ตอนที่ 52

My Disciples Are All Villains

การสบถที่แสนหยาบคายได้ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ด้วนมู่เฉิงที่เป็นคนที่รอบคอบและสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอดแต่กลับไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป นับตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบันไม่เคยมีใครกล้าพูดท้าทายภูเขาทองแบบนี้มาก่อน

ซูจินฉานที่ได้ฟังแบบนั้นไม่ได้สนใจอะไร ทุกคนที่เห็นท่าทีของเขาก็รู้ได้ดีว่าชายคนนี้ไม่ได้เกรงกลัวหรือเคารพอะไรภูเขาทองเลย สิ่งที่เขาต้องการทั้งสามอย่างเป็นเหมือนกับการเอาเปรียบคนในภูเขาทองลูกนี้

“สำนักต่ำต้อยอย่างวิหารปีศาจของเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอจะมาร่วมมือกับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้หรอก! ” ด้วนมู่เฉิงได้พูดออกมาพร้อมแววตามที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

ทุกๆ คนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็จับจ้องไปที่ด้วนมู่เฉิงด้วยความตกตะลึง ในขณะที่ลู่โจวเองยังคงสงบเงียบ เขายังไม่ได้รีบแสดงท่าทีอะไรออกไป

แต่แทนที่ซูจินฉานจะโกรธเกรี้ยวตัวเขากับพูดออกมาแทน “ด้วนมู่เฉิง ได้โปรดให้อภัยกับคำพูดของข้าด้วยถ้าหากมันทำให้ท่านไม่พอใจ”

ด้วนมู่เฉิงเองก็ไม่ใช่คนพูดจาเก่งกาจอะไร ความรู้สึกอันซื่อตรงของเขามักจะทำให้ตัวเขารู้สึกไม่พอใจอะไรกับคนหน้าด้านที่พูดจาอะไรอย่างคลุมเครือ ในตอนที่ด้วนมู่เฉิงกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมาในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็ได้ลุกขึ้นก่อนที่จะพูดอะไรออกมาซะก่อน “ให้ข้าบอกอะไรเจ้าอย่างนะซู่จินฉาน”

“ได้โปรดพูดมาเถอะหมิงซี่หยิน! “

“เรื่องประการแรกวังจันทราที่ถูกปกครองโดยยี่เทียนซิน เจ้าเห็นด้วยไหมล่ะว่าการที่จะตีสุนัขน่ะมันจะต้องตีต่อหน้าเจ้าของ? ” หมิงซี่หยินได้เอ่ยปากถามออกมา

“มันก็จริงละนะ”

“เรื่องประการที่สอง ฝางซงในตอนนี้น่ะได้เข้าร่วมกับภูเขาทองเป็นที่เรียบร้อย เขาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราชาวศาลาปีศาจลอยฟ้ายังไงล่ะ ไม่ว่าเจ้าจะยึดติดอดีตของเขามากสักแค่ไหน แต่ในตอนนี้ฝางซงน่ะเป็นคนของเราไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะมีเรื่องกับเขานั่นก็หมายความว่าเจ้ากำลังจะหาเรื่องศาลาปีศาจลอยฟ้าของพวกเราด้วยเช่นกัน”

“ถูกต้องแล้ว”

“แล้วเรื่องประการสุดท้ายนั่นน่ะ…เจ้าไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะร่วมมือกับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย! “

ในตอนนั้นเองห้องโถงใหญ่ก็เงียบสนิทอีกครั้ง ลู่โจวในตอนนี้ยังคงสงบนิ่ง เขาไม่ทั้งพยักหน้าเห็นด้วยหรือส่ายหัวปฏิเสธแต่อย่างใด ตัวเขาในตอนนี้กำลังตั้งใจฟังเรื่องราวทั้งหมดอย่างเงียบๆ

ในตอนนั้นเองซู่จินฉานก็ได้หัวเราะออกมาพร้อมกับส่ายหัว หลังจากนั้นตัวเขาก็พูดต่อไป “ข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องประการสุดท้ายของเจ้าหรอกนะ”

“ทำไมกันล่ะ? “

“เรื่องที่เจ้าพูดว่าวิหารปีศาจของพวกเราไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะร่วมมือกับภูเขาทอง ถ้าหากมันเป็นเรื่องในอดีตก็คงจะว่าแบบนั้น แต่ในตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เวลาที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้ศาลาปีศาจลอยฟ้าของพวกเจ้าน่ะอ่อนแอลง ท่านผู้อาวุโสจีน่ะไม่สามารถที่จะหยุดอายุขัยที่เพิ่มมาได้หรอกนะ ในทางกลับกันวิหารปีศาจของพวกเราเองแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ วัน ชื่อเสียงของพวกเราน่ะโด่งดังในโลกของยุทธภพมากแล้ว นอกจากนี้การเป็นมิตรน่ะมันก็ย่อมดีกว่าการเป็นศัตรูอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”

เมื่อพูดเสร็จซู่จินฉานก็ได้เงยหน้ามองไปยังดวงตาของลู่โจว ในตอนนี้เขากำลังรอคอยคำตอบ ซู่จินฉานไม่ได้สนใจอะไรความเห็นของลูกศิษย์ลู่โจวเลย ตอนนี้ตัวเขารอคอยฟังคำตอบจากตัวลู่โจวเพียงเท่านั้น

ลู่โจวยังคงสงบนิ่งไร้อารมณ์เช่นเคย ในตอนนั้นเขาได้ใช้มือของตัวเองลูบไปที่เคราอย่างช้าๆ และไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นในที่สุดลู่โจวก็ได้เริ่มต้นพูดออกมา “เจ้าน่ะพูดถูกแล้ว”

สิ่งที่ลู่โจวพูดออกมาทำให้หยวนเอ๋อถึงกับหยุดชะงัก ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าลู่โจวในตอนนี้แก่มากแล้ว แต่ถึงแบบนั้นการที่ยอมให้สำนักที่ต่ำต้อยกว่าอย่างวิหารปีศาจพูดดูถูกได้หยวนเอ๋อเองก็ยังรับไม่ได้อยู่ดี ตัวเธอรู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก

ซู่จินฉานพยักหน้าทันทีที่ได้ยินคำตอบ ในตอนนั้นเองน้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความยินดี “ขอบคุณมากที่เข้าใจท่านผู้อาวุโส! “

ลู่โจวในตอนนั้นยังคงพูดออกมาอีกครั้ง “เจ้ารู้ไหมล่ะว่าทำไมข้าถึงปล่อยให้เจ้าเข้ามาที่นี่ได้? “

ซู่จินฉานที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ถามกลับมาอย่างสงสัย “เป็นเพราะว่าท่านผู้อาวุโสเข้าใจแล้วว่าตัวข้าอยากที่จะเข้ามาเยี่ยมเยียนท่านในภูเขาทอง? “

ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ส่ายหัวก่อนที่จะพูดต่อไป “เจ้าน่ะฝึกฝนวรยุทธ์มาจากวิหารปีศาจอย่างงั้นสินะ? “

“ใช่แล้วท่านผู้อาวุโส”

“ถ้าหากไม่มีต้นไม้แห่งภูมิปัญญาอยู่ แน่นอนว่าย่อมไม่มีกระจกเงาที่ส่องสว่างได้เลย การจะฝึกฝนตัวเองในแบบของวิหารปีศาจของเจ้าได้น่ะเป็นเรื่องยากมากในยุทธภพแห่งนี้ ข้าเคยได้ยินมาว่าเจ้าน่ะมุ่งเน้นที่จะฝึกฝนพลังอวตารดอกบัวแห่งร้อยวิถีอยู่อย่างเดียวอย่างงั้นสินะ ข้าพูดถูกไหม? ” ลู่โจวยังคงถามคำถามต่อไป

“ท่านผู้อาวุโส ท่านก็พูดเกินไปแล้ว ข้ากำลังทำแบบนั้นถูกต้องแล้ว” ซู่จินฉานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ ตัวข้าพยายามมาโดยตลอดที่จะฝึกฝนพลังอวตารดอกบัวแห่งร้อยวิถี “ข้าได้ฝึกฝนวรยุทธ์จากวิหารปีศาจมานานกว่าหลายปีแล้ว และเพราะแบบนั้นตัวข้าจึงมีชื่ออยู่ที่บัญชีดำอันดับที่สามไปได้”

“ดี เยี่ยมมาก! ” ลู่โจวได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดชมเชยออกมา ในตอนนั้นเองลูกศิษย์ทั้งหมดที่นั่งอยู่ด้วยต่างก็รู้สึกสับสนมาก คำพูดของซู่จินฉานแท้จริงแล้วเป็นคำพูดที่แฝงไปด้วยหนามร้าย แล้วทำไมอาจารย์ของพวกเราถึงไม่เข้าใจเหตุผลที่แท้จริงกันล่ะ? ทำไมท่านอาจารย์ถึงยกย่องชายผู้นี้? นี่เป็นกิจวัตรรูปแบบใหม่ของท่านอาจารย์อย่างงั้นหรอ?

ในตอนนั้นเองด้วนมู่เฉิงที่ได้ฟังก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ตัวเขารีบกระโดดออกไปด้านหน้าก่อนที่จะเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ “เจ้าน่ะแสดงให้ข้าเห็นทีว่าเจ้าทำอะไรได้บ้าง! “

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้เองทำให้ทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจกันขึ้นมา ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างจับจ้องเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ในตอนนั้นเองซู่จินฉานที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดขึ้น ดวงตาของเขากำลังเบิกกว้างไปด้วยความตื่นเต้น

นี่เป็นโอกาสที่จะแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงจากวิหารปีศาจให้ชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าได้เห็น

ในตอนนั้นเองคลื่นพลังอันมหาศาลทั้งสองแหล่งจากชายทั้งสองคนก็ได้เข้าปะทะกันกลางห้องโถงใหญ่

“ท่านอาจารย์ พวกเขา…” หยวนเอ๋อรู้สึกกังวลมาก เธอกลัวว่าทั้งสองคนจะทำลายศาลาแห่งนี้ไป

“ไม่เป็นไร ปล่อยให้เจ้าพวกนั้นได้สู้กันเถอะ” ลู่โจวยังคงมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใจเย็น

การต่อสู้ของชายทั้งสองเป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งคู่ต่างก็สามารถควบคุมพลังของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าพลังที่เข้าปะทะกันจะมหาศาลมากแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้ก็ไม่โดนลูกหลงจากพลังพวกนั้นเลย ก่อนที่พลังจะปะทะโดนศาลาในตอนนั้นพลังก็หายไปซะก่อน นี่คือวิธีการที่เหล่ายอดฝีมือใช้ประมือกัน

“แม้ว่าด้วนมู่เฉิงจะบาดเจ็บแต่เจ้าก็ยังแข็งแกร่งอยู่ดี ข้าขอชื่นชมในความแข็งแกร่งของเจ้า! ” ซู่จินฉานพูดชื่นชมออกมาในระหว่างที่กำลังเดินถอยหลังเพื่อรับมือกับการโจมตีไปด้วย

แม้ว่าด้วนมู่เฉิงจะยังไม่สามารถพัฒนาระดับวรยุทธ์ของตัวเองไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ ในตลอดที่ผ่านมาหลายปีเองเขาก็ไม่สามารถพัฒนาตัวเองไปได้ เพราะว่าจีเทียนเด๋าคนก่อนจะคอยห้ามปรามตัวเขาเอาไว้เสมอๆ และเมื่อด้วนมู่เฉิงพยายามที่จะต่อสู้กับซู่จินฉานอย่างเอาจริงเอาจัง ในตอนนั้นเองจุดอ่อนของเขาก็แสดงให้ได้เห็น

ในทางกลับกันนั้นซู่จินฉานในตอนนี้กับดูสบายๆ เป็นอย่างมาก

“นั่นฝ่ามือผนึกมาร! ” หยวนเอ๋อที่เห็นซู่จินฉานปล่อยฝ่ามือออกมาได้อุทานออกมาอย่างเป็นห่วง

ด้วยพลังของฝ่ามือผนึกมาร ด้วนมู่เฉิงที่ถูกฝ่ามือเข้าไปเต็มๆ จึงมีพลังลดลงไปในทันที ในตอนนั้นโจวจี้เฟิงที่ดูการต่อสู้มาโดยตลอดได้ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “สุดท้ายแล้วระดับวรยุทธ์ก็ยังคงต่างกันขั้นหนึ่งอย่างงั้นสินะ…”

ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่วรยุทธ์เท่านั้นที่แตกต่างกัน ด้วนมู่เฉิงเองยังไม่ได้หายจากอาการบาดเจ็บต่อเนื่อง ตัวเขาเองก็ยังถูกโซ่เหล็กพันธนาการเอาไว้อีกด้วย

“ศิษย์พี่สามจะต้องเอาชนะเขาได้แน่! สู้เขาศิษย์พี่! ” หยวนเอ๋อได้ตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง

“…”

ตู้ม!

พลังฝ่ามือผนึกมารได้เข้าปะทะกับโซ่ตรวนเหล็กที่อยู่บนตัว ในตอนนั้นเองด้วนมู่เฉิงที่ถูกพลังฝ่ามือเข้าไปได้กระเด็นถอยไป หลังจากนั้นเองฝ่ามือผนึกมารจำนวนมากก็ได้ลอยพุ่งหาเขา

ลู่โจวในตอนนั้นถึงกับส่ายหัว ด้วนมู่เฉิงแท้จริงแล้วก็ยังมีวรยุทธ์ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นมหาภัยพิบัติศักด์สิทธิ์อยู่ดี ที่ตัวเขาถูกการโจมตีไปไม่ใช่เพราะเขาแข็งแกร่งไม่มากพอ แต่เพราะว่าระดับวรยุทธ์ยังคงห่างชั้นกันต่างหาก

ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นเพราะลู่โจวไม่มีเหตุผลที่จะฝึกฝนลูกศิษย์ของเขาเหมือนกับวิธีที่จีเทียนเด๋าทำอีกต่อไป เส้นทางของการฝึกยุทธ์ยังอีกยาวไกล ลูกศิษย์ของเขาทุกคนล้วนแต่มีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งอยู่กับตัวเอง ลู่โจวรู้ดีว่าลูกศิษย์ของเขาจะกลายเป็นยอดฝีมือไปได้แน่

“ให้ข้าได้ทดสอบด้วยเถอะ! ” หมิงซี่หยินรีบกระโจนเข้าไปรับช่วงต่อ ตัวเขาได้เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ร่างกายของหมิงซี่หยินสามารถจัดการกับฝ่ามือผนึกมารได้อย่างง่ายดาย

“โอ้ ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าหมิงซี่หยินศิษย์คนที่สี่จะหยุดฝ่ามือของผู้ที่มีวรยุทธ์มหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ได้…” ซู่จินฉานกำลังเพิ่มพลังของตัวเองมากขึ้น มากขึ้นเข้าไปอีกในการต่อสู้

หมิงซี่หยินที่ได้พุ่งตรงมาราวกับหอก ตัวเขามากับความมั่นใจ หมิงซี่หยินในตอนนี้มั่นใจในฝีมือของตัวเองมาก

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

การเข้าร่วมการต่อสู้ของหมิงซี่หยินทำให้สถานการณ์โดยรวมจากการต่อสู้สูสีมากขึ้น ท้ายที่สุดแล้วหมิงซี่หยินก็เป็นหนึ่งในยอดฝีมือผู้มีวรยุทธ์ระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์

การต่อสู้ยังคงเป็นไปด้วยความดุเดือด แม้ว่าจะไม่มีคลื่นพลังปะทะเข้ากับสิ่งก่อสร้างเลย ไม่ว่าทั้งหมดจะควบคุมพลังได้อย่างแม่นยำสักแค่ไหน ในที่สุดเสาบางต้นของศาลาลอยฟ้าก็ถูกพลังทำลายไป

“นี่มัน…” ฝางซงและคนอื่นๆ กำลังจ้องมองไปที่ลู่โจว ลู่โจวในตอนนี้ได้แต่มองการต่อสู้อยู่อย่างเงียบๆ ราวกับว่าตัวเขาไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย

หมิงซี่หยินเป็นคนที่สำเร็จเคล็ดวิชาเวหาพงพนาแล้ว ในตอนนี้เขาจึงมีวรยุทธ์ที่เหนือกว่าขั้นศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปแล้ว ในตอนนั้นเองคลื่นพลังอันมหาศาลกับฝ่ามือผนึกมารก็ได้เข้าปะทะกัน ตอนนั้นเองทุกสายตาที่กำลังจับจ้องการต่อสู้ต่างก็ตื่นตกใจกันยกใหญ่

ซู่จินฉานที่ได้ใช้ฝ่ามือผนึกมารก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ระวังตัวเจ้าเอาไว้ ข้าจะไม่ออมมือให้อีกต่อไป! “

พรึบ!

ในตอนนั้นเองพลังร่างอวตารก็ได้ปรากฏตัวขึ้น

มันเป็นพลังร่างอวตารที่มาจากยอดฝีมือผู้ที่ฝึกฝนตัวเองไปสู่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้

ด้วยความสูงกว่าสิบห้าฟุต พลังร่างอวตารนี้เองก็สูงมากพอที่จะทำลายเพดานของศาลาปีศาจลอยฟ้าได้แล้ว แต่ถึงแบบนั้นร่างอวตารก็ยังสามารถยืนหยัดโดยที่ไม่ได้ทำให้เพดานศาลาปีศาจลอยฟ้าพังได้ มันเป็นเหมือนกับกลุ่มก้อนของพลังที่เป็นดั่งเงา ถึงแม้จะมีพลังแต่ก็ไม่ถึงกับมีตัวตน

เมื่อเห็นแบบนั้นฝางซงถึงกับพูดไม่ออกเพราะความกลัว ตัวเขาไม่รู้เลยว่าซู่จินฉานคนนี้จะแข็งแกร่งไปได้มากขนาดไหน “ชายคนนี้แข็งแกร่งเกินไป! “

ทันทีที่พลังร่างอวตารปรากฏขึ้น ในตอนนั้นสถานการณ์ทุกอย่างก็พลิกกลับ ความแข็งแกร่งของยอดฝีมือผู้ที่มีระดับวรยุทธ์ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกพิสูจน์แล้ว เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น ฝ่ามือผนึกมารที่มีขนาดพอๆ กับฝ่ามือคนก็ได้ขยายใหญ่ไปหลายเท่าตัว ฝ่ามือผนึกมารที่ทรงพลังได้ถูกซัดเข้าใส่ด้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยิน

หมิงซี่หยินในตอนนั้นรีบใช้พลังร่างอวตารของตัวเองในทันที พลังของเขาสูงเพียง 20 ฟุตเท่านั้น พลังร่างอวตารได้เข้ารับพลังฝ่ามือผนึกมารในทันที แต่ด้วยพลังฝ่ามือที่ทรงพลังทำให้หมิงซี่หยินเองไม่อาจที่จะทนรับพลังทั้งหมดได้ ตัวเขาได้กระเด็นกลับถอยหลังไปหลายก้าวด้วยกัน ในที่สุดหมิงซี่หยินก็สามารถทรงตัวได้อีกครั้ง ตัวเขารู้สึกได้ถึงแขนที่ด้านชาของตัวเอง ที่ปากของเขาก็เต็มไปด้วยรอยเลือดเช่นกัน

หลังจากชิงความได้เปรียบจากการต่อสู้ได้ ซู่จินฉานก็ได้พูดออกมาอย่างไม่แยแส “วิหารปีศาจน่ะมีคุณสมบัติคู่ควรมากพอที่จะคุยกับศาลาปีศาจลอยฟ้ารึยังล่ะ? “