บทที่ 130 จุดตะเกียงฝึกฝนเพียงลำพัง

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 130 จุดตะเกียงฝึกฝนเพียงลำพัง

สำหรับเรื่องสถานที่สร้างฐาน การตัดสินใจเลือกของสวี่ชิงระมัดระวังรอบคอบมาก

เรื่องที่เขาต้องพิจารณามีมาก ยกตัวอย่างเช่น วิเคราะห์ว่ามีคนแอบติดตามหรือไม่ ในขณะเดียวกันรอบๆ สถานที่ที่เลือกมีขั้วอำนาจยิ่งใหญ่แข็งแกร่งหรือไม่

แล้วก็ยังมีเรื่องพลังวิญญาณก็ต้องพิจารณาเช่นกัน จะเข้มข้นไปไม่ได้แต่จะเบาบางเกินไปก็ไม่ได้เช่นกัน

นอกจากนั้นตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ก็จะเข้าใกล้เขตพื้นที่ต้องห้ามไม่ได้ เข้าใกล้เมืองไม่ได้ ป่าเป็นตัวเลือกอันดับแรก

แต่เช่นนี้แล้ว สถานที่ที่ตรงกับเงื่อนไขก็มีไม่มากแล้ว

สุดท้าย เขายังต้องพิจารณาว่าสถานที่ที่เขาเลือกตามเงื่อนไขมีคนเคยเลือกไปแล้วหรือไม่

ทุกอย่างนี้ล้วนผุดขึ้นมาในหัวของเขา เขาคิดถึงศาลเจ้าในพื้นที่ต้องห้ามที่ฐานที่มั่นคนเก็บกวาดเช่นกัน แต่ที่นั่นรอบด้านล้วนอันตรายเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีเสียงเพลงสิ่งประหลาดนั่นที่ทำให้เขาลังเล สุดท้ายก็ตัดทิ้ง

ตอนนี้จากการส่งข้าม สถานที่ที่เขาเลือกไปเป็นอันดับแรกคือเมืองย่อยเจ็ดเนตรโลหิตแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับผืนอินทนิล ที่นี่เป็นดินแดนเขตเผ่ามนุษย์ของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณในขณะเดียวกับที่พื้นที่ต้องห้ามน้อย ความปลอดภัยก็สูงกว่าเล็กน้อย

แต่ว่าก็เหมือนกัน คนที่นี่เยอะกว่า ซับซ้อนกว่า

ตอนนี้ สวี่ชิงเดินออกมาจากค่ายกลตามการเลือนหายไปจากแสงส่งข้าม เขาไม่ได้ออกไปจากเมืองทันที แต่หาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หลังจากที่สังเกตอย่างรอบคอบแและพักผ่อนคืนหนึ่งแล้ว ก็ใช้ของวิเศษอักขระแปลงโฉมส่งข้ามจากไปต่อ

เวลาครึ่งเดือนต่อมาเขาส่งข้ามไปเจ็ดแปดครั้งเช่นนี้ ทุกครั้งล้วนแปลงโฉมแตกต่างกันไป สำรวจคร่าวๆ ไปทั่วทั้งเขตพื้นที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ มั่นใจว่าไม่มีใครติดตามตัวเอง

นี่ทำให้สวี่ชิงถอนหายใจโล่งอก

ในขณะเดียวกันบาดแผลของเขาก็ฟื้นฟูได้เจ็ดแปดส่วนภายในระยะเวลาครึ่งเดือนนี้แล้วเหมือนกัน นี่ทำให้ด้านกำลังรบของเขาพอๆ กับตอนที่อยู่บนเกาะเงือกแล้ว

และการฟื้นฟูของบาดแผลทำให้การส่งข้ามหลังจากนั้นสวี่ชิงก็เริ่มออกไปนอกเมือง ไปหาที่ที่เหมาะสำหรับสร้างฐานในป่า

จวบจนสวี่ชิงหาอยู่ครึ่งเดือน ในที่สุดเขาก็หาเจอที่หนึ่งดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ที่นี่เป็นเขตภูเขาแห่งหนึ่ง ทางเขตตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ

ที่นี่ทิวเขามากมาย ระหว่างเขาเต็มไปด้วยป่าไม้ แต่ไม่ใช่พื้นที่ต้องห้าม อีกทั้งยังเหมือนกับป่าฝน มีหมอกและโคลนมากมาย

นี่ทำให้รอบๆ มีเมืองน้อย เมืองที่ใกล้ที่สุดก็ต้องใช้เวลาเดินทางเจ็ดแปดวัน

ไอพลังประหลาดไม่ได้เข้มข้นมาก แต่เทียบกันแล้วพลังวิญญาณก็ไม่เข้มข้นเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีขั้วอำนาจใหญ่ๆ อยู่ ทว่าสำหรับสวี่ชิงแล้วแม้โดยรวมจะไม่เหมาะอะไรเท่าไร แต่หลังจากที่เขาสำรวจมาหลายที่ ก็รู้สึกว่าที่นี่เหมาะกว่าที่อื่นๆ

สถานที่ที่สวี่ชิงเลือกไม่ใช่ภูเขา แต่เป็นจุดลึกของป่าฝนที่อยู่ระหว่างเขาสองลูก

ทำตามประสบการณ์ในป่าเมื่ออดีต สวี่ชิงหาตำแหน่งหนึ่งแล้วเริ่มขุด

ดินโคลนบนพื้นร่วนนิ่ม ขุดได้ไม่ง่ายเลย แต่ด้วยคัมภีร์แปรสมุทรของสวี่ชิง เขาดึงน้ำจากพื้นที่ที่เลือกออกมามากกว่าครึ่ง สุดท้ายก็ขุดถ้ำในจุดลึกลงไปใต้ดินของบริเวณแห่งนี้ได้สำเร็จ

เขาอำพรางทางเข้าไว้ และยังโปรยผงพิษในปริมาณที่เหมาะสมไว้รอบๆ สุดท้ายก็นั่งขัดสมาธิในถ้ำ สัมผัสรอบๆ เล็กน้อย เอาค่ายกลห้าชุดที่ตัวเองซื้อออกมาเปิดทั้งหมด

ในขณะเดียวกันก็เอาค่ายกลเวทที่อำพรางกลิ่นอายและระลอกคลื่นพลังออกมา ใส่หินวิญญาณลงไปแล้วเปิดใช้ ทำทุกอย่างเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิในถ้ำถึงได้ถอนหายใจยาวออกมา

ความปลอดภัยที่ไม่ได้สัมผัสมานานผุดขึ้นในใจ

‘สร้างฐานที่นี่ล่ะ’

สวี่ชิงก้มหน้ามองถุงเก็บของของตัวเอง เขาซื้ออาหารจำนวนแตกต่างกันจากเมืองต่างๆ อาหารเหล่านี้มากพอให้เขาดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ได้ครึ่งปี

เขาไม่รู้ว่าครั้งนี้ตัวเองต้องใช้เวลาสร้างฐานนานเท่าไร แต่สวี่ชิงวางแผนไว้ดีแล้ว นับแต่นี้เขาตัดสินใจว่าจะไม่ออกไปข้างนอก และไม่ไปคิดเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับโลกภายนอกอีกแล้ว

ทั้งกายและใจของเขาจมจ่อมอยู่กับการทะลวงขั้น

ทว่า ก่อนที่จะฝึกบำเพ็ญ สวี่ชิงรู้สึกว่าตัวเองยังมีเรื่องสองเรื่องที่ต้องจัดการ

ดังนั้นแล้วเขาจึงหยิบเหล็กแหลมสีดำออกมา ขณะประสานมือซ้ายใส่พลังวิญญาณลงไป บรรพจารย์สำนักวัชระที่กำลังหลับสนิท ถูกสะกดอย่างแรง เสียงร้องน่าสังเวชดังออกมาจากในเหล็กแหลมทันที

“นายท่านเกิดอะไรขึ้น ข้าผิดไปแล้วๆ อย่าฆ่าข้า ท่านบอกข้าว่าผิดที่ใด ข้าจะแก้ไขขอรับ!”

สวี่ชิงไม่สนใจทำการสะกดต่อไป จวบจนบรรพจารย์สำนักวัชระอ่อนแรงจนสุดขีดแล้วสลบไปท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหวแล้ว สวี่ชิงถึงได้หยุดมือ

เขากังวลว่าตอนตัวเองทะลวงขั้น บรรพจารย์สำนักวัชระจะมาก่อกวน ตอนนี้อีกฝ่ายอ่อนแรงจนถึงขั้นนี้ สวี่ชิงคิดว่าไม่เป็นปัญหาแล้ว

จากนั้นเขาก็ประสานปางมือใช้พลังวิญญาณผนึกชั้นแล้วชั้นเล่า หลังจากที่อุ่นใจแล้วก็เก็บมันลงไป

ในขณะเดียวกัน จากการกระทำนี้ของเขา เห็นได้ชัดว่าเงาที่อยู่ข้างๆ ก็รับรู้ทุกการกระทำ ดังนั้นแล้วจึงสั่นสะท้านอย่างรู้ตัวดี

สวี่ชิงก้มหน้ามองไปยังเงาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

เงายิ่งสั่นสะท้านรุนแรง สุดท้ายภายใต้สายตาของสวี่ชิง จู่ๆ มันก็เริ่มแยกตัว เหมือนทำร้ายตัวเอง ฉีกตัวเองเป็นรอยแยกหลายทาง

“ไม่พอ”

สวี่ชิงเอ่ยเสียงราบเรียบ พลังผลึกวารีสีม่วงในร่างแปรเปลี่ยนเป็นพลังสะกดประทับลงมา ทำให้เงาหม่นแสงไปอีก จนถึงระดับที่เกือบจะแตกสลาย สวี่ชิงถึงได้หยุด เอ่ยเนิบนาบขึ้น

“หากข้าสร้างฐานล้มเหลว ก่อนตายจะสะกดเจ้าให้ตายเป็นสิ่งแรก!”

พูดจบสวี่ชิงก็ไม่สนใจเงา ตอนนี้จากภัยแฝงเร้นใหญ่หลวงทั้งสองในร่างของตัวเองบั่นทอนพลังลงแล้ว เขาก็วางใจโดยสมบูรณ์ หยิบตะเกียงดับวิญญาณออกมาแล้วจุดมัน

ทันใดนั้นแสงไฟหมองหม่นก็แผ่ซ่าน ห่อหุ้มสวี่ชิงไว้ในนั้น

ตามปกติแล้ว ของวิเศษคุ้มกันประเภทนี้ ทุกครั้งที่จุดจะเกิดการผลาญพลังของตัวเอง ดังนั้นแล้วโดยทั่วไป ผู้บำเพ็ญจะจุดมันขึ้นในขณะที่จะทะลวงระดับสร้างฐานเท่านั้น

ต่อให้เป็นคนเงินหนาของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ลูกศิษย์ส่วนมากแล้วจะไปเช่าที่สร้างฐานตอนเกือบๆ ทะลวงขั้นกันทั้งนั้น จะไม่เหมือนสวี่ชิงที่ฟุ้งเฟ้อเช่นนี้

แต่สวี่ชิงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องประหยัด

ต่อให้ตอนนี้เขาไม่ได้คิดจะทะลวงขั้นทันทีแต่จะยกระดับให้ทะเลวิญญาณของตัวเองถึงขีดจำกัดสูงสุด ทว่าจุดตะเกียงดับวิญญาณไม่ได้ใช้เงินของเขาเสียหน่อย ที่ต้องจ่ายคือความศักดิ์สิทธิ์ของตัวตะเกียงดวงนี้เองต่างหาก

อีกทั้งหลังจากที่สวี่ชิงสัมผัสแล้วก็พบว่าความศักดิ์สิทธิ์ของตะเกียงดวงนี้มีมากพอ ดังนั้นจึงหยิบกล่องหยกออกมาอีกสองใบอย่างไม่เจ็บปวดใจเลยสักนิด

ใบหนึ่งมีลูกกลอนสร้างฐานสามเม็ด อีกใบหนึ่งมีสองเม็ด

ใบแรกได้มาจากนายกอง ส่วนใบหลังได้มาจากถุงเก็บของของศพผู้ทะลวงขั้นดวงกุดในเจดีย์สร้างฐานเผ่าเงือกคนนั้น

เห็นได้ชัดว่าตัวตนของอีกฝ่ายสูงมาก น่าจะกินไปแล้วหลายเม็ด เหลืออีกสองเม็ดวางแผนเผื่อเอาไว้

วางลูกกลอนสร้างฐานห้าเม็ดไว้ดีแล้ว สีหน้าของสวี่ชิงก็ฉายความพึงพอใจ

เขาสูดลมหายใจลึก หลับตาเริ่มฝึกบำเพ็ญใต้การห่อหุ้มของแสงตะเกียงดับวิญญาณ

เวลาค่อยๆ ไหลไป ไม่นานก็ผ่านไปเจ็ดวัน

ในเจ็ดวันนี้สวี่ชิงสมาธิจดจ่อ จมอยู่ในการฝึกบำเพ็ญทั้งกายใจ จากคัมภีร์แปรสมุทรที่โคจรไม่หยุด จากพลังวิญญาณรอบๆ ที่ทะลักมาอย่างรวดเร็ว ทะเลวิญญาณของเขากำลังเดือดพล่าน

ขอบเขตของมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากสองร้อยเก้าสิบจั้งในอดีต เปลี่ยนเป็นสามร้อยสี่สิบจั้ง!

ขอบเขตนี้สูงที่สุดแซงประวัติศาสตร์ยอดเขาที่เจ็ดของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ต้องรู้ว่านายท่านเจ็ดตอนนั้นก็แค่สองร้อยเจ็ดสิบจั้งเท่านั้น

ก่อนหน้านายท่านเจ็ดก็ไม่มีใครไปถึงระดับนี้ ตอนนี้เวลาหกสิบปีผ่านไป สวี่ชิงอยู่ในถ้ำที่ไม่มีใครรู้ ดึงระดับขอบเขตของคัมภีร์แปลงสมุทรสูงขึ้นอีกครั้ง

ทะเลวิญญาณสามร้อยสี่สิบจั้ง ความยิ่งใหญ่ของมันน่าตื่นตะลึง หากสวี่ชิงสำแดงออกมาจะต้องสร้างเสียงดังสนั่นหวั่นไหวให้ป่าผืนนี้แน่นอน กระทั่งว่าหากสำนักเจ็ดเนตรโลหิตรู้เรื่องนี้ เกรงว่าทั้งระดับบนและระดับล่างต้องตื่นตะลึงแน่นอน

เพียงแต่ผลลัพธ์เช่นนี้แม้จะทำให้ได้รับความสำคัญจากสำนักเจ็ดเนตรโลหิต แต่ก็เหมือนกัน…สำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่มีผลประโยชน์เป็นแรงสามัคคี หากโดดเด่นเช่นนี้จุดจบก็ยากจะพูด

ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่มีความคิดที่จะประกาศออกมา เขาแค่อยากมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ชื่อเสียงอะไรเขาไม่สนใจ เขาแค่อยากให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไปอย่างราบรื่นอีกทั้งมีชีวิตอยู่อย่างดีขึ้นเล็กน้อยก็เท่านั้น

และในโลกที่โหดร้ายใบนี้ หากจะทำให้ได้ถึงจุดนั้นมีเพียงแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น

ฆ่าศัตรูที่จะเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตตัวเองทุกคน ตัวเองก็จะปลอดภัย

แน่นอน หากเปิดเผยทะเลวิญญาณของตัวเองจะทำให้บรรลุเป้าหมายบางอย่างของเขา สวี่ชิงก็จะพิจารณา

ไม่เช่นนั้นแล้ว หากยังไม่ถึงระดับมีพลังสยบทุกทิศได้ เก็บซ่อนประกายคมของตัวเอง ปะทุขึ้นมาในขณะที่โจมตีสังหารเท่านั้น ถึงจะเป็นวิถีการเอาชีวิตรอดของเขา

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก สีหน้าสงบนิ่ง ฝึกบำเพ็ญต่อไป

เวลาก็ผ่านไปแต่ละวันเช่นนี้ ทะเลวิญญาณของเขาทุกวันจะเพิ่มขึ้นสิบจั้งเหมือนว่าไม่มีขีดจำกัด นี่ทำให้ความตื่นเต้นในใจสวี่ชิงมากขึ้น

สามร้อยห้าสิบจั้ง สามร้อยเจ็ดสิบจั้ง…

หลังจากเจ็ดวันครั้งที่สองผ่านไป ทะเลวิญญาณในร่างสวี่ชิงก็มีขนาดถึงสี่ร้อยจั้ง นี่เหนือกว่าลูกศิษย์ทั่วไปของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตขั้นบริบูรณ์สี่เท่า

ในแสงตะเกียงดับวิญญาณจะเห็นว่าทั้งร่างของสวี่ชิงตอนนี้เปลี่ยนมาแวววาวกว่าเดิมมาก เหมือนมีน้ำทะเลมหาศาลไหลเวียนในร่าง กระทั่งว่าไอน้ำรอบกายก็เปลี่ยนมาหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ

“ยังทะลวงได้อีก!”

ดวงตาทั้งสองของสวี่ชิงลืมขึ้น หยุดการฝึกบำเพ็ญเอาไว้ชั่วขณะ กินอาหารเล็กน้อย แล้วสำรวจค่ายกลและผงพิษที่โปรยไว้ข้างนอก หลังจากมั่นใจว่าช่วงนี้รอบๆ เป็นปกติทุกอย่าง เขาพักผ่อนครู่หนึ่งก็ฝึกบำเพ็ญต่อ

สี่ร้อยสิบจั้ง สี่ร้อยยี่สิบจั้ง สี่ร้อยสามสิบจั้ง…

จนเจ็ดวันครั้งที่สามผ่านไป ทะเลวิญญาณในร่างสวี่ชิงก็มีขนาดถึงสี่ร้อยเจ็ดสิบจั้ง ชั่วขณะนี้ในที่สุดเขาก็สัมผัสว่าร่างกายเกิดความเจ็บปวดที่ไม่อาจทนรับได้

ความเจ็บปวดนี้เหมือนร่างกายกลายเป็นถุงน้ำ ในนั้นบรรจุน้ำอยู่เต็ม ตัวเองอดทนถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว เหมือนจะระเบิดออกมา

สวี่ชิงลมหายใจหอบถี่เล็กน้อย หลังจากพึมพำครู่หนึ่งก็กัดฟันฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง ครั้งนี้ความเร็วของเขาช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ขอบเขตที่เพิ่มขึ้นทุกวันเริ่มลดลง จากแต่เดิมสิบจั้งกลายเป็นห้าจั้ง

อีกทั้งหลังจากนั้นขอบเขตที่เพิ่มขึ้นก็ช้าลงเรื่อยๆ ความรู้สึกที่เหมือนจะระเบิดในร่างแบบนั้นก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จวบจนหลังจากนั้นครึ่งเดือน ในที่สุดทะเลวิญญาณของเขาก็ผลักดันจนถึงระดับน่าตื่นตะลึงห้าร้อยจั้ง

ขอบเขตนี้ทำให้คนต้องตื่นตะลึงเมื่อได้ยิน กระทั่งว่าสวี่ชิงตอนนี้ทั่วร่างเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกำลังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ และผลึกวารีสีม่วงก็กำลังฟื้นฟูให้เขาอย่างบ้าคลั่ง

“เป็นขีดจำกัดสูงสุดแล้ว…” สวี่ชิงพึมพำเสียงเบา

เขาสัมผัสได้ว่าตอนนี้ตัวเองต่อให้ขยับเพียงเล็กน้อยก็ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง เหมือนแบกภูเขาและมหาสมุทรเอาไว้ หนักอึ้งเป็นที่สุด ยิ่งมีความรู้สึกกดอัด

ต่อให้ผลักวารีสีม่วงพยายามฟื้นฟู แต่สวี่ชิงรู้ว่าสภาวะเช่นนี้ไม่อาจดำเนินไปได้นาน

“เช่นนั้น…เริ่มสร้างฐาน!” ดวงตาสวี่ชิงฉายแววเด็ดเดี่ยว หยิบลูกกลอนสร้างฐานเม็ดหนึ่งข้างหน้าขึ้นมาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยแล้วกลืนลงไป

เหมือนน้ำหยดลงหม้อน้ำมัน ทะเลวิญญาณห้าร้อยจั้งในกายพลันระเบิดขึ้นมา เกิดเป็นคลื่นท่วมฟ้าน่าหวาดกลัวหอบม้วน ซัดไปทั่วทุกที่ทั่วร่างสวี่ชิง โหมบ่าออกไปอย่างถล่มภูเขาทำลายมหาสมุทร

สัมผัสระดับสร้างฐานครั้งแรก เริ่ม!