บทที่ 70 เรียกเขาว่า ‘อาเหรา’ เป็นครั้งแรก
“ท่านว่าดีก็ดีแล้ว…”
เหยาซูไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังพูดอะไรอยู่ ไม่รู้ว่ามันเกิดจากการกระทำที่ไม่ตั้งใจของหลินเหรา หรือน้ำเสียงที่แหบแห้งของเขากันแน่
แก้มที่อ่อนโยนดุจหยกขาวของนางถูกย้อมเป็นสีชมพูระเรื่อ ดวงตาที่สงบอ่อนโยนของหญิงสาวพลันฉายแววลนลาน นางหลบสายตาของชายหนุ่มราวกับกวางน้อยที่ตื่นตกใจ
ความอ่อนโยนในใจของหลินเหราถูกแทนที่ด้วยอารมณ์ที่ร้อนแรงอีกอารมณ์หนึ่งอย่างรวดเร็ว ลมหายใจของเขาเริ่มถี่กระชั้นขึ้น
เขาพูดด้วยเสียงแหบพร่า “อาซู ในอนาคตชื่อของลูก ๆ จะให้เจ้าเป็นคนตั้งนะ”
ลูก ๆ งั้นหรือ? นางให้กำเนิดเด็กออกมาสามคนแล้วยังไม่พออีกเหรอ?!
“แค่ก ๆ” เหยาซูตกใจในสิ่งที่เขาพูด นางพยายามระงับอาการชาที่ใบหูและพูดว่า “เรื่องในอนาคตค่อยว่ากันทีหลัง”
“ได้”
แววตาของเขาลุกโชนราวกับไม่เคยเห็นเหยาซูมาก่อน และไม่ยอมถอยห่างจากนาง
สายตาของชายหนุ่มที่จ้องมองนั้นดุดันอยู่เสมอ เมื่อถูกเขาจ้องมอง เกรงว่าแม้แต่สัตว์ป่าที่กล้าหาญก็ยังไม่อาจควบคุมตัวเองให้ถอยหนีได้
ทว่าในตอนนี้สายตาของเขากลับร้อนรุ่ม แตกต่างจากความเย็นชาในอดีตอย่างสิ้นเชิง
เหยาซูคิดจะถอยหลังหนี ทว่าอีกความคิดก็อยากจะปล่อยตัวเองจมอยู่ภายใต้สายตาที่ชวนหลงใหลราวกับกระแสน้ำที่ไหลบ่าออกมานั้น แต่นางจะปล่อยให้ตัวเองจมลงไปในดวงตาคนอื่นได้จริงหรือ
ตั้งแต่หลินเหราปรากฏตัว เขาก็ทำตัวเหมือนคู่ครองในอุดมคติของนาง หล่อเหลา แข็งแกร่ง รับผิดชอบ ในขณะเดียวกันเขาเองก็มีน้ำใจและเคารพนาง
แต่นางสามารถลดความหวาดระแวงของตัวเองลงได้ และเชื่อใจคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยใจจริงได้หรือ? ในเมื่ออีกไม่นานเขาก็จะจากไป!
รอยยิ้มที่ไร้เดียงสาของซานเป่าปลุกเหยาซูให้ตื่นขึ้น ชั่วขณะนั้นนางนึกถึงชะตาชีวิตของ ‘หลินซ่ง’ ในหนังสือต้นฉบับ แล้วยังมีลูกอีกสองคน อาจื้อและอาซือ
นางไม่ใช่ตัวคนเดียวในตอนนี้ นางยังมีลูกสามคน! หากนางยอมแพ้ เช่นนั้นนางจะปกป้องเด็กที่อ่อนแอทั้งสามได้อย่างไร?
เหยาซูสงบสติอารมณ์และบังคับตัวเองให้สบตากับหลินเหรา “ไปกันเถอะ”
หลังจากที่ทั้งสองส่งลูก ๆ ของพวกเขาที่ตระกูลเหยาและมอบให้แม่เฒ่าเหยากับเหยาเฟิงเป็นคนจัดการต่อแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังเมืองชิงถง
เหยาเฉาออกจากบ้านไปตั้งแต่เมื่อวานนี้ เหยาเฟิงจึงให้หลินเหราขับเกวียนเข้ามาในเมือง
การได้อยู่ตามลำพังทำให้เหยาซูได้คิด นางนั่งอยู่บนเกวียนและเริ่มคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับทัศนคติของนางที่มีต่อหลินเหราในอนาคต แน่นอนว่าหลินเหราเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มาก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ใช่พระเอกของเรื่อง
แต่แม้ว่าเขาจะยอดเยี่ยมและมีเสน่ห์เพียงใด การดูแลตัวเองและความรับผิดชอบย่อมมาก่อนความรักเสมอ หากในอนาคตเขาถูกลิขิตให้หลงรักคนอื่น เหยาซูจะต้องเสียใจกับความอ่อนโยนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขามอบให้ในวันนี้ แล้วนางจะทำอย่างไร? นางจะทำอย่างไรในเมื่อนางจะต้องอยู่กับเขาทั้งวันทั้งคืน?
หากนางไม่สามารถรับประกันได้ว่านางจะสามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการแยกทาง
ทว่าหลินเหราไม่มีทางทิ้งนางและลูก ๆ อีกทั้งวันนี้เด็ก ๆ ก็ยอมรับหลินเหราและชื่นชมเขาในฐานะบิดา พวกเขาไม่อยากแยกจากพ่อของพวกเขาแน่นอน
เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นตัวนางเองที่ต้องแยกออกมาคนเดียว?
ไม่! นางจะทิ้งลูกทั้งสามคนได้อย่างไร?
“อาซู หนาวหรือไม่? อยากดื่มชาร้อนสักถ้วยหรือไม่?”
เสียงของหลินเหราดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของเหยาซู นางสังเกตเห็นว่ามีโรงน้ำชาอยู่ริมถนน และหลายคนที่ผ่านไปมาก็กำลังนั่งดื่มชาร้อน ๆ อยู่
เดิมทีนี่เป็นเส้นทางที่แสนสบาย แต่ในใจของเหยาซูหนักอึ้งราวกับมีก้อนหินก้อนหนึ่งทับอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นเขาถามขึ้นจึงฝืนใจตอบว่า “ไม่ พวกเรารีบเข้าไปในเมืองดีกว่า”
หลินเหราเห็นว่านางดูไม่ค่อยร่าเริงนักจึงหันกลับไปมองถนนดังเดิม
เหยาซูสวมเสื้อผ้าสีอ่อนนั่งอยู่บนเกวียนเทียมวัวธรรมดา เห็นได้ชัดว่าเป็นชุดที่เรียบง่ายที่สุด ทว่าก็ไม่สามารถปิดบังความงามตามธรรมชาติได้
แค่นางนั่งบนเกวียนธรรมดาก็งดงามแล้ว แต่สีหน้าของเหยาซูกลับดูเศร้าหมองเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงอดถามไม่ได้ว่า “เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาและมองไปที่เขา ดวงตาสีอ่อนสดใสของนางดูราวกับแก้วหลิวหลียามต้องแสงอาทิตย์ แววตาที่สะท้อนออกมาทำให้หลินเหราเหม่อลอยไปชั่วขณะ
นางเอ่ยเบา ๆ ว่า “ไม่มีอะไร เพียงแค่คิดอะไรอยู่เล็กน้อยน่ะ”
หลินเหราหันกลับไปบังคับเกวียนต่อ ทว่าในความคิดของเขาจดจ่ออยู่กับคนที่อยู่ข้างหลัง
เขารู้ว่าเหยาซูมีปัญหา แต่ในเมื่อนางไม่ยอมพูดหลินเหราก็จะไม่ถาม เพียงแค่พูดกับนางว่า “ข้าเป็นสามีของเจ้า และเจ้าก็เป็นภรรยาของข้า สามีภรรยาถือว่าเป็นคนหนึ่งคนเดียวกัน หากเจ้ามีปัญหาใด ๆ ก็สามารถบอกข้าได้”
เมื่อเหยาซูได้ยินดังนั้นก็มิอาจบอกเขาได้
ปัญหาของข้าก็คือ วิธีการที่จะแยกจากท่าน….
นางทำได้เพียงส่ายศีรษะ
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงหลินเหราที่นั่งอยู่ข้างหน้าและมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของนาง
“ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ไม่คุ้มค่าที่จะพูดหรอก”
หลินเหราได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก
ทั้งสองคนมาถึงนอกเมืองอย่างรวดเร็ว หลินเหราจอดเกวียนไว้ที่ที่ให้จอดโดยเฉพาะและมอบเหรียญทองแดงอีกห้าเหรียญให้กับคนเฝ้า จากนั้นเดินตามเหยาซูเข้าไปในเมือง
ตอนนี้เป็นเวลาที่สรรพสิ่งกำลังฟื้นตัว แม้ว่าต้นไม้ใบหญ้าจะยังเติบโตไม่เต็มที่ แต่กิ่งก้านของต้นไม้สูงใหญ่ตลอดทางก็เริ่มปรากฏสีเขียวอยู่ไม่น้อย ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและเบิกบานใจ
เหยาซูและหลินเหราเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันบนถนนดินเหลือง พวกเขาทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกัน เหยาซูยังคงคิดถึงเรื่องของตัวเองอย่างเงียบ ๆ ทว่าพลันใดนั้นกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยมาจากที่ไกล ๆ เรียกนางว่า “อาซู อาซู”
เหยาซูหันกลับไปก็เห็นป้าหูที่อุ้มหลานชายอยู่ นางกำลังเดินตามลูกสะใภ้ของนางมาทางพวกเขา
หญิงสาวยิ้มและทักทาย “ท่านป้าหู! วันนี้ท่านมาเดินเล่นในเมืองด้วยหรือเจ้าคะ?”
ลูกสะใภ้ของป้าหูยิ้มให้ทั้งสองคนโดยไม่พูดอะไร
ป้าหูชื่นชอบเหยาซูมาโดยตลอด พอเห็นนางก็ดีใจมากหัวเราะคิกคักและกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันตลาดใหญ่จึงออกมาเดินเล่นน่ะ ได้เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นฤดูใบไม้ผลิพอดี”
พอพูดจบสายตาของนางก็เลื่อนผ่านไปยังร่างของหลินเหรา ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่พยักหน้าให้กับนางอย่างสุภาพ “ท่านป้าหู”
ตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่ได้เห็นความโหดเหี้ยมและวาจาเผ็ดร้อนของแม่เฒ่าตระกูลหลิน ป้าหูก็ไม่มีความประทับใจใด ๆ ต่อคนตระกูลหลินอีก หลินเหราเองก็จัดอยู่ในจำพวกที่นางรังเกียจเช่นกัน
หญิงชราพยักหน้าอย่างเย็นชาและไม่พูดอะไรกับหลินเหรา
นางยืนข้าง ๆ เหยาซู เอ่ยถามว่า “เหตุใดวันนี้ไม่เห็นลูกทั้งสามของเจ้าล่ะ”
เหยาซูยิ้มและกล่าวว่า “พวกเขาอยู่ที่บ้านกับท่านพ่อท่านแม่น่ะเจ้าค่ะ วันนี้ข้ามาเดินเล่นในเมืองกับอาเหรา เพื่อซื้อเสื้อผ้าให้เขาสองชุด”
หัวใจของหลินเหราเต้นระรัว
เหยาซูมักจะเรียกชื่อเต็มของเขาเสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเรียกเขาว่า ‘อาเหรา’
ป้าหูขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรที่ไม่น่าฟัง นางเพียงแค่ขยับปากบ่นพึมพำ “ตระกูลหลินยังขาดเสื้อผ้าของลูกชายอีกสองสามชุดอีกรึ?”
หลินเหรานั้นหูไวมาก เขาจึงเอ่ยตอบว่า “ข้ากับอาซูได้แยกออกมาอยู่ตามลำพังแล้วขอรับ”
เสียงของหลินเหราทุ้มต่ำ พูดไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป อีกทั้งคำพูดที่ออกมานั้นฟังดูน่าเชื่อถือ ป้าหูได้ยินก็ประหลาดใจ “แยกออกจากตระกูลงั้นหรือ?”
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เป็นปัญหาน่าหนักใจเหมือนกันนะหากต้องแยกจากกันจริงๆ ในเมื่อใจมันก็หวั่นไหวไปแล้ว
ไหหม่า(海馬)