ตอนที่ 112 หิ่งห้อยกลางราตรีอันมืดมิด

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 112 หิ่งห้อยกลางราตรีอันมืดมิด

เขาทราบแก่ใจดีว่าไม่มีทางบังคับไห่หรูเยวี่ยให้ตอบตกลงเรื่องนี้ในทันทีได้ นี่มิใช่เรื่องเล็กๆ และมิใช่เรื่องที่ไห่หรูเยวี่ยจะสามารถตัดสินใจคนเดียวได้ จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากวังสวรรค์หมื่นวิมานที่อยู่เบื้องหลังด้วย

ไห่หรูเยวี่ยนิ่งเงียบ สีหน้าเรียบเฉย นับว่าตอบรับโดยปริยายแล้ว

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสริมไปอีกประโยคหนึ่ง “ยังมีเรื่องเล็กน้อยบางเรื่องที่จำเป็นต้องได้รับคำอนุญาตจากองค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”

ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยถาม “มีอะไรก็พูดให้จบทีเดียวเลยมิได้หรือ?” น้ำเสียงเจือความโมโหเล็กน้อย

ดูเหมือนนางจะเข้าใจความทุกข์ทรมานของพวกซางเฉาจงแล้ว พวกซางเฉาจงสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าหนิวโหย่วเต้ามีนิสัยไม่พูดทุกเรื่องออกมาในคราวเดียว การที่เขาค่อยๆ แง้มออกมาทีเรื่องทำให้คนระอาใจยิ่งนัก

ครั้งแรกที่มาขอเข้าพบก็บอกว่าเป็นยอดหมอมาตรวจอาการ ผลคือทันทีที่พบหน้าก็บอกว่ายอดหมอของเจ้าถูกจับไปแล้ว ต้องการให้เจ้าไปช่วยคน รอจนช่วยยอดหมอออกมาได้ ก็บอกว่ายอดหมออารมณ์ไม่ดีไม่อยากรักษา ต้องการสังหารซ่งหลง พอสังหารซ่งหลงได้ก็นึกว่าจะเรียบร้อยแล้ว ผลคือยอดหมอมิใช่ยอดหมอ ยอดหมอกลายเป็นตัวหนิวโหย่วเต้าเสียเอง เปลี่ยนตัวหมอก็ยังพอว่า แต่เปลี่ยนตัวแล้วก็ยังรักษาไม่ได้ ต่อมากลับละวางเรื่องบุตรชายนางลงก่อน กลายเป็นมาช่วยนางแทน ต้องการคลายความกังวลให้นาง

อ้อมวนกันอยู่พักใหญ่ ข้อเรียกร้องที่นางยื่นต่อทางซางเฉาจงว่าให้รักษาบุตรชายของนางถูกมองข้ามไปเสีย กลายเป็นเรื่องไม่สำคัญแล้ว เรื่องส่งกำลังทหารไปช่วยซางเฉาจงตีชิงจังหวัดชิงซานกลับถูกจัดให้เป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

ตอนนี้คนผู้นี้กลับมีเรื่องจะขออีกแล้ว นางไม่โมโหสิถึงจะแปลก

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในบรรดาลูกน้องของซ่งหลงที่ถูกคุมขังอยู่ มีอยู่คนหนึ่งเป็นศิษย์ที่ถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ขับออกจากสำนัก กระหม่อมอยากพบเขาเป็นการส่วนตัวพ่ะย่ะค่ะ”

“เรื่องนี้เจ้าหารือกับจูซุ่นได้เลย” ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยทิ้งท้ายไว้แล้วลุกออกไปทันที เลี่ยงไม่ให้คนผู้นี้เอ่ยเรื่องใดขึ้นมา ทำให้นางหงุดหงิดขึ้นมาอีก

ผู้เป็นนายจากไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าทำได้เพียงหันไปหาจูซุ่น หลังปรึกษาหารือเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกไปรอก่อน รอให้จูซุ่นจัดการให้

ระหว่างที่ถูกนำทางไปพักผ่อน ฟางเจ๋อเงียบงันตลอดทาง รู้สึกว่าตนทำผิดต่อความไว้วางใจของท่านอ๋องอยู่บ้าง

จากการเจรจาเมื่อครู่นี้ เขาพอจะมองออกแล้ว หนิวโหย่วเต้าแทบจะโน้มน้าวไห่หรูเยวี่ยได้สำเร็จแล้ว เหลือเพียงให้ทางวังสวรรค์หมื่นวิมานทำการตัดสินใจออกมา เมื่อคิดถึงว่าตนอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ ตามเกลี้ยกล่อมไห่หรูเยวี่ยมานานขนาดนี้ก็ยังไม่เป็นผลเลยสักนิด สุดท้ายแทบจะคุกเข่าอ้อนวอนไห่หรูเยวี่ยแล้วก็ยังไม่ได้ผล จากนั้นมองไปที่หนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง อีกฝ่ายเพิ่งมาถึงวันนี้เอง ซ้ำพอมาถึงก็เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายปานนี้ แต่เพียงเอ่ยเกลี้ยกล่อมเล็กน้อยก็สามารถจัดการได้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว

ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตนพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ไห่หรูเยวี่ยไม่มีทางเปลี่ยนความคิดได้

ทว่าตอนนี้ เขาพอจะเข้าใจความห่างชั้นระหว่างบุคคลแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดทางท่านอ๋องถึงส่งจดหมายมาแจ้งว่าให้ตนร่วมมือกับอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ เพราะท่านอ๋องส่งยอดนักโน้มน้าวตัวจริงมาแล้ว!

และเป็นเพราะเหตุนี้ เขาจึงรู้สึกคับข้องใจอยู่ลึกๆ แค้นตัวเองที่ไร้ความสามารถ แค้นตัวเองที่ทำให้ท่านอ๋องต้องสูญเสียเวลาอันมีค่าไปมากขนาดนี้ แล้วก็เกือบทำให้งานใหญ่ของท่านอ๋องต้องเสียหาย!

สายตาที่เขามองไปที่หนิวโหย่วเต้าอีกครั้งเปี่ยมไปด้วยความเคารพเลื่อมใส ไม่ได้มีความคิดที่ว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังก่อเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายอีก

หยวนฟางที่เดินตามหลังหนิวโหย่วเต้าก็รู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน ก่อนหน้านี้ยังอกสั่นขวัญแขวนอยู่ กังวลว่าจะถูกตัดหัวเพราะเรื่องรักษาอาการป่วย ไม่คิดเลยว่าจะผ่านพ้นไปเช่นนี้ได้ เรื่องรักษาอาการป่วยเหมือนจะไม่สำคัญอีกต่อไป คิดไม่ถึงว่าเรื่องการรักษาจะถูกเบี่ยงเบนออกไป

ตอนนี้ชัดเจนแล้ว เรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้ ต่อให้ขอผลตะวันชาดมาไม่ได้ แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า?

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเต้าเหยี่ยเก่งกาจยิ่งนัก วันนี้ติดตามเต้าเหยี่ยมานับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว พบว่าเรื่องที่ตนเองต้องเรียนรู้จากเต้าเหยี่ยยังมีอีกมาก!

ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดชายฉกรรจ์ห้าวหาญเย่อหยิ่ง เย็นชาแข็งกร้าว ไร้เหตุผลและไม่ยอมฟังใครอย่างหยวนกังถึงยอมสยบต่อเต้าเหยี่ย!

……

ชุลมุนวุ่นวายกันยกใหญ่ ล่วงเลยเข้ายามดึกแล้ว

ณ ลานเรือนเงียบสงัด ไห่หรูเยวี่ยยืนเดียวดาย แหงนหน้ามองจันทรา

จูซุ่นเดินเข้าหยุดข้างกายนางอย่างแผ่วเบา กระซิบว่า “ฮูหยิน สั่งการลงไปแล้วขอรับ”

ไห่หรูเยวี่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

จูซุ่นกล่าวว่า “แม้จะบอกว่ามาโน้มน้าว แต่ที่พูดมาก็มีเหตุผลขอรับ”

ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยด้วยความกลัดกลุ้มเล็กน้อย “ในอดีตข้างกายหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋ว ฝ่ายบุ๋นมีพวกลั่วเส้าฟู ฝ่ายบู๊มีพวกเหมิงซานหมิง บุ๋นบู๊สอดรับขับเสริม ทัพใหญ่เกรียงไกรยืนยง หากมิใช่เพราะขาดแรงสนับสนุนที่มากพอจากโลกบำเพ็ญเพียร เกรงว่าผู้ปกครองแคว้นเยี่ยนคงถูกเปลี่ยนตัวไปแล้ว ยามนี้ข้างกายซางเฉาจงที่เป็นบุตรชายของเขาก็ปรากฏผู้มีความสามารถเช่นกัน ตอนแรกที่ได้รับแจ้งข่าวว่าเขาถูกปล่อยตัวออกมาจากเมืองหลวงแคว้นเยี่ยน ข้ายังนึกดูแคลนเขาอยู่เลย! ”

จูซุ่นเองก็ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ใช่ขอรับ! ข้างกายมีทหารติดตามเพียงห้าร้อยนาย ซ้ำยังถูกกดดันจากราชสำนักแคว้นเยี่ยน ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแต่ต้องนึกดูแคลน ต่างคิดว่าเมืองศักดินาคงจะกลายเป็นสุสานฝังศพเขา หรือไม่ก็คงหลบหนีไป ทว่าตลอดการเดินทางกลับมีระเบียบแบบแผน ทุกอย่างมีขั้นมีตอน แรกเริ่มก็แต่งกับธิดาของเฟิ่งหลิงปอก่อน หยิบยืมกำลังทหารจากเฟิ่งหลิงปอ จากนั้นก็ใช้กำลังควบคุมอำเภอชางหลูตั้งหลักให้มั่นคง ตอนนี้ก็ต้องการยึดครองจังหวัดชิงซานอีก ไม่อาจดูแคลนได้เลยขอรับ!”

ไห่หรูเยวี่ยกล่าวว่า “เกรงว่าความตั้งใจของเขาจะมิใช่แค่จังหวัดชิงซานเล็กๆ จังหวัดเดียว ข้าว่าเป้าหมายต่อไปของเขาน่าจะเป็นมณฑลหนานโจวทั้งแถบ! ทันทีที่ยึดจังหวัดชิงซานได้ เมื่อข่าวแพร่ไปถึงเมืองหลวงแคว้นเยี่ยน ไม่รู้ว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นเยี่ยนจะนึกเสียที่ปล่อยเสือเข้าป่าหรือไม่! หากสถานการณ์โดยรวมดำเนินไปเช่นนี้ แผนการจากยอดคนทรงปัญญาเพียงแผนการเดียวก็มีค่าเทียบเท่าทหารกล้านับแสนแล้ว หรือว่าตัวข้าที่ครอบครองมณฑลจินโจวยังเทียบซางเฉาจงคนเดียวไม่ได้? เหตุใดถึงไม่เห็นยอดคนทรงปัญญามาเข้าร่วมกับข้าเลย หรือเพียงเพราะข้าเป็นสตรี?” ความหมายในวาจานี้คล้ายกำลังคิดว่าข้างกายตนขาดผู้มีความสามารถคอยช่วยเหลือ

จูซุ่นเงียบไป ไม่สะดวกจะออกความเห็น

จู่ๆ ไห่หรูเยวี่ยก็ถามขึ้นมาอีก “ไม่รู้เช่นกันว่าแผนการมาโน้มน้าวข้าในตอนแรกมาจากหลานรั่วถิงที่เป็นศิษย์ของลั่วเส้าฟู หรือมาจากตัวหนิวโหย่วเต้ากันแน่?”

จูซุ่นเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ไม่คล้ายว่าจะเป็นความคิดของหลานรั่วถิง แล้วก็ดูไม่เหมือนว่าจะเป็นความคิดของซางเฉาจงด้วยขอรับ ฮูหยินลองคิดดูสิขอรับ หากว่ามีความคิดเช่นนี้ ไฉนจึงไม่ทำเช่นนี้ตั้งแต่แรก จะถ่วงรั้งมาจนถึงยามนี้ทำไมล่ะขอรับ?”

ไห่หรูเยวี่ยพยักหน้ารับ “มีเหตุผล หากว่าเป็นแผนจากทางนั้นจริง ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องให้หนิวโหย่วเต้าคนนี้มาด้วยตัวเองเลย หากแต่ให้ฟางเจ๋อคนนั้นทำหน้าที่เจรจาแทนก็ได้ การที่ส่งหนิวโหย่วเต้าคนนี้มาในช่วงเวลาจนมุม ทางนั้นจะต้องมีความมั่นใจในตัวหนิวโหย่วเต้าเป็นแน่ เรื่องของซ่งหลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันยิ่งทำให้มองเห็นได้ชัดเจน เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกเช่นนี้มิใช่สิ่งที่ทางฝั่งซางเฉาจงจะสามารถคาดการณ์ได้ คนผู้นี้แม้นดูคล้ายอ่อนวัย แต่กลับลงมือเป็นขั้นเป็นตอน คลี่คลายปัญหาไปทีละก้าว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตัวข้าก็ถูกเขาโน้มน้าวแล้วเช่นกัน!”

ใบหน้างดงามที่แหงนมองท้องฟ้าค่อยๆ หันกลับมา จ้องมองจูซุ่นพลางเอ่ยว่า “ทั้งอำนาจและเงินทองของข้าเหนือกว่าซางเฉาจง เจ้าว่าข้าจะสามารถดึงตัวคนผู้นี้มารับใช้ข้าที่มณฑลจินโจวได้หรือไม่?”

จูซุ่นลังเลเล็กน้อย จากนั้นส่ายหน้าช้าๆ ด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ฮูหยิน ตอนนี้เกรงว่าจะไม่ได้ขอรับ เขาเพิ่งสังหารซ่งหลงราชทูตแคว้นเยี่ยน พวกเราไม่สะดวกจะรั้งเขาไว้ขอรับ”

ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยว่า “เตรียมการให้พร้อมก่อนก็ได้ เจ้าไปจัดการหน่อย ส่งคนไปหาทางสืบเรื่องของเขาในแคว้นเยี่ยนมา ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรบำเพ็ญเพียร เงินตราหรือว่าหญิงงาม เขาชอบสิ่งใดข้าก็จะให้เขาทั้งหมด ข้าไม่เชื่อว่าคุณสมบัติของข้าจะสู้ซางเฉาจงไม่ได้”

“ขอรับ! บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” จูซุ่นพยักหน้ารับ แต่ภายในใจกลับลอบถอนใจ อันที่จริงใช่ว่าจะไม่มีผู้ใดมาสวามิภักดิ์ต่อทางฝั่งนี้ พ่อบ้านอย่างเขาเคยต้อนรับผู้คนมามากมาย

แต่ในความเป็นจริงคือผู้มีความสามารถอย่างแท้จริงนั้นมีอยู่ไม่มาก จึงทำได้เพียงส่งคนที่เข้ามาสวามิภักดิ์เหล่านั้นไปเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย ซึ่งในความเป็นจริงหลังส่งไปแล้วก็พบว่าแม้กระทั่งตำแหน่งข้าราชการชั้นผู้น้อยก็ยังไม่แน่ว่าจะทำงานได้ดี ดังนั้นในบรรดาผู้ที่เข้ามาสวามิภักดิ์ คนที่ทะนงตนสำคัญตัวเองผิดกลับมีอยู่ไม่น้อย พอถูกทางนี้ปฏิเสธอย่างสุภาพก็ดันไม่รู้จักโทษตัวเอง แต่กลับมาหาเรื่องแค้นเคืองไปสารพัด

และการมาถึงของหนิวโหย่วเต้าในครั้งนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงนั้นเปรียบเสมือนหิ่งห้อยกลางราตรีอันมืดมิด

พวกหนิวโหย่วเต้าที่ถูกคุมตัวมายังจวนผู้ว่าการมณฑลย่อมไม่กลับไปที่เรือนสุคนธาอีก เพราะไม่รู้ว่าทางฝั่งซ่งหลงยังมีลูกน้องที่แอบซุ่มอยู่อย่างลับๆ อีกหรือไม่ เพื่อความปลอดภัย พวกเขาจึงพักที่จวนผู้ว่าการชั่วคราว

ฟางเจ๋อที่ขังตัวอยู่ในห้องจุดตะเกียงขึ้นมา เขียนจดหมายอยู่บนโต๊ะอย่างมุ่งมั่น

เสียงประตูเปิดออกดังแอ๊ด หนิวโหย่วเต้าผลักประตูเข้าไป ฟางเจ๋อเงยหน้ามอง ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนประสานมือพร้อมเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย มีเรื่องใดจะสั่งการหรือขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองสิ่งเขาที่กำลังเขียน ยิ้มละไมพลางเอ่ยถาม “เขียนจดหมายเตรียมส่งให้ท่านอ๋องใช่หรือไม่?”

ฟางเจ๋อกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้เขาต้องรายงานให้ท่านอ๋องทราบแน่นอนอยู่แล้ว เนื้อหาส่วนใหญ่ย่อมต้องเกี่ยวพันถึงหนิวโหย่วเต้าอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ไม่ทราบเช่นกันว่าหลังจากอีกฝ่ายทราบแล้วจะขุ่นเคืองหรือไม่ จึงพยักหน้ารับอย่างเก้อกระดาก “ขอรับ!”

“นั่งก่อนๆ จัดการธุระของเจ้าซะ เขียนจดหมายของเจ้าต่อไปเถอะ” หนิวโหย่วเต้ากดมือลงเล็กน้อยพลางแย้มยิ้ม จากนั้นก็เอ่ยเสริมไปอีกประโยค “อย่าลืมเพิ่มเนื้อความแจ้งท่านอ๋องด้วย”

ฟางเจ๋อรีบขานรับ “เต้าเหยี่ยว่ามาได้เลยขอรับ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวไปว่า “ให้ทางท่านอ๋องปล่อยข่าวออกไป บอกว่าข้าไม่ได้อยู่ใต้บังคับบัญชาของพระองค์แล้ว ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับท่านอ๋องอีก”

“ห๊า!” ฟางเจ๋อตกตะลึง “นี่…”

หนิวโหย่วเต้าโบกมือเล็กน้อย ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “อย่าเข้าใจผิดไป ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอซ่งหลงที่นี่จนเกิดเรื่องขึ้น เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ทางแคว้นเยี่ยนต้องกดดันท่านอ๋องแน่ การมีชื่ออยู่ใต้บังคับบัญชาหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอเพียงไม่กระทบถึงงานของท่านอ๋องก็พอ ส่งข่าวไปตามที่ข้าบอก ทางท่านอ๋องย่อมเข้าใจ”

…….

คืนนี้มีหลายคนที่ถูกลิขิตให้นอนไม่หลับ

พวกหวงซวี่เซิงที่ถูกขังคุกในฐานะคู่กรณีถูกคุมตัวออกมาสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทีละคน

เฉินกุยซั่วที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มย่อมไม่ได้รับการยกเว้น ก่อนที่จะถูกพาตัวมา พวกหวงซวี่เซิงได้กำชับตักเตือนทุกคนไว้แล้วว่าอะไรที่ควรพูดและอะไรที่ไม่ควรพูด

ถึงแม้จะถูกคุมตัวมาสอบปากคำที่ห้องลงทัณฑ์ แต่กลับไม่มีการทรมานเขา ถึงอย่างไรเขาก็เป็นสมาชิกของคณะทูตจากแคว้นอื่น

หลังจากไต่สวนเสร็จ เฉินกุยซั่วนึกว่าตนจะถูกพาตัวกลับไป ผู้ใดจะทราบว่าหลังจากมีคนผู้หนึ่งเข้ามากระซิบกระซาบข้างหูเจ้าหน้าที่สอบสวนอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนก็พากันออกไปจนหมด ทิ้งให้เขานั่งมองเครื่องลงทัณฑ์ที่จัดวางไว้ในห้องลงทัณฑ์ตามลำพัง

เสียงแอ๊ดดังขึ้น ประตูเหล็กที่ปิดไว้ถูกเปิดออกอีกครั้ง ภายใต้แสงไฟสลัวตรงหน้าประตู คนผู้หนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามา

กระทั่งคบเพลิงในห้องลงทัณฑ์ส่องให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เฉินกุยซั่วที่ถูกล่ามโซ่ไว้กับเสาถึงกับตกใจจนหน้าถอดสี

ผู้มาเยือนมิใช่ใครอื่น เป็นหนิวโหย่วเต้าที่มีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่บนใบหน้า

บนใบหน้าของเฉินกุยซั่วเผยให้เห็นสีหน้าหวาดกลัว หนิวโหย่วเต้าถูกจับไปแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดถึงเข้าออกสถานที่เช่นนี้ตามอำเภอใจได้?

เขามิใช่คนโง่ ในไม่ช้าก็เข้าใจ เกรงว่าจวนผู้ว่าการมณฑลคงมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

“ดูไม่เลวเลยเนอะ!” หนิวโหย่วเต้ามองสำรวจห้องลงทัณฑ์พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง เดินวนบริเวณหน้าเครื่องลงทัณฑ์ที่จัดเรียงไว้ พลางหยิบตราเหล็กที่ใช้สำหรับลงทัณฑ์ไต่สวนขึ้นมาอันนึง เดินไปหยุดตรงหน้าเตาไฟ ใส่ตราเหล็กเข้าไปในเตา โบกมือพัดจนมีประกายไฟปะทุขึ้นมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ศิษย์พี่เฉิน หลังจากกันที่วัดหนานซาน ไม่นึกเลยว่าพวกเราจะมาพบกันที่นี่อีก มีวาสนาต่อกันโดยแท้”

เฉินกุยซั่วเอ่ยด้วยความกระวนกระวาย “เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าคือสมาชิกคณะทูตจากแคว้นเยี่ยน หากเกิดเรื่องในคุกแห่งนี้…”

ไม่ทันรอให้เขาพูดจบ หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยขัดว่า “ศิษย์พี่เฉิน เหตุใดยิ่งอยู่นานก็ยิ่งโง่เล่า? ขนาดซ่งหลงข้ายังกล้าสังหาร ท่านยังจะมากังวลเรื่องนี้แทนข้าอีก มันออกจะเกินความจำเป็นไปหน่อยหรือเปล่า? สมาชิกคณะทูตเกิดเรื่องในคุกแล้วอย่างไรเล่า? เป็นเพราะท่านหลบหนีจึงถูกสังหาร ในโลกอันโกลาหลวุ่นวายนี้ คนตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่มิได้มีความสลักสำคัญอะไร ยังหวังว่าจะมีผู้ใดคอยออกหน้าช่วยเหลือท่านไปตลอดหรือ?”

………………………………………………………………