริ่ม ๆ จากการดื่มเบียร์ก็กำลังสร่างเมามากขึ้นเรื่อย ๆ การสร่างเมานั้นมีสองแบบ แบบแรกคือการสร่างเมาแบบรู้สึกดี และแบบที่สองคือตรงกันข้าม และผมก็กำลังสร่างเมาในประเภทหลัง

“ไอ้คนที่ชวนให้รู้สึกน่าหัวร่อนั่นมันเป็นใคร?

“จอมมารลำดับที่ 72 อันโดรมาเลียสค่ะ”

แลพิส แลซูลี กระซิบบอก

“จอมมาร?”

ผมขมวดคิ้ว

พอลองหันไปมองดูดี ๆ ผมก็มองเห็นเขาเล็ก ๆ บนหน้าผากเจ้าหมอนั่น

เขาด้านบนหัวของผมที่ว่าเล็กจนแทบจะถูกเส้นผมบังมิดแล้ว แต่เขาของเจ้านี่ยังเล็กกว่านั้นอีก นี่ถ้าผมไม่รู้ว่าเจ้านี่เป็นจอมมารล่ะก็ คงจะเข้าใจผิดว่านั่นเป็นสิวหัวช้างหรืออะไรประมาณนั้น

“ค่ะ อันโดรมาเลียส มีชื่อเสียงโด่งดังในการใช้ตำแหน่งจอมมารทรมาณผู้คน และใช้เวลาเกือบทั้งปีอยู่ในคาสิโนเมืองนิฟเฮมค่ะ”

“ฟังดูอย่างกับพวกชอบทำตัวกร่างประจำซอยเลยนะ”

ผมพูดเย้ยหยัน

จอมมารอันโดรมาเลียสเองก็ปรากฎตัวอยู่ภายในเกม ดังนั้นผมจึงรู้จักดี

หากเปรียบดันทาเลี่ยนเป็นบอสซ้อมมือ อันโดรมาเลียสก็ต้องเป็นบอสในโหมดฝึกหัด เป็นตัวกระจอกงอกง่อยขนาดที่ถูกผู้กล้าเลเวล 1 ฆ่าตาย

สองคู่หูผู้โชคร้าย

จะ อันโดรมาเลียส ก็ดี หรือ ดันทาเลียน ก็ดี ยังไงเสียพวกเราทั้งสองคนก็ถูกจัดอยู่ในระดับปลาซิวปลาสร้อยทั้งคู่ เพราะฉะนั้นจึงน่าจะเป็นการดีกว่าถ้าพวกเราทั้งสองคนคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่ว่า——

ระหว่างผมกับเจ้าคนไม่เอาถ่านนี่มันมีความแตกต่างกันอยู่

นั่นก็คือ จอมมารอันโดรมาเลียส เป็นผู้ที่ไป ‘ปลุก’ ผู้กล้า

ตัวเอกถูกจู่โจมโดยปีศาจในบทนำของเรื่อง

ทุกคนในเมืองและครอบครัวทั้งหมดของผู้กล้าต่างก็ต้องจบชีวิตลง ถ้าเราเล่นเป็นตัวละครชาย น้องสาวของเราก็จะถูกฆ่า แต่ถ้าเล่นเป็นตัวละครหญิง พี่ชายของก็จะต้องเป็นผู้เสียสละ

ไม่ว่าจะเล่นฝั่งไหน ผู้กล้าก็จะต้องสูญเสียเหล่าคนที่สำคัญไป และสาบานที่จะ ‘ฆ่าจอมมารทุกตนบนทวีปแห่งนี้’ ด้วยความคลั่งแค้น……

“อืมม”

ตัวต้นเหตุที่ให้กำเนิดสัตว์ประหลาดที่เรียกว่าผู้กล้า

นี่คืออนาคตที่อยู่เบื้องหน้าของคนที่กำลังคนแก่อยู่อีกฟากหนึ่งของลานกว้างแห่งนี้

ปีนี้คือปี 1505 ตามปฎิทินจักรวรรดิ์ ส่วนปีที่หมู่บ้านของผู้กล้าถูกโจมตีก็คือปี 1506

ถ้าเช่นนั้นผมก็สมควรที่จะทำอะไรซักอย่างภายในปีนี้ ไม่อย่างนั้นก็จะมีผู้กล้ากำเนิดขึ้นมาจากเด็กในหมู่บ้านหลังเขาที่ไหนสักแห่ง และถ้าผมยังอยากที่ใช้ชีวิตที่เหลือของผมอย่างขี้เกียจและสงบสุขล่ะก็ หนทางที่ผมควรจะเลือกก็คือการกำจัดผู้กล้าออกไปตั้งแต่เนิ่น ๆ ซะ

ทันใดนั้นเอง

ก็มีเสียงเตือนดัง ‘ตึ้งงง’ และมีหน้าต่างข้อความปรากฎขึ้น

ตัวเลือกที่ปรากฎออกมานั้น ราวกับว่าระบบกำลังอ่านใจผมอยู่

[1. ทำความสนิทสนมกับอันโดรมาเลียส]

[2.ฆ่าอันโดรมาเลียสทิ้ง]

ผมเอามือมากุมคางของตัวเอง

……ตัวเลือกข้อแรกนั้น มันเป็นอะไรที่น่าเลือกมากกว่า

หลังจากที่สนิทสนมกับอันโดรมาเลียสแล้ว ผมก็แนะนำวิธีการโจมตีหมู่บ้านของผู้กล้าที่รอบคอบกว่าเดิมให้ กำจัดต้นตอของปัญหาทิ้งเสีย เพราะไม่ว่าจะที่ไหนหรือเมื่อไหร่ วิธีการกำจัดต้นต้อของเนื้อร้ายตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็ใช้ได้ผลเสมอ

ส่วนข้อสองนั้น มันออกจะเป็นตัวเลือกที่สุดโต่งอยู่

ฆ่าอันโดรมาเลียสทิ้งและกำจัดต้นตอของปัญหาทั้งหมดไปด้วยกันในคราวเดียว แผนการนี้ก็ไม่มีอะไรผิดหรอก แต่ปัญหาคือผลที่จะตามมานี่สิ

‘จอมมารได้ทำการฆ่าจอมมารด้วยกันเอง’

ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว สายตาและความสนใจของทุกคนก็จะหันมาสนใจในตัวผม ซึ่งมันออกจะวุ่นวายเกินไป

ผมชอบการแก้ปัญหาอย่างเงียบ ๆ มากกว่า อย่างเช่นการลอบสังหารเป็นต้น มันเป็นอะไรที่เข้ากับรสนิยมของผมดี แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะไปจ้างมือสังหารได้ที่ไหนด้วยสิ…… หรือนี่ผมจะต้องเลือกข้อ 1 จริง ๆ ?”

แต่หลังจากที่มองดูบรรยากาศเย็นชาที่กำลังเกิดขึ้นในลานกว้างแห่งนี้แล้ว ผมสามารถบอกได้เลยว่าไม่มีใครชอบอันโดรมาเลียสเลยสักคน เผ่าปีศาจทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็รู้สึกรังเกียจเจ้าตัวเรือดตัวนี้กันทั้งนั้น และถ้าผมไปทำตัวสนิทสนมกับเจ้านั่นที่นี่ล่ะก็ ภาพลักษณ์ของผมคงจะดิ่งลงเหวเป็นแน่ สำหรับนักการเมือง ชื่อเสียงก็เหมือนกับเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิต ถ้าเป็นไปได้ ผมเองก็อยากจะให้ชื่อเสียงของผมนั้นดูสะอาดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

แต่นอกจากข้อ 1 แล้วผมยังจะมีทางเลือกอื่นอีกหรือ? อย่างเช่นการฆ่าอันโดรมาเลียสโดยที่ไม่ตกเป็นเป้าความสนใจ ผมจะทำให้มันเป็นแบบนั้นได้ไหมนะ……? ถึงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้หมดก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าผมสามารถทำให้ความสนใจส่วนใหญ่มันเบี่ยงไปที่อื่นแทนได้ล่ะก็……

“ฝ่าบาท?”

เสียงของ แลพิส แลซูลี ปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาจากความคิดของตัวเอง

ผมรีบหันไปทางเธออย่างรวดเร็ว

“ลาล่า ตอนนี้เธอยังใส่แหวนที่ให้ไปอยู่หรือเปล่า?”

“คะ?…… เราผู้นี้กำลังใส่อยู่ค่ะ”

“ขอข้าตรวจดูแป็บนึงสิ”

จากนั้น ผมก็คว้าจับมือซ้ายของ แลพิส แลซูลี โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า และสัมผัสได้ถึงแรงดีดสะท้อนของผิวหนังเบา ๆ ภายใต้ถุงมือสีขาว

บนนิ้วนางของเธอนั้นมีแหวนวงหนึ่งถูกสวมอยู่

เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า แลพิส แลซูลี นั้นคือผู้หญิงของผม

เธอเป็นผู้หญิงที่จอมมารดันทาเลียนหลงจนหัวปักหัวปำ หลงจนไม่สนใจเรื่องอะไรทั้งนั้น นั่นคือข่าวลือที่คนทั่วไปรู้กัน แน่นอนว่า พวกเราก็เป็นคนที่ทำให้ข่าวลือมันเป็นแบบนี้เอง

และเมื่อหลายวันก่อน ผมก็ได้จ่ายเงิน 1,600 เหรียญทองเพื่อซื้อแหวนสุดหรูสองวง เพื่อที่จะทำให้ข่าวลือที่ว่ามานี้มันเจิดจ้ายิ่งขึ้น

ทั้งสองวงเป็นแหวนฝาแฝดที่มีเพชรสีฟ้าขนาด 5 กะรัตและตัวหนังสือ AUTRE NE VUEIL ซึ่งมีความหมายในภาษาแฟรงค์ลิชว่า ‘จะไม่ปราถนาใครนอกจากคุณ’ ติดอยู่

หรือก็คือแหวนหมั้นนั่นเอง

ในสายตาของคนทั่วไป จอมมารดันทาเลียนก็ไม่ต่างจากตัวที่โง่งมบัดซบที่สุดของโลก เจ้าโง่ที่ซื้อแหวนให้แก่คนรักทันทีที่ตัวเองมีเงิน แต่ดูสิ โชคดีจริง ๆ ที่ผมได้ตระเตรียมเอาไว้ก่อน ในที่สุด โอกาสที่จะใช้แหวนคู่นี้ก็ได้ปรากฎออกมาแล้ว คุ้มค่ากับที่ผมอุตส่าห์เจียดเงินที่ได้จากการขายยารักษาไปซื้อเอาไว้

“อย่าคิดนะว่าแกจะมีโอกาสมาค้าขายแถวนี้อีก ไอ้แก่! ไอ้ขยะขึ้นราเอ้ย”

แม้แต่ตอนนี้อันโดรมาเลียสยังรังแกคนแก่คนนั้นไม่เลิก

รอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนใบหน้านั่น ดูท่าจะชอบทุบตีคนอื่นสินะ อา รู้สึกอิจฉาใบหน้าที่ไร้เดียงสาจัง

แต่ว่า ถ้าเอาแต่เล่นคนเดียวแบบนี้มันจะรู้สึกเบื่อเร็วเอานา อันโดรมาเลียส ให้ผมเข้าไปร่วมความสนุกด้วยก็แล้วกัน

ไม่ต้องห่วง ผมน่ะรู้วิธีทำให้งานเลี้ยงมันครึกครื้นขึ้นมาเสมอล่ะ ขนาดเมื่อสักครู่นี้ผมยังทำให้เหล่าแม่มดตกตะลึงจนนิ่งเป็นหินด้วยคารมอันสุดยอดของผมเลย นายเองก็เช่นกัน อีกเดี๋ยวนายก็จะได้ลงไปนอนอยู่บนพื้นพร้อมกับหัวเราะจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยล่ะ ผมจะทำให้นายกลายเป็นตัวละครสนับสนุนอันยอดเยี่ยมในเรื่องราวสุดโรแมนติกเอง

ผมยืนยันกับ แลพิส แลซูลี เป็นครั้งสุดท้าย

“แลซูลี มีคนคอยปกป้อง อันโดรมาเลียส อยู่ไหม?”

“เท่าที่เราผู้นี้ทราบ ไม่มีแม้แต่คนเดียวค่ะ”

“แล้วมีจอมมารคนไหนที่ อันโดรมาเลียส สนิทสนมด้วยไหม?”

“ไม่มีค่ะ แม้แต่ในหมู่จอมมารเอง อันโดรมาเลียส ก็ถูกมองว่าเป็นความอับอายของจอมมารเช่นกัน”

“ยอดเยี่ยม”

หรือก็คือ ไม่มีอะไรที่ผมต้องเป็นห่วงนั่นเอง

ผมยกแก้วเบียร์ของตัวเองขึ้นมา

เริ่มนับในใจ หนึ่ง สอง สาม

และปล่อยมือออกจากแก้ว—