หมี่เฉินอี้ยืนอยู่บนต้นไม้ ร่างทั้งร่างของเขาถูกใบไม้ปกคลุมเอาไว้ เมื่อมองลงไปยังสตรีที่กำลังเตะต้นไม้แล้วขมวดคิ้วโดยไม่ได้เอ่ยคำใด
นางเห็นตัวข้าหรือไม่?!
ยังคงคาดเดาอยู่หรือ?
รอบตัวก็มืดมิดแล้ว ใบไม้จึงอำพรางตัวเขาไปหมด นางมาที่นี่เพราะเห็นข้าจริงหรือ?!
ฉินปู้เข่อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “จุ๊จุ๊ ท่านบอกว่าเหตุใดพวกเขาถึงทำแบบเดียวกัน แต่คราวนี้น่ายินดีมากที่เสด็จอาที่เก้าค่อนข้างหล่อเหลา ฮ่าฮ่า”
เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว หมี่เฉินอี้ก็ทะยานลงจากกลางต้นไม้ใหญ่เพียงไม่กี่ก้าว เขาอยู่บนกิ่งไม้ที่ใกล้พื้นที่สุดแล้วมองลงมายังฉินปู้เข่อ
“รู้ว่ามันเป็นกับดักแต่เจ้ายังคงอยู่ที่นี่อีกหรือ?”
คราวนี้ฉินปู้เข่อแตกต่างจากพระชายาหลี่ชินผู้สง่างามและอ่อนโยนที่เขาเห็นในตอนกลางวันนัก แต่ก็คล้ายกับตอนที่พวกเขาพบกันในคุกใต้ดินยิ่ง
มีความรู้สึกว่าเปิดเผยชัดเจน
“เพราะหม่อมฉันอยากรู้ว่าเสด็จอาที่เก้าเป็นหมากหรือพันธมิตรของนาง และบัดนี้ดูเหมือนว่าท่านจะเป็นตัวหมากรุกจอมดื้อรั้น”
ฉินปู้เข่อกล่าวพลางเหลือบมองไปยังห้องมืด รู้สึกเสียใจและสับสนเล็กน้อย “ขอบอกท่านว่าหม่อมฉันเคยเจอกับพระชายาขององค์รัชทายาทเพียงครั้งเดียว แล้วเหตุใดนางถึงต้องการพาหม่อมฉันไปสู่ความหายนะ เอ๊ะ เหตุใดสตรีถึงทำให้สตรีเหมือนกันต้องยากลำบาก?”
“ก็แค่สตรีวิกลจริต”
ฉินปู้เข่อเงยหน้าขึ้นมองหมี่เฉินอี้ขณะเดินไปใต้ต้นไม้ พลางขมวดคิ้ว “หม่อมฉันขอบอกเสด็จอาว่าท่านไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับต๋งเหม่ยจิง นางใช้เหตุผลอะไรเพื่อหลอกท่าน”
“ใช้เจ้าอย่างไรเล่า” หมี่เฉินอี้ตอบตามความจริง “นางบอกว่าจะให้โอกาสข้าทำตามความปรารถนาของตนเอง ด้วยการส่งเจ้าไปที่เตียงของข้า”
“พรืด ฮ่าฮ่าฮ่า…” ฉินปู้เข่ออดหัวเราะไม่ได้ “สมองของนางเป็นรูเพราะฟองอากาศหรือ สมองของนางใช้เขียนนิยายออนไลน์ได้เลย”
“นิยายออนไลน์คืออะไร” นี่คือชื่อแปลกประหลาดที่เขาได้ยินจากนางเป็นครั้งที่สอง ครั้งก่อนเขาก็ไม่เข้าใจคำว่าเรือบรรทุกเครื่องบินจนถึงวันนี้
“เอาล่ะ เวลามีจำกัดและงานก็หนักมาก ขอบพระทัยเสด็จอาที่ช่วย ส่วนที่เหลือปล่อยให้หม่อมฉันจัดการเถิดเพคะ!” ฉินปู้เข่อยกยิ้มและวางแผนที่จะทำบางสิ่ง
ต๋งเหม่ยจิงขุดหลุมขนาดใหญ่เช่นนี้เพื่อดักตัวนางและตำหนักของอ๋องหลี่ชิน มันต้องไม่สูญเปล่า
เมื่อเห็นนางขับไล่เขาออกไป หมี่เฉินอี้ก็ทะยานลงมาและเข้าไปหาฉินปู้เข่อ “เหตุใดเจ้าถึงไม่คิดว่าข้าต้องการเป็นผู้ควบคุมตัวหมากรุก หากข้าไม่เต็มใจ เจ้าคิดหรือว่าพระชายาขององค์รัชทายาทจะสามารถเรียกข้าให้มาที่นี่ได้?!”
เป็นไปได้หรือไม่ที่หมี่เฉินอี้ผู้นี้จะถูกหลอกและไม่ต้องการแก้แค้น? เป็นความจริงที่สมบูรณ์แบบมากหรือ?!
ฉินปู้เข่อเลี่ยงงานหนักไปทำงานเบา “หม่อมฉันไม่สนหรอกเพคะว่าท่านทำเพื่อใครหรือมาที่นี่เพื่ออะไร หม่อมฉันไม่สนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตน”
“โอ้? อย่างนั้นหรือ หมี่เฉินอี้พิงบนต้นไม้แล้วพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “ผู้คนที่ต๋งเหม่ยจิงเตรียมไว้จะมาหลังจากได้รับสัญญาณ และข้าก็สามารถให้คนส่งสัญญาณนี้ล่วงหน้าก่อนที่เจ้าจะออกจากตำหนักนี้ไปได้ ผู้คนจากพระราชวังจะเข้ามาเห็นฉากการพบปะส่วนตัวของเราสองคนที่เป็นเรื่อง ‘ความรักที่ไม่มีวันสมหวัง’ ”
ฉินปู้เข่อตกใจ นางคาดไม่ถึงว่าหมี่เฉินอี้จะเป็นผู้ชายที่พร้อมจะกระทำไร้ยางอายอยู่เสมอ
“อย่าลืมสิเพคะ ท่านก็เป็นพระเอกของผู้ชมด้วย หากชื่อเสียงของหม่อมฉันพังทลายลงไป ท่านก็ไม่ได้ดีขึ้นนักหรอกเพคะ!”
หมี่เฉินอี้หัวเราะเสียงดัง “ข้าไม่สนใจ เมื่อถึงเวลานั้นข้าก็ยังสามารถโต้กลับและบอกว่าเจ้ายั่วยวนข้า ฮ่าฮ่า แล้วฉากเช่นนี้เล่าเป็นอย่างไร”
“เหตุใดท่านถึงไร้ยางอายเยี่ยงนี้! ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไร หม่อมฉันยังคงเป็นผู้ช่วยชีวิตของท่านไว้ แต่ท่านกลับตอบแทนหม่อมฉันเช่นนี้หรือ?!” ฉินปู้เข่อไม่อาจระงับอารมณ์โกรธจัดของตนได้เลย
ชายผู้นี้หน้าแดงหรือหน้าขาว!*[1]
“โอ้ ถึงเวลาเริ่มต้นความสัมพันธ์แล้ว พระชายาหลี่ชินไม่เคยบอกใบ้แก่ข้ามาหลายครั้งแล้ว เจ้าไม่รู้จักข้าหรือเจ้ารู้จัก” หมี่เฉินอี้มองสตรีที่กำลังกระวนกระวายอยู่ตรงหน้าเขาด้วยความพึงพอใจ และเพลิดเพลินกับช่วงเวลาแห่งชัยชนะอย่างยิ่ง
มาจนถึงตอนนี้แล้วสาวน้อยผู้นี้ก็ยังยากที่จะสารภาพ! น่าโมโหนัก
ฉินปู้เข่อหยิบของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้ออย่างช้า ๆ แล้วยื่นให้กับเขา “ท่านไม่ต้องการสิ่งนี้หรือเพคะ หม่อมฉันยังไม่สามารถให้ท่านได้ เราต้องมาคุยกันก่อนว่าหม่อมฉันจะให้ ‘น้ำห้ามเลือด’ แก่ท่าน โดยท่านสามารถนำมันไปด้วยได้ ทิ้งต๋งเหม่ยจิงที่อยู่ข้างในไว้ให้หม่อมฉันจัดการ”
“สาวน้อย… เจ้าคิดคำนวณผิดแล้ว” หมี่เฉินอี้ไม่ได้มองขวดที่มีของเหลวใสในมือของฉินปู้เข่อ ซ้ำยังพูดยืดเสียง “ข้าได้สกัดยาจากที่เจ้าเหลือไว้ให้ครึ่งหนึ่งแล้ว เมื่อข้ามีส่วนผสมทางการรักษาที่ตรงกัน สิ่งที่เจ้ามีอยู่ในมือก็ไม่มีค่าพอที่จะซื้อข้าได้!
อันที่จริง ‘น้ำห้ามเลือด’ ครึ่งขวดเล็กที่เขานำกลับมาครั้งล่าสุดนั้นซ่อนอยู่ในกล่องลับของตำหนักของอ๋องจั่วเสียน ซึ่งเขาค้นหาผู้เชี่ยวชาญไม่น้อยกว่าสิบคนที่ชำนาญยาและยาพิษมาดู แต่พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำในขวดคืออะไร และเหตุใดจึงช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
หลังจากนั้นหมี่เฉินอี้ก็แอบติดตามฉินปู้เข่ออย่างลับ ๆ เขาไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นในตำหนักของอ๋องหลี่ชิน แต่เขารู้เรื่องฮูหยินฉินในจวนมหาเสนาบดี
สัญชาตญาณบอกเขาว่าหญิงสาวตัวน้อยผู้นี้ต้องมีเวทมนตร์อื่น ๆ อีก และเมื่อเขามีโอกาสก็จะต้องใช้เล่ห์กลเพื่อชิงมันมา
“โอ้” ฉินปู้เข่อเงียบไปครู่หนึ่ง นางเก็บ ‘น้ำห้ามเลือด’ ในมืออย่างเชื่อฟังและพูดด้วยความเสียใจว่า “ลืมไปเถิดเพคะ วันนี้ปล่อยให้ต๋งเหม่ยจิงรอดไปก่อน เสด็จอาอยู่ต่อเถิด หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ”
หลังจากพูดเช่นนั้นแล้ว ฉินปู้เข่อก็ยกขาเดินออกจากตำหนักอย่างจริงจัง โดยไม่คิดจะหันหลังกลับมาเลย
เมื่อนางออกจากตำหนักไปประมาณสามจั้งและกำลังจะเลี้ยวออกจากทางเดินตรงทางเข้าตำหนักเฮ่อเจียง หมี่เฉินอี้ก็จับตัวนางกลับไปด้วยการกระโดดขึ้นลง ก่อนจะพาไปที่ต้นไม้ใหญ่ซึ่งเขาใช้ซ่อนตัวอยู่เมื่อสักครู่นี้
“นังเด็กบ้า! ขอโอกาสให้ข้าได้เล่นบทหนักหน่อยไม่ได้หรือ!”
เล่ห์กลลวงนั้นถูกหญิงสาวทำลายไปแล้ว หมี่เฉินอี้โกรธจัดจนเอื้อมมือออกไปตบฉินปู้เข่อที่หน้าผาก
แรงตบนี้ไม่เบาเลย ฉินปู้เข่อเจ็บปวดจนน้ำตาคลอเบ้า หากไม่ใช่เพราะหมี่เฉินอี้ดึงสายรัดเอวของนางอยู่ในขณะนี้ นางก็คงจะถูกโยนลงจากต้นไม้
“สามครั้ง หมี่เฉินอี้ ท่านตบหน้าผากข้าสามครั้งแล้ว!” ฉินปู้เข่อโกรธจัดในขณะที่ปิดหน้าผากของตน
หมี่เฉินอี้กะพริบตาและเข้าใจทันที เขาแตะปลายจมูกของนางพลางกระซิบ “ในคุกแค่ใช้มือแตะเท่านั้น มันไม่ใช่การตบ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ตะโกนขึ้นว่า “แล้วเจ้าไปเรียนมาจากที่ไหนหรือแม่สาวน้อย รีบเปิดปากของเจ้าออกมา! ผู้ใดเป็นคนสอนเจ้า!”
“ท่านปล่อยข้านะ!” ฉินปู้เข่อจ้องเขา ในตอนแรกนางค่อนข้างตื่นตระหนก นางไม่รู้จักหมี่เฉินอี้และนางก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นมิตรหรือศัตรู ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าเขาจะหาเรื่องตายจริงและลากนางไปฝังด้วย
แต่ในตอนนี้ เมื่อหมี่เฉินอี้หลอกนาง นางก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้งว่าชายผู้นี้สงบจริง ๆ หากนางไม่ได้พิจารณาว่า ‘น้ำห้ามเลือด’ สามารถซื้อได้เฉพาะในระบบเท่านั้น นางคงถูกเขาหลอกลวงไปแล้ว
“ให้ขวดนี้แก่ท่าน แล้วท่านก็ปล่อยหม่อมฉันกลับไปเถิด ต๋งเหม่ยจิงผู้อัปลักษณ์นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับหม่อมฉันเลย! หม่อมฉันไม่อยากเล่นอีกต่อไปแล้ว!”
เดิมทีเขากำลังคิดว่าจะเอาคืน แต่ก็ได้พบเจอกับหลุมพรางดังกล่าวไปแล้วครึ่งหนึ่ง การตีและดุนางไปเมื่อสักครู่นี้ส่งผลต่ออารมณ์ของนางจริง ๆ!
“หากข้าบอกว่าขวดเดียวไม่เพียงพอเล่า” หมี่เฉินอี้ดึงสายรัดเอวของฉินปู้เข่อ ทำให้นางเข้าไปหาเขา ก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาร้ายกาจ
[1] คำนี้มาจากสำนวนเต็ม ๆ ว่า “一个唱白脸,一个唱红脸” มีที่มาจากการแสดงงิ้ว ที่นักแสดงจะแต่งหน้าด้วยสีต่าง ๆ เพื่อบ่งบอกบทบาทการแสดง ‘หน้าแดง’ บ่งบอกว่าเป็นคนดี ซื่อสัตย์กล้าหาญ เหมือนกวนอู ‘หน้าดำ’ บ่งบอกว่าเป็นคนซื่อตรง ยุติธรรม บ้าบิ่น เช่น เปาบุ้นจิ้น ส่วนหน้าขาวบ่งบอกว่าเป็นคนทรยศคนเลวเช่นโจโฉ