บทที่ 118 สั่งสอน
บทที่ 118 สั่งสอน
“เจ้าคือสุนัขที่ทะเลาะกับข้าที่เหลาอาหารใช่หรือไม่?”
“ไม่ ไม่ใช่ข้า”
ปู้ฉือเอ่ยปฏิเสธออกมาด้วยเสียงสั่นเทา แต่หนานกงหลีแน่ใจว่าเป็นเขา จึงกำหมัดด้วยความโกรธชกไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย
“ไอ้สุนัข หากมีเรื่องคับแค้นขุ่นเคืองใจอันใดก็จงมาหาข้า ถึงกับกล้าบังอาจลักพาตัวหลานสาวตัวน้อยของข้า เจ้าทำสมองหล่นหายไปแล้วหรือไร!”
ปู้ฉือกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะถูกทุบตี เขาตกใจกลัวจนหมดสติไป มีกลิ่นเหม็นโชยลอยมา ทำให้เห็นว่าเขาไม่เพียงแต่ตกใจกลัวจนหมดสติ ยังถึงกับปัสสาวะราดออกมาด้วย
หนานกงหลีโยนคนออกไปทันทีด้วยความขยะแขยง ภายในใจของเขามีความเกลียดชังอย่างรุนแรง เขาไม่มีทางปล่อยคนผู้นี้ไปอย่างง่ายดายเด็ดขาด
“พาคนทั้งหมดกลับไปยังศาลต้าหลี่!”
หนานกงสือเยวียนออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา ศีรษะของผู้ค้ามนุษย์ถูกจับกระแทกกำแพงอย่างดุดันจนได้สติกลับคืนมา พร้อมร้องเสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
ส่วนคนอื่น ๆ นั้น ตอนนี้ต่างก็ไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย พวกเขาตัวสั่นเทา ร้องไห้ออกมาระหว่างถูกพาตัวไป
พวกเขาต้องการร้องขอความเมตตา แต่มันจะได้ผลอย่างนั้นหรือ?
ส่วนเด็กทั้งสามถูกพาไปยังที่ว่าการ ตระกูลโจวมาแจ้งความช่วยตามหาคนหายแล้ว ส่วนเด็กที่เหลืออีกสองคนยังไม่รู้ว่ามาจากบ้านไหน จำต้องค่อย ๆ ออกตามหา
เมื่อได้เด็กที่หายไปกลับคืนอ้อมอก ตระกูลโจวก็ถึงกับกอดโจวเหยียนคุกเข่าขอบคุณยกใหญ่ เด็กคนนี้เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของพวกเขา
ผู้พิพากษาประจำศาลต้าหลี่ประคองคนขึ้นมา พร้อมพูดว่า “พวกเจ้าโชคดีแล้ว”
โชคดีที่บังเอิญถูกจับไปพร้อมกับองค์หญิงน้อย ฝ่าบาทของพวกเขารักและเอ็นดูองค์หญิงน้อยเป็นอย่างมาก หากไม่พบตัวเกรงว่าทั่วทั้งเมืองหลวงจะต้องถูกเขาพลิกหาอย่างแน่นอน
ส่วนเสี่ยวเป่าผู้ห้าวหาญ ตอนนี้ได้หลับอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงมีท่านพ่ออยู่ทุกอย่างก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแล้ว
วันรุ่งขึ้น เสี่ยวเป่าตื่นสายมาก ทว่าทันทีที่ลืมตาก็เห็นพี่ใหญ่กำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่างมองมาทางตนเอง
เสี่ยวเป่าคิดว่าตนเองมองผิดไป จึงลุกขึ้นนั่งอย่างสะลึมสะลือแล้วขยี้ตา จากนั้นถึงได้รู้ว่าเป็นพี่ใหญ่จริง ๆ
เด็กน้อยรีบกระโจนตัว วิ่งไปกอดพี่ชายอย่างมีความสุข
“พี่ใหญ่!”
หนานกงฉีซิวกอดร่างนุ่มนิ่มของเด็กน้อยเอาไว้ในอ้อมแขนแน่น เขารู้สึกเป็นกังวลอยู่ทั้งคืน ถึงแม้จะมีคนมาแจ้งว่าเสี่ยวเป่าได้รับการช่วยเหลือกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เขาก็ยังไม่อาจข่มตานอนหลับได้
เมื่อใกล้ถึงเวลาเปิดประตูวัง หนานกงฉีซิวก็รีบตรงเข้าไปในพระราชวังทันที
เสด็จพ่อที่ตื่นและลุกออกไปแล้ว อนุญาตให้เขาเข้าไปดูเสี่ยวเป่าในห้องบรรทม
เมื่อได้เห็นเด็กน้อยกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง หนานกงฉีซิวจึงค่อยวางใจลงได้อย่างสมบูรณ์ สายตาของเขาจับจ้องไปทางเจ้าก้อนแป้งตัวน้อยบนเตียงอย่างไม่อาจละออกไปได้
ในตอนนี้ หนานกงฉีซิวกอดน้องสาวตัวนุ่มนิ่มเอาไว้แน่น มือข้างหนึ่งโอบประคองหลังศีรษะของนางอย่างอ่อนโยนพร้อมเอ่ยขอโทษ
“ขอโทษ เพราะพี่ชายไร้ความสามารถจึงเกือบจะต้องเสียเจ้าไป”
จนกระทั่งถึงตอนนี้หนานกงฉีซิวก็ยังคงโทษตัวเองไม่หยุด
เขาโทษตัวเองที่ไม่อาจปกป้องน้องสาวได้ โทษตนเองที่ไร้ประโยชน์ ไม่อาจทำได้แม้แต่การไปร่วมตามหา
สิ่งที่เขาทำได้ ดูเหมือนจะมีเพียงการเฝ้ารออย่างเงียบ ๆ ที่จวนจิ้นอ๋อง ไม่ไปเพิ่มภาระความยุ่งยากให้ผู้อื่น
เสี่ยวเป่านั่งอยู่ในอ้อมแขนของพี่ใหญ่ สองแขนเล็กกลมป้อมกอดคอของเขาไว้ ใบหน้าน้อย ๆ เอียงแอบกับใบหน้าของพี่ชาย
“เหตุใดพี่ใหญ่จึงต้องขอโทษด้วย เป็นเสี่ยวเป่าที่ผิดเอง เสี่ยวเป่าทำให้พี่ใหญ่ต้องเป็นห่วงแล้ว”
เจ้าก้อนแป้งที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนของพี่ชายเงยหน้าขึ้นมองด้วยความรู้สึกผิด
“ตอนแรก ตอนแรกเสี่ยวเป่าสามารถสั่งให้พวกเฟิงเฟิงต่อยคนเลวเหล่านั้นได้ เสี่ยวเป่าจะได้ไม่โดนจับไป ยาสลบไม่มีผลกับเสี่ยวเป่า แต่เสี่ยวเป่าได้ยินพวกเขาพูดว่ายังมีเด็กคนอื่น ๆ ที่ถูกจับไปแล้ว”
ขณะที่พูดเสี่ยวเป่าก็ก้มหัวลง เอ่ยขอโทษออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ขอโทษเพคะพี่ใหญ่ เสี่ยวเป่าทำให้ท่านต้องเป็นห่วงแล้ว”
หนานกงฉีซิวลูบหัวน้อย ๆ ของนาง “เหตุใดจึงโง่งมเช่นนี้ หืม?”
เห็นได้ชัดว่าเป็นตนเองที่ต้องเผชิญหน้ากับอันตราย แต่ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายมาปลอบโยนทั้งยังขอโทษเขา
เสี่ยวเป่าเอนศีรษะเข้าไปในอ้อมแขนของพี่ชาย มือขาวอ่อนนุ่มกำคอเสื้อของเขาเอาไว้แน่น
“พี่ใหญ่ไม่ต้องเศร้าใจไป เสี่ยวเป่าไม่เป็นอันใด คนเลวเหล่านั้นก็ถูกจับไปแล้ว เด็กอีกสามคนที่ถูกจับไปด้วยก็ได้รับการช่วยเหลือเรียบร้อย”
หนานกงฉีซิวตอบกลับ “ตกลง ข้าไม่เศร้าแล้ว”
แม้จะรู้ว่าเสี่ยวเป่าจงใจนำตัวเองเข้าไปในอันตราย แต่เขาก็ทนเอ่ยสิ่งใดกับเสี่ยวเป่าไม่ได้
ชายหนุ่มหยิบโคมออกมาด้านหน้าของเด็กน้อย
“โคมกระต่ายของข้า!”
เสี่ยวเป่ามีความสุขเป็นอย่างมาก โคมกระต่ายที่พี่ชายชนะการทายปริศนาและมอบให้ตนเอง ตกลงไปบนพื้นตอนที่นางถูกลักพาตัว เดิมทีนางคิดว่ามันจะหายไปเสียแล้ว ไม่คาดคิดว่าตอนนี้จะได้มันกลับคืนมา
เพียงแต่…
“หือ? ดูเหมือนว่าโคมอันนี้จะไม่ใช่อันเดียวกับเมื่อวาน…”
หนานกงฉีซิว “โคมเมื่อวานถูกเหยียบจนพังแล้ว ดังนั้นข้าจึงทำขึ้นใหม่โดยอ้างอิงจากร่างโคมเมื่อวานให้เจ้า”
ได้ยินเช่นนั้นแล้ว เสี่ยวเป่าก็ยิ่งชอบมันมากขึ้น นางกอดถูไถกับโคมกระต่าย ก่อนมองไปทางพี่ใหญ่ด้วยคิ้วที่โค้งได้รูป มุมปากยกขึ้นจนเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ บนแก้มทั้งสองข้าง ดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง
“ขอบคุณพี่ใหญ่ เสี่ยวเป่าชอบโคมกระต่ายอันนี้มากเลยเพคะ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาของหนานกงฉีซิว เขาบีบจมูกเล็ก ๆ หยอกล้อน้องสาวของตนเอง
แต่มีความสุขได้เพียงไม่นาน เสี่ยวเป่าก็ถูกหนานกงสือเยวียนกับหนานกงหลีหิ้วไปสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวเมื่อวาน
หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้รู้ว่าเมื่อวานเสี่ยวเป่าจงใจให้ตัวเองถูกลักพาตัวไป
เด็กน้อยสารภาพออกมาด้วยตนเองตามตรง
หนานกงหลีโกรธเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นเสี่ยวเป่าตัวสั่นก็ไม่อาจกล่าววาจารุนแรงอันใดออกมาได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันอันตรายมากเพียงใด? ตัวก็เล็กเพียงนี้แต่กลับกล้าหาญไม่เบา ถึงกับเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตราย ผู้ใดเป็นคนมอบความกล้าเช่นนี้ให้เจ้ากัน?”
แม้เสี่ยวเป่าจะรู้ว่าตนเองผิด แต่นางก็ยังคงมีความกล้า
นางช้อนนางพญาผึ้งที่อยู่บนหัวชูขึ้นสูง “เสี่ยวเป่ามีพวกมันคอยปกป้องอยู่”
หลังจากนั้น นางก็ลอบชำเลืองมองไปทางท่านพ่อ รู้สึกกล้าหาญขึ้นมาเล็กน้อย
“อีกทั้งท่านพ่อกับพวกท่านจะต้องตามหาเสี่ยวเป่าพบแน่นอน”
เป็นความมั่นใจที่มากเกินจะบรรยาย
หนานกงหลีดีดหน้าผากของนางด้วยแรงที่ไม่มากไม่น้อย
“ถึงมีผึ้งก็มีเพียงแค่ไม่กี่ตัว คนเหล่านั้นต่างมีอาวุธอยู่ในมือ หากโดนผึ้งต่อยเจ็บแล้วเกิดโมโห ลงมือกับเจ้าขึ้นมาจะทำอย่างไร? ตัวพวกเจ้ายังใหญ่ไม่เท่าขาของคนเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ!”
เสี่ยวเป่าถูกสั่งสอนจนไม่กล้าสบตา ศีรษะเล็ก ๆ ก้มลงอย่างน่าสงสาร แต่คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรท่านพ่อและพี่ใหญ่ก็ทำใจแข็งไม่เข้ามาช่วย จำเป็นต้องให้เด็กน้อยรู้ว่าผิดที่เอาตนเองเข้าไปเสี่ยง
“ครั้งหน้ายังจะกล้าอีกหรือไม่?”
เสี่ยวเป่าส่ายหัวอย่างจริงใจ “ไม่กล้าแล้ว”
หนานกงฉีซิวเอ่ยต่อ “เมื่อรู้แล้วว่าผิด ครั้งหน้าก็อย่าได้ทำอีก จำเอาไว้ เจ้ายังเด็กนัก ไม่ว่าเผชิญหน้ากับอันตรายเรื่องใดก็อย่าได้อวดเก่ง สามารถมาขอความช่วยเหลือจากพวกเราได้”
สุดท้ายเขาก็เอ่ยสรุปออกมา “แต่แม้ครั้งนี้จะอันตรายไปบ้าง ทว่าเรื่องที่เจ้าทำก็น่าชื่นชมอยู่บ้าง ไม่กระทำการผลีผลามใด ๆ เพื่อยั่วยุคนเหล่านั้น ทั้งยังรู้จักให้ผึ้งบินกลับมาส่งข่าว”
เสี่ยวเป่าเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาบ้าง “เสี่ยวเป่าไม่ได้โง่ ปล่อยให้พวกผึ้งตามท่านพ่อมาลงมือเท่านั้น”
สำหรับจุดนี้ ผู้ปกครองทั้งสามค่อนข้างพึงพอใจทีเดียว เสี่ยวเป่าไม่ได้หุนหันพลันแล่นเพราะผึ้งไม่กี่ตัวบนร่าง นางเลือกจะปลอบเด็กอีกสามคนแทน จึงค่อยลงมือกับเหล่าคนลักพาตัวในตอนสุดท้ายขณะที่คนพวกนั้นตั้งตัวไม่ทัน
แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่ผึ้งต่อยคนจนตาย แต่นั่นเป็นการถูกผึ้งทั้งฝูงรุมต่อยจนตาย
ทว่าเสี่ยวเป่าพาผึ้งติดไปด้วยเพียงไม่กี่ตัว มากสุดก็ทำให้พวกคนลักพาตัวเจ็บหลายครั้ง หากเสี่ยวเป่าลงมืออย่างหุนหันพลันแล่น หลังจากคนลักพาตัวจัดการผึ้งเหล่านั้นได้แล้ว พวกเสี่ยวเป่าจะยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้น