ตอนที่ 117 เปิดหอบรรพชน แตกตื่นทั้งหมู่บ้าน (1)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 117 เปิดหอบรรพชน แตกตื่นทั้งหมู่บ้าน (1)

ระหว่างที่สนทนากันนั้น เจี่ยนชิงโยวก็ได้พามั่วเชียนเสวี่ยเดินตรงเข้าไปในห้องครัว

หยวนหมัวมัวได้รับรายงานมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นนางจึงได้ไปยังห้องครัวล่วงหน้า กำชับให้คนในครัวออกไปจนสิ้น เหลือไว้เพียงนางที่จะคอยเป็นลูกมือให้คุณหนูใหญ่เพียงคนเดียว

ขนมที่ว่านี้นางไม่เคยกินมาก่อน แต่ว่าหากสามารถทำให้เจี่ยนเหล่าไท่จวินเอ่ยชมได้ไม่ขาดปากได้ อีกทั้งยังทำให้เหลียงหมัวมัวเอาแต่คิดถึงอยากจะกินอีก คาดว่าคงไม่ธรรมดา

เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเห็นฉากเหล่านี้ นางก็ทำได้เพียงยิ้มขึ้นเบาๆ คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่ขนมเค้กเท่านั้น จะทำให้หยวนหมัวมัวรู้สึกตื่นตระหนกได้เพียงนี้ แม้จะขำ แต่นางก็เข้าใจถึงความจงรักภักดีและความเด็ดขาดของหยวนหมัวมัว เพียงแต่ว่าวิธีการทำขนมเค้กในขั้นตอนแรก และเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือการแยกไข่ขาวและไข่แดง จากนั้นทำการตีไข่

ในสมัยโบราณเช่นนี้เทคโนโลยียังล้าหลัง ไม่มีเครื่องตีไข่อัตโนมัติ การที่จะตีไข่ขาวให้พองฟูจึงจำเป็นต้องใช้แรงและใช้เวลาอย่างหนัก

มั่วเชียนเสวี่ยมองไปทางหยวนหมัวมัวที่รูปร่างอ้วนท้วม อีกทั้งนางอายุไม่น้อยแล้ว เกรงว่าอีกประเดี๋ยวคงจะทนไม่ไหว หากว่าตีไข่ได้ไม่ดี ขนมเค้กก็จะทำออกมารสชาติไม่อร่อย มั่วเชียนเสวี่ยจึงได้เอ่ยถามนางด้วยความหวังดีว่าจะไปเรียกสาวรับใช้เหล่านั้นเข้ามาช่วยหรือไม่ แต่ไม่คาดคิดว่านางจะส่ายหน้าอย่างหนักแน่น แล้วยกแขนเสื้อขึ้นมาทำท่าทางว่านางสามารถทำได้อย่างแน่นอน

มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่านางทำท่าทางหนักแน่นเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกอยากจะขำและก็รู้สึกโมโหเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงบอกให้นางไปเตรียมวัตถุดิบ

หลังจากที่วัตถุดิบจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยจึงได้ใช้ให้หยวนหมัวมัวตีไข่ไก่ หยวนหมัวมัวฟังคำกำชับของมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว แม้ว่าในมือจะถือตะเกียบสำหรับตีไข่ไก่ไว้ แต่ในใจนางก็รู้สึกสงสัยเป็นที่สุด ไข่ขาวมีลักษณะเหลว เหตุใดตีไปตีมาจึงจะจับตัวเป็นก้อนได้ อีกทั้งแม้จะพลิกชามอย่างไรมันก็ไม่ไหลลงมา?

แม้ว่าในใจจะรู้สึกสงสัยยิ่งนัก แต่มือของนางก็ทำตามคำสั่ง

ผ่านไปเพียงเวลาไม่นาน มือของหยวนหมัวมัวก็เริ่มเมื่อยล้าจนไม่อาจตีต่อไปได้ เมื่อเห็นว่าไข่ขาวยังคงเหลวอยู่ นางก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เรียกสาวรับใช้เข้ามาช่วย

ระหว่างที่นางกำลังรู้สึกเสียใจที่คิดผิดอยู่นั้น ด้านนอกก็มีเสียงครึกโครมดังขึ้น

เดิมทีหยวนหมัวมัวตั้งใจจะวางไข่ที่กำลังตีอยู่ในมือลงแล้วออกไปมองดู แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับห้ามเอาไว้แล้วกล่าวว่า การตีไข่นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ไม่อาจหยุดตีได้ หากหยุดตีแล้วล่ะก็ก่อนหน้านี้ที่ทำไปก็จะสูญเปล่า ประเดี๋ยวจะต้องเริ่มต้นทำใหม่ เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยหันไปกำชับกับหยวนหมัวมัวเรียบร้อยแล้ว เจี่ยนชิงโยวก็ได้ลากนางออกจากห้องครัวเพื่อไปดูว่าด้านนอกส่งเสียงเอะอะอะไรกัน

เนื่องจากก่อนที่พวกนางจะเข้ามาในห้องครัวนั้น หยวนหมัวมัวได้ให้ไต้ฉินกับน่งฉาคอยยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก แต่เกิดเสียงเอะอะโวยวายเช่นนี้กลับไม่พบว่าทั้งสองคนเข้ามารายงาน คาดว่าด้านนอกที่เอะอะอยู่นี้สถานการณ์คงจะหนักหนาน่าดู

ยังไม่ทันที่พวกนางจะเดินออกไปถึง ก็มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งพุ่งกายเข้ามาชนกับเจี่ยนชิงโยวที่กำลังจูงมือมั่วเชียนเสวี่ยออกไปด้านนอกเข้าอย่างจัง เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยพบว่าเจี่ยนชิงโยวถูกชนเข้า จึงรีบเข้าไปพยุง

หยวนหมัวมัวรีบโยนตะเกียบทิ้งแล้วก้าวออกไปตบศีรษะผอจื่อที่เข้ามาชนเสียจนล้มลงสู่พื้น ก่อนจะตะโกนตำหนิว่า “กล้าดีอย่างไร ใครใช้ให้พวกเจ้าเข้ามาตามอำเภอใจเช่นนี้?”

ทันใดนั้น เมื่อประตูใหญ่ของห้องครัวถูกเปิดออก มั่วเชียนเสวี่ยจึงได้มองออกไปด้านนอก ให้ตายสิ เพียงไม่นานที่ด้านนอกนั้นก็มีบ่าวรับใช้และผอจื่อนับสิบคนยืนรายล้อม

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

หยวนหมัวมัวยังไม่ทันได้สังเกตว่าด้านนอกมีผู้คนยืนอยู่มากมาย หลังจากที่นางตบหน้าผอจื่อคนนั้นแล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความโมโหที่มีอยู่ในใจ จึงได้ตำหนิต่ออีกว่า “ไม่รู้หรืออย่างไรว่าคุณหนูใหญ่อยู่ที่นี่ บ่ายวันนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อนุญาตให้เข้าไปในห้องครัว…”

“เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ดูท่าแล้วที่นี่จะไม่มีทางให้เราใช้ชีวิตอยู่ได้แล้วน่ะสิ แม้แต่จะใช้ห้องครัวยังต้องคอยดูสีหน้าคนอื่น”

มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากด้านหลังกลุ่มคนเข้าขัดจังหวะของหยวนหมัวมัว เมื่อได้ยินเสียงนั้น บรรดาบ่าวรับใช้และผอจื่อก็ได้เปิดทางออก เจ้าของเสียงนั้นจึงเดินออกมาอย่างสง่างาม

ผู้นั้นเป็นสตรีสวมชุดจีนงดงาม อายุประมาณสามสี่สิบปีเห็นจะได้ นางทำผมทรงมวยหลังม้า สวมกระโปรงผ้าไหมจับจีบสีม่วงอ่อนประดับด้วยลายผีเสื้อ มีผ้าคลุมสีน้ำเงินที่ด้านหลัง มองไปแล้วช่างงดงามยิ่งนัก ดวงตาคู่นั้นดุจธารไหล ใบหน้าผัดแป้งนวลผ่อง มองไปสีหน้าดูแฝงถึงความประชดประชัน

“คารวะฮูหยินรองเจ้าค่ะ” หยวนหมัวมัวมองไปทางสตรีผู้นั้นและรีบทำความเคารพ

นางนึกอยู่ในใจว่าปกติแล้วฮูหยินรองจะไม่โต้แย้งต่อฮูหยินใหญ่ การที่นางเดินทางมาที่นี่ คาดว่าคงจะต้องการสร้างเรื่อง ดังนั้นควรระวังตัวไว้เป็นดี ผอจื่อที่พุ่งชนประตูเข้ามาและถูกหยวนหมัวมัวตบเข้าให้ที่หลังศีรษะยังคงนอนกองอยู่ที่พื้นด้วยความงุนงง บัดนี้เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ดังขึ้น จึงพบว่าฮูหยินรองเดินทางมาที่นี่

นางร้องไห้ร้องห่มขึ้นกล่าวว่า “ฮูหยินเจ้าคะ มาได้จังหวะพอดีเหลือเกินเจ้าค่ะ ช่วงนี้บ่าวเห็นว่า คุณหนูเจ็ดไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรนัก บ่าวจึงตั้งใจจะเคี่ยวยาบำรุงสุขภาพให้แก่คุณหนูเจ็ด แต่คาดไม่ถึงว่า ไต้ฉินและน่งฉาจะรั้งบ่าวเอาไว้ด้านนอก ทำอย่างไรก็ไม่ให้บ่าวเข้าไป”

“จางหมัวมัวลุกขึ้นยืนเถิด ร่างกายของชิงเจินนั้นไม่ค่อยดีอยู่แล้วเป็นเดิมทุน แน่นอนว่านางจะต้องได้รับของบำรุง หยวนหมัวมัวเจ้ามันเป็นบ่าวอย่างไรกันจึงปิดกั้นไม่ให้นางเข้าไปในห้องครัว เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าเช่นไรหรือ” ฮูหยินรองได้ยินผอจื่อที่นอนกองอยู่บนพื้นกล่าวเช่นนั้นจึงโมโหและตำหนิหยวนหมัวมัวออกมา

หยวนหมัวมัวหมอจึงได้เห็นว่าผอจื่อเมื่อสักครู่เป็นใคร นางเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “จางหมัวมัว เหตุใดจึงเป็นเจ้า”

จางหมัวมัวก็คือแม่นมของคุณหนูเจ็ดเจี่ยนชิงเจิน และฮูหยินรองก็คือมารดาของเจี่ยนชิงเจินนั่นเอง

จางหมัวมัวซึ่งบัดนี้มีนายคอยสนับสนุนอยู่ นางชี้ไปทางหยวนหมัวมัวแล้วเอ่ยฟ้องฮูหยินรองว่า “บ่าวเดินทางมาหวังจะเคี่ยวยาบำรุงร่างกายให้คุณหนูเจ็ด แต่เป็นเพราะไต้ฉินกับน่งฉาบังประตูเอาไว้ไม่ให้เข้า ด้านของชุ่ยจู๋กับชุ่ยผิง บ่าวรับใช้ของคุณหนูห้าก็เดินทางมาทำขนมให้คุณหนูห้าเช่นกัน…พวกนางทะเลาะกันไปมาจนโหวกเหวกวุ่นวาย บ่าวพบว่าที่ประตูไม่มีผู้ใดอยู่จึงตั้งใจจะผลักเข้าไปเพื่อไปเคี่ยวยาบำรุงร่างกาย คาดไม่ถึงว่าทันทีที่ผลักประตูเข้าไปก็ล้มลงกับพื้น ส่วนนางยังไม่ทันได้เอ่ยถามอันใดก็เข้ามาตบบ่าวเจ้าค่ะ…”

จางหมัวมัวผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง เห็นได้ชัดว่านางเข้ามาชนเจี่ยนชิงโยวก่อน แต่บัดนี้กลับหลับหูหลับตากล่าวเรื่องไร้สาระออกมา จากประโยคเมื่อสักครู่ของนางชี้ให้เห็นชัดเจนว่านางเพียงแค่ผลักประตูเข้าไปโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว กลับชนเข้ากับใครคนหนึ่งเสียจนทำให้นางต้องล้มลง เพียงแค่ประโยคเดียวนางก็สามารถหลุดพ้นจากข้อหาที่นางทำร้ายเจ้านายได้อย่างง่ายดาย

ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่านางต้องการจะแอบเข้าไปท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย จากนั้นจับตามองดูวิธีการทำขนม เพียงแต่คิดไม่ถึงว่ามั่วเชียนเสวี่ยและเจี่ยนชิงโยวก็ตั้งใจจะออกไปข้างนอกด้วย จึงทำให้ชนกันเข้า

คุณหนูเจ็ดอย่างงั้นหรือ เมื่อครู่ยังเห็นว่านางดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก เหตุใดจู่ๆ จึงไม่สบายขึ้นเล่า?

นี่เป็นเพียงแค่ข้ออ้างที่จะให้หมัวมัวของตนเข้าไปในห้องครัวเท่านั้นเอง

“การที่ข้าตบเจ้าเมื่อสักครู่ยังนับว่าเบาไป เจ้าผลักประตูเข้ามาเช่นนั้นทำให้คุณหนูใหญ่ล้มลงไปกับพื้น!” ด้านของเหลียงหมัวมัวเองก็ไม่ธรรมดา

“บ่าวเป็นกังวลคุณหนูเจ็ดนี่เจ้าคะ ดังนั้นจึงได้เข้าไปในห้องครัวอย่างรีบร้อน คาดไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่จะเดินออกมาจากห้องครัว”

“ชิงโยว” ฮูหยินรองกล่าวขึ้นขัดประโยคของนาง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกับผู้อาวุโสที่กำลังสั่งสอนบุตรหลานว่า “เพียงแค่ทำขนมไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงต้องทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้”

นี่คือแผนการที่เตรียมไว้ล่วงหน้าอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นจู่ๆ เหตุใดจึงมีผอจื่อและบ่าวรับใช้มาอยู่ที่นี่มากมาย อีกทั้งยังให้มารดาของนางเดินทางมาที่นี่ด้วย

นั่นสิ ก็แค่ทำขนมเค้กไม่ใช่หรือไร หากอยากจะเรียนวิธีทำจงกล่าวออกมาตรงๆ ก็ย่อมได้ เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ตนไม่ได้มาเกิดใหม่เป็นคุณหนูในจวนใหญ่เช่นนี้ ไม่อย่างนั้นหากแต่ละวันจะต้องพบกับการแก่งแย่งชิงดีอันน่าปวดหัวมากมายเหล่านี้ละก็ นางคงจะเหนื่อยตายเสียก่อน

การที่บ่าวรับใช้สองคนทะเลาะวิวาทกัน ก็ได้กลับกลายเป็นการวิวาทระหว่างสองนาย

ในไม่ช้าเรื่องนี้ก็ไปถึงหูเจี่ยนเหล่าไท่จวิน