บทที่ 127 ตีอาวุธ

บทที่ 127 ตีอาวุธ

“ทำไมไม่กินกันล่ะ?” ตอนที่อู๋ฝานกลับมาถึงร้านอาหารขนาดเล็กที่นัดพบ หนิวเอ้อและคนอื่นยังคงนั่งนิ่งกับโต๊ะ อาหารวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครจับตะเกียบแม้สักคน

กระนั้น สายตาของพวกเขายังคงจับจ้องอาหารบนโต๊ะตรงหน้า กระทั่งว่าลอบกลืนน้ำลาย

“หัวหน้า พวกเรารอท่านกลับมา” หนิวเอ้อกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ สายตาขยับหันออกจากอาหารตรงหน้าด้วยความยากลำบาก เพื่อบอกให้อู๋ฝานทราบ

“ถ้าหัวหน้ายังไม่กลับมา พวกเราจะทานได้อย่างไร?” เจิ้งเสี่ยวลิ่วร่วมพูดกล่าว

“เหมือนผมจะบอกพวกคุณแล้วว่าให้ทานกันก่อนนะ ไม่ต้องรอผม” อู๋ฝานนั่งลง แม้ปากบอกแบบนั้น แต่ใจกลับรู้สึกอบอุ่น

“เรื่องแบบนี้ ท่านคือหัวหน้าของพวกเรา ทั้งยังเลี้ยงอาหารมื้อนี้ พวกเราจะไม่รอได้อย่างไรกัน” หนิวเอ้อตอบรับ “ก็ถือว่าได้เวลาพอดี หัวหน้าก็กลับมาแล้ว พวกเราก็เริ่มกินกันได้”

“กินสิ กินให้หมดเลย” อู๋ฝานยิ้มตอบรับ

ถัดจากนั้น แทบจะโดยพร้อมกัน ทุกคนรอบโต๊ะยกเว้นก็แต่อู๋ฝาน ต่างคว้าตะเกียบขยับมือเคลื่อนไหว จนผ่านไปชั่วครู่ ในปากของทุกคนจึงเต็มไปด้วยอาหาร

อู๋ฝานได้เห็นดังนั้นจึงยิ้มรับ ก่อนจะตะโกนไปทางด้านหลัง “เสี่ยวเอ้อ* มาทางนี้ด้วย”

“คุณลูกค้า ต้องการสั่งอะไรหรือขอรับ?” เสี่ยวเอ้อเร่งรีบวิ่งเข้ามาหาพร้อมโค้งกาย สีหน้ายิ้มแย้มเต็มที่

“ขออาหารจานพิเศษของร้านนี้สักสองอย่าง แล้วก็ไวน์อีกสองเหยือกด้วย” อู๋ฝานสั่งออกไป

“หัวหน้า เท่านี้ก็พอแล้ว พอแล้ว” เจิ้งเสี่ยวลิ่วเร่งร้อนพูดขึ้นมา แต่เพราะอาหารยังเต็มปาก ทำให้ประโยคที่พูดออกมาไม่ค่อยชัดเจน

“ไม่เป็นไร ผมบอกแล้วว่าจะเลี้ยงพวกคุณให้อิ่ม ดังนั้นก็ต้องกินกันให้เต็มที่” อู๋ฝานตอบรับ แม้ตัวเขามีเงินไม่มากนัก แต่ก็ยังเพียงพอสำหรับเลี้ยงคนในหน่วย ตอนที่หนิวเอ้อและคนอื่นสั่งอาหาร คล้ายว่าพวกเขาไม่ค่อยกล้าที่จะสั่งมากนัก อู๋ฝานจึงเป็นฝ่ายออกปากสั่งมาเพิ่ม เพื่อให้ทุกคนได้กินอย่างอิ่มหนำ เมื่อใดออกเดินทาง คิดจะหาทานมื้ออาหารอย่างเต็มที่เช่นนี้อีกครั้งก็เป็นเรื่องยาก

“จริงสิ ทุกคนดื่มไวน์กันได้ แต่ต้องไม่มากเกินไป เข้าใจใช่หรือไม่?” อู๋ฝานเอ่ยคำขึ้น

ได้ยินว่ามีไวน์ให้ดื่ม หนิวเอ้อและคณะยิ่งดวงตาเป็นประกาย

สุรา ถือได้ว่าเป็นของหรู อย่าได้เอ่ยถึงบรรดาผู้คนที่แค่มีกินให้อิ่มท้องยังเป็นเรื่องยาก กระทั่งว่าเป็นผู้ที่สามารถพอหากินได้อิ่มท้อง การร่ำสุราก็ยังถือเป็นเรื่องที่หรูหราจนเกินไป

เพียงไม่ช้า เสี่ยวเอ้อจึงนำอาหารกับไวน์มาเสิร์ฟ หนิวเอ้อเร่งร้อนรินไวน์ใส่จอกให้อู๋ฝาน ถัดจากนั้นจึงรินให้ทุกคน

“กลิ่นดี หอมมาก” เจิ้งเสี่ยวลิ่วคว้าจอกไวน์ขึ้นมา ยื่นส่งตรงเข้าใกล้จมูกรับรู้กลิ่น สีหน้าที่เผยออกนั้นอิ่มเอมอย่างเต็มที่

ทุกคนต่างเผยสีหน้าที่คล้ายคลึงกัน ถึงกับทำอู๋ฝานแอบยิ้มอยู่ภายใน

อู๋ฝานเริ่มดื่มเป็นคนแรก พร้อมได้พบว่านอกจากความร้อนเผ็ดร้อน ไวน์นี้ยังมีความขมอยู่ระดับหนึ่ง เรียกได้ว่าไม่อร่อยเลยแม้แต่น้อย ปริมาณแอลกอฮอล์ในเครื่องดื่ม น่าจะเทียบได้กับเบียร์ที่ฝั่งโลกจริง

‘หัวหน้าหมู่บ้านเคยสอนวิชาบ่มไวน์มาให้ ถ้าหากว่ามีโอกาส คงต้องบ่มไวน์เองเสียแล้ว ดูจากที่หนิวเอ้อดื่มหมดรวดเดียว ถ้าเป็นไวน์ที่เราบ่มขึ้น น่าจะต้องขายได้ราคาดีอย่าไม่ต้องสงสัย’ อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ในใจ

นอกจากนี้ เขายังสามารถหาสูตรบ่มไวน์จากในอินเทอร์เน็ตได้ ด้วยวิชาบ่มไวน์ระดับสูง เขาเชื่อว่าตนเองจะสามารถบ่มไวน์ที่รสชาติดีกว่าไวน์ของที่นี่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ไวน์ที่อู๋ฝานนึกรังเกียจ กลายเป็นไวน์ที่เทพเซียนดื่มกินในปากของหนิวเอ้อและผู้อื่น ทุกครั้งที่จิบเข้าปาก พวกเขาจะลิ้มรสมันอยู่นาน

ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง มื้ออาหารนี้จึงจบลง และเมื่อสรุปค่าใช้จ่าย อู๋ฝานจ่ายไปห้าเหรียญทอง มันถึงขั้นทำหนิวเอ้อและคณะพูดอะไรไม่ออก

“หัวหน้า ตอนนี้พวกเราจะไปที่ใดกัน?” ภายหลังออกจากร้านอาหาร เจิ้งเสี่ยวลิ่วจึงเอ่ยถามกับอู๋ฝาน

อู๋ฝานมองคนในหน่วยตนเองพลางตอบ “ไปโรงตีเหล็ก”

“ไปโรงตีเหล็กทำไมกัน?” หนิวเอ้อถามด้วยความสงสัย เขาเคยทำงานที่โรงตีเหล็กมาหลายปี ดังนั้นจึงอ่อนไหวกับสถานที่เป็นพิเศษ

“ก็ต้องเป็นการเตรียมอาวุธให้พวกคุณน่ะสิ” อู๋ฝานตอบกลับ “พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทาง ไม่คิดว่าควรมีอาวุธหรือยังไง?”

คำของอู๋ฝาน ถึงกับทำทุกคนหน้าแดงก่ำ

ภายในหน่วยนี้ ยกเว้นอู๋ฝานที่มีอาวุธ คนอื่นไม่มีอาวุธกันเลย หากเมื่อใดเผชิญหน้ากับอันตราย พวกเขาจะไม่มีหนทางต้านรับ ยกเว้นก็เพียงแต่หลบหนี

“แต่ว่า อาวุธมีราคาแพงมาก” หนิวเอ้อตอบกลับ

เพราะทำงานที่โรงตีเหล็กมายาวนาน เขาจึงทราบดีว่าอาวุธมีราคาไม่ใช่น้อย หากไม่แล้ว พวกเขาคงไม่มีทางขาดการเตรียมการก่อนมา

“แล้วใครบอกว่าจะซื้อกัน?” อู๋ฝานตอบกลับ “ผมจะสร้างให้พวกคุณเอง!”

“หัวหน้าหลอมเป็นด้วย?” หนิวเอ้อถามกลับด้วยความประหลาดใจ

“ไว้ไปถึงก็ได้ทราบเอง” อู๋ฝานตอบกลับ

แท้จริงแล้ว อู๋ฝานยังมีเงินเหลืออีกห้าเหรียญทอง คิดซื้ออาวุธไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่หากซื้อได้ก็เป็นคุณภาพที่ต่ำเตี้ย ภายหลังรับของมีคมเข้าสักไม่กี่ครั้ง มันก็คงแตกร้าว

อู๋ฝานเป็นช่างตีเหล็กระดับสูง อีกทั้งในกระเป๋าหลังยังมีแร่เหล็กที่พกติดตัวมา ดังนั้นมันจึงเหมาะสมที่จะนำไปใช้สร้างขึ้นด้วยตัวเอง

เพียงไม่ช้าทุกคนจึงมาถึงโรงตีเหล็ก อู๋ฝานเคยมาที่นี่แล้วตอนขายวัสดุสัตว์และมอนสเตอร์ ดังนั้นจึงรู้ตำแหน่งที่ตั้ง และยังได้ทราบว่าสามารถเช่าหยิบยืมอุปกรณ์ได้

แน่นอนว่า การเช่ายืมต้องจ่ายเงิน

ภายหลังอู๋ฝานจ่ายหนึ่งเหรียญทองให้เจ้าของโรงตีเหล็ก อีกฝ่ายก็พร้อมให้อู๋ฝานและคณะหยิบยืมอุปกรณ์ในโรงตีเหล็กเพื่อใช้งาน และยังมอบวัสดุเช่นเศษเหล็กให้แก่อู๋ฝานและคณะด้วยจำนวนหนึ่ง

สำหรับอู๋ฝานผู้ครอบครองเหล็กคุณภาพสูงจำนวนมาก เขาย่อมไม่คิดใส่ใจเศษเหล็กเหล่านั้น ที่ให้ความสำคัญคืออุปกรณ์การทำงานของที่นี่

“หนิวเอ้อ ไปดึงที่สูบลม” อู๋ฝานบอกกับหนิวเอ้อ

ท่ามกลางกลุ่มคน หนิวเอ้อแข็งแรงที่สุด และยังเคยมีประสบการณ์ทำงานในโรงตีเหล็ก ดังนั้นจึงเหมาะสมรับหน้าที่ดึงที่สูบลม

“ได้แล้ว!” หนิวเอ้อตอบกลับมา เพียงไม่ช้าที่สูบลมจึงเริ่มส่งเสียง

อู๋ฝานนำก้อนเหล็กออกมาเริ่มกระบวนการ

ครั้งยังอยู่ที่หมู่บ้านเร้นลับ อู๋ฝานเคยสร้างอาวุธมาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง ดังนั้นการสร้างอาวุธขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ทุกขั้นตอนและการกระทำล้วนราบรื่น

คนอื่นที่เหลือรับชมโดยเงียบงัน ไม่กล้าแม้กระทั่งส่งเสียง เพราะเกรงจะเป็นการรบกวนอู๋ฝาน

เมื่อได้เห็นความสามารถหลอมเหล็กของอู๋ฝาน พวกเขาทั้งประหลาดใจและเกิดนึกนับถือ ดังทราบว่าในยุคสมัยเช่นปัจจุบัน ช่างตีเหล็กและอาชีพทั้งหลายมีการคัดเลือกรับศิษย์สืบทอดอย่างเข้มงวด บางคนจะส่งถ่ายวิชาต่อก็เพียงแต่ทายาททางสายเลือดของตนเอง ดังนั้นแล้ว หากคนธรรมดาคิดอยากเรียนวิธีการสร้างอาวุธ มันจึงเป็นเรื่องยากเข็ญ เหมือนดังหนิวเอ้อ ที่แม้ทำงานในโรงตีเหล็กมายาวนานหลายปี แต่ก็ไม่เคยได้เรียนรู้วิธีการหลอมเหล็ก สาเหตุก็เพราะเถ้าแก่โรงตีเหล็กไม่สอนให้ หากต้องการเรียนรู้ก็ต้องอาศัยครูพักลักจำ

เพียงแต่ พิจารณาจากการเคลื่อนไหวของอู๋ฝาน เห็นได้ชัดว่ามีความสามารถอันยอดเยี่ยม ถึงขั้นทำทุกคนต้องเกิดนึกนับถือมากยิ่งขึ้น

‘หัวหน้ายอดเยี่ยมเกินไปแล้ว ทำได้แทบทุกอย่างเลย’ ทุกคนต่างรำพึงรำพันอยู่ในใจ

หนิวเอ้อคือผู้ประทับใจเป็นที่สุด เพราะเขาได้พบว่าฝีมือการตีเหล็กของอู๋ฝานนั้น มันเชี่ยวชาญเสียยิ่งกว่าเถ้าแก่โรงตีเหล็กที่เขาเคยทำงานมาหลายสิบปีอย่างไกลโพ้น

‘หัวหน้าเป็นสัตว์ประหลาดชัด ๆ เลย’ หนิวเอ้อพึมพำอยู่ในใจ

เพียงแต่ การได้ติดตามหัวหน้าที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ สำหรับพวกเขาแล้ว มันถือเป็นเรื่องดีอย่างล้นเหลือ

*เสี่ยวเอ้อ เป็นคำเรียกบริกร