ตอนที่ 383 – พนังแห่งรังมด
นิ่งเงียบ
ตอนที่หลิงอวิ๋นเฮ่อถามคำถามนี้ออกมา สายตาของทั้งห้าคนล้วนตกลงบนตัวของโม่เทียนเกอ ในนั้นมีความใคร่รู้ ยิ่งมีความรู้สึกตื่นตัว แต่ไม่มีใครพูดจา
เพียงพูดมาว่าคำว่าโพ้นทะเลคำเดียวย่อมไม่สามารถขจัดความกังขาของพวกเขา ผู้ฝึกตนอวิ๋นจงมีความคิดที่หยั่งรากลึกอย่างหนึ่ง นั่นคือผู้ฝึกตนของโพ้นทะเลล้วนเทียบชาวถิ่นอวิ๋นจงไม่ได้ แม้แต่แผ่นดินใหญ่ของโพ้นทะเลอย่างหยวนโจวและเซียวหยางก็เป็นเช่นเดียวกัน
แต่ผู้ฝึกตนสตรีที่เรียกตนเองว่าฉินเวยนางนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย อาวุธเวทคู่ชีพและอสูรวิญญาณของนางล้วนไม่ดาษดื่นธรรมดา ขณะนี้ถึงกับยังมีอาวุธเวทซึ่งแทบจะไม่ด้อยกว่าไข่มุกเทพต้องห้ามอย่างนี้ ถึงจะเป็นอวิ๋นจง ผู้ฝึกตนอย่างนางก็ไม่ได้มีมากมาย
ทว่าตามที่นางพูด นางมีผู้อาวุโสของตระกูลที่ระดับการฝึกตนสูงส่งล้ำลึก สมบัติวิญญาณจำนวนมาก — สถานที่อย่างโพ้นทะเลที่รกร้างเช่นนั้นถึงกับสามารถบ่มเพาะตระกูลฝึกเซียนเช่นนี้ออกมาได้หรือ
ต้องทราบว่า วงศ์ตระกูลและสำนักเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับเส้นเลือดวิญญาณมาโดยตลอด เส้นเลือดวิญญาณชั้นต่ำไม่สามารถบ่มเพาะตระกูลใหญ่ที่มีผู้ฝึกตนระดับสูงออกมา ส่วนเส้นเลือดวิญญาณชั้นสูงก็กลายเป็นฐานที่ตั้งของสำนักใหญ่หรือตระกูลฝึกเซียนใหญ่แต่แรกแล้ว
ดินแดนโพ้นทะเลได้ชื่อว่ารกร้างแร้นแค้น ถึงในทะเลมีเส้นเลือดวิญญาณก็ไม่สามารถเทียบกับเส้นเลือดวิญญาณใหญ่เหล่านั้นที่ชาวอวิ๋นจงได้รับ เช่นนี้แล้ว จะปรากฏตระกูลเช่นนั้นได้อย่างไร
“จ้ายเซี่ยมาจากโพ้นทะเลข้ามทะเลมา” ภายใต้สายตาของทั้งห้าคน โม่เทียนเกอสีหน้าสงบนิ่ง กล่าวอย่างเฉยเมย
ผ่านไปเนิ่นนาน หลิงอวิ๋นเฮ่อขยับมุมปาก เผยรอยยิ้มเศษเสี้ยวหนึ่ง “โพ้นทะเล……ผู้แซ่หลิงไม่เคยคิดเลยว่าโพ้นทะเลจะมีผู้ฝึกตนอย่างสหายเต๋าฉิน หากมีโอกาส ผู้แซ่หลิงจะต้องอยากไปดูบ้านเกิดของสหายเต๋าฉินแน่นอน”
“ได้สิ หากมีวาสนา” โม่เทียนเกอพูดจบ สายตาที่แฝงคำเตือนกวาดมองพวกพ้องชั่วคราวเหล่านี้ พัดแห่งสวรรค์และโลกาในมือเคาะเบา ๆ ยิ้มบาง ๆ อีกครั้ง หลับตาปรับลมหายใจ
นางกำลังเตือนคนบางคนว่าอย่าลงมือใส่นางโดยง่ายดาย มิฉะนั้นจะต้องจ่ายค่าตอบแทนออกมา ในคนหกคนตอนนี้ การสูญเสียพลังวิญญาณของนางเบาที่สุด อีกทั้งที่หุบเขาไร้กังวลซึ่งลมปราณสับสน สมบัติวิญญาณที่นางครอบครองอยู่ในมือเทียบกับพวกเขาแล้วเหมาะที่จะเอาชีวิตรอดยิ่งกว่า
หลังการปรับลมหายใจครู่สั้น ๆทั้ งหกคนประชุมกันอีกรอบ
“ตอนนี้จะทำอย่างไร” หลิงอวิ๋นเฟยทนไม่ไหวเป็นคนแรก มองหลิงอวิ๋นเฮ่อถามว่า “พวกเรายังต้องไปต่อไหม”
“แน่นอน……”
“สหายเต๋าหลิง” หลิงอวิ๋นเฮ่อพูดได้ครึ่งหนึ่งหยางเฉิงจีก็ขัดวาจาของเขา เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่ตกลงจะไปต่อ พวกเราตอนนี้มิใช่มีอาการบาดเจ็บบนร่างก็ระดับการฝึกตนมีความเสียหาย หากเดินไปเช่นนี้ เช่นนั้นก็ต้องตายอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว!”
“ข้าเห็นด้วย” เทียนฉานก็กล่าวอย่างเย็นชา “สหายเต๋าหลิง คนอื่นข้าไม่สนข้ารับสิ่งของทำธุระ แต่สิ่งของที่ท่านให้ยังไม่เพียงพอให้ข้าทิ้งชีวิตของตัวเอง!”
ตอนที่พวกเขาเอ่ยวาจา หลิงอวิ๋นเฮ่อฟังด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอด รอจนเทียนฉานพูดจบ เขามองไปทางโม่เทียนเกอ “เช่นนั้นสหายเต๋าฉินเล่า”
โม่เทียนเกอเคาะพัดแห่งสวรรค์และโลกาเบา ๆ เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ที่สหายเต๋าหยางและสหายเต๋าเทียนฉานพูดนั้นมิใช่ไร้เหตุผล”
“พูดอย่างนี้ สหายเต๋าทั้งสามล้วนรู้สึกว่าไม่เหมาะสมจะไปต่อแล้ว?”
โม่เทียนเกอและพวกล้วนไม่ตอบ แต่สีหน้าของพวกเขาแสดงท่าทีของพวกเขาแล้ว
ระดับการฝึกตนยิ่งสูงยิ่งทะนุถนอมชีวิต การฝึกตนจะถึงก่อเกิดตานไม่ง่ายดาย การคลุกคลีจนเจริญรุ่งเรืองเยี่ยงพวกเขายิ่งไม่ง่ายดาย อย่าว่าแต่อายุของพวกเขาล้วนอยู่ในระหว่างหนึ่งร้อยปีถึงสามร้อยปี นี่สำหรับผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้วยังเยาว์วัยเกินไป จะเต็มใจโยนชีวิตเอาไว้ที่นี่ได้อย่างไร
เถียนจือเชียนลังเลชั่วขณะ แล้วก็เอ่ยว่า “พี่หลิง ข้าก็เชื่อว่า ตอนนี้พวกเราที่บาดเจ็บก็บาดเจ็บ ที่อ่อนแอก็อ่อนแอ เสาะหาต่อไปยากมากที่จะมีผลลัพธ์”
หลิงอวิ๋นเฟยมองดูคนอื่น ๆ สุดท้ายเอ่ยว่า “พี่รอง ข้าเชื่อฟังท่าน”
หลิงอวิ๋นเฮ่อผงกศีรษะ กลับยิ้มเอ่ยว่า “สหายเต๋าทุกท่านก็ร้อนรนเกินไป ผู้แซ่หลิงยังไม่ได้พูดเลยว่าจะไปต่อตอนนี้”
ได้ยินวาจานี้ของเขา ทุกคนล้วนตะลึงไป
หลิงอวิ๋นเฮ่อถอนหายใจหนึ่งคำ กล่าวว่า “ก่อนผู้แซ่หลิงออกเดินทางได้เคยสัญญาเอาไว้ว่าจะยึดถือชีวิตทุกคนมาก่อนอีก อย่าง ข้อกังวลของพวกท่านมีเหตุผลมาก ข้ากับสหายเต๋าหยางมีอาการบาดเจ็บบนตัว สหายเต๋าท่านอื่น ๆ สูญเสียพลังวิญญาณมากเกินไป หากฝืนดำเนินการต่อ เกรงแต่ว่ายังไม่ทันหาผลไร้กังวลเจอ พวกเราก็ต้องทิ้งร่างเอาไว้ที่นี่แล้วผู้แซ่หลิงมาที่นี่เพื่อเสาะหาผลไร้กังวล กลับไปชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก ไม่ได้คิดจะตกตายอยู่ที่นี่โดยเปล่าประโยชน์”
ท่าทีเยี่ยงนี้ของหลิงอวิ๋นเฮ่อทำให้คนอื่นล้วนผ่อนลมหายใจ ถ้าหากเขายืนกราน เช่นนั้นก็จัดการได้ยากโดยแท้ ไม่ต้องพูดถึงการฉีกหน้ากลายเป็นศัตรู แม้ว่าพวกเขาจะเพียงแยกจากกันด้วยดี กลุ่มเล็ก ๆ นี้ของพวกเขาพอกระจัดกระจายก็ยากมากที่จะออกจากหุบเขาไร้กังวลอย่างปลอดภัย — หุบเขาไร้กังวลแห่งนี้แปลกประหลาดเกินไปแล้ว
หยางเฉิงจีผ่อนน้ำเสียงลง ถามว่า “เช่นนั้นสหายเต๋าหลิงรู้สึกว่าต่อไปควรทำอย่างไร”
“ย่อมไปต่อหลังจากพักผ่อนแล้ว” หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ย “เมื่อครู่พวกเราเสียหายมากเกินไป จำเป็นจะต้องฟื้นฟูกำลังก่อน สหายเต๋าหยาง ท่านประเมินหน่อยว่าอาการบาดเจ็บของท่านนานเท่าไหร่จึงจะสามารถฟื้นฟู”
หยางเฉิงจีก้มหน้า ประเมินหนึ่งรอบแล้วตอบว่า “สามวันให้หลังสามารถไม่เป็นอุปสรรค”
“อ้อ?” หลิงอวิ๋นเฮ่อประหลาดใจ ถึงเขาจะไม่ได้เข้าใจเต๋าแห่งการฝึกตนของผู้ฝึกมารมาก แต่ก็ดูออกว่าอาการบาดเจ็บที่หยางเฉิงจีได้รับไม่เบาเลย ถึงกับจะสามารถไม่เป็นอุปสรรคในสามวันให้หลัง?
หลังจากประหลาดใจ เขาได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว เอ่ยต่อว่า “เช่นนั้นยังต้องรบกวนสหายเต๋าหยางรออีกช่วงหนึ่ง อาการบาดเจ็บของข้าอาจจะต้องใช้เวลาห้าวัน” หลิงอวิ๋นเฮ่อพูดจบ ไม่รอให้คนอื่นตอบ หันไปทางโม่เทียนเกอ “สหายเต๋าฉิน อาวุธเวทชิ้นนั้นของท่านมีประสิทธิภาพในการทำให้พลังวิญญาณเสถียรหรือไม่”
“มิผิด” โม่เทียนเกอตอบโดยสงบ ถึงอย่างไรผังปากั้วไท่จี๋ได้หยิบออกมาใช้แล้ว ก็ไม่ต้องหลบซ่อนปิดบัง
หลิงอวิ๋นเฮ่อจึงเอ่ยว่า “ไข่มุกเทพต้องห้ามของข้าชำรุดอย่างร้ายแรงเกินไป ไม่อาจใช้การได้ชั่วเคราว ถัดจากนี้จะหยิบยืมอาวุธเวทชิ้นนั้นของสหายเต๋ามาใช้ได้หรือไม่”
โม่เทียนเกอยิ้มบางเอ่ยว่า “สหายเต๋าหลิงวางใจ ในช่วงเวลานี้ ข้าจะใช้ผังปากั้วไท่จี๋อยู่ตลอด ประสานกับสหายเต๋าเถียน เพื่อรับประกันว่าสหายเต๋าทุกท่านไม่ได้รับผลกระทบจากลมปราณสับสนของหุบเขาไร้กังวล แสดงความแข็งแกร่งที่ควรจะมีออกมา”
“ดี สหายเต๋าฉินลงมือครานี้ ผู้แซ่หลิงสลักลึกลงในใจแล้ว” หลังจากขอบคุณอย่างเรียบง่ายหนึ่งประโยค หลิงอวิ๋นเฮ่อกล่าวกับทุกคนว่า “มีอาวุธเวทของสหายเต๋าฉิน บวกกับความสำเร็จวิชาม่านพลังของพี่เถียนอีก พวกเราอยู่ในหุบเขาเพิ่มอีกไม่กี่วันน่าจะไม่กลายเป็นปัญหา หลายวันนี้ ข้ากับสหายเต๋าหยางรักษาบาดเจ็บ สหายเต๋าท่านอื่น ๆ พักผ่อน รอพวกเราฟื้นฟูพละกำลังทั้งหมดแล้วค่อยไปต่อ เป็นอย่างไร”
“ข้าไม่มีความเห็น” หยางเฉิงจีตอบเป็นคนแรก พยักหน้าให้ทุก ๆ คน “ข้าจะไปหาสถานที่รักษาบาดเจ็บ หากยังมีธุระค่อยมาหาข้า”
หลังหยางเฉิงจีไปแล้ว เทียนฉานก็ลุกขึ้นยืน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไปพักผ่อนหน่อย เมื่อครู่สูญเสียพลังวิญญาณมากเกินไป”
หลังจากสองคนนี้ต่างคนต่างไป หลิงอวิ๋นเฮ่อทองไปที่โม่เทียนเกออย่างค่อนข้างจนใจ “สหายเต๋าฉิน เช่นนั้นท่าน……”
“ข้าก็จะไปพักผ่อน” โม่เทียนเกอผงกศีรษะให้พวกเขาสามคน จากนั้นหาที่ในม่านพลังป้องกันของเถียนจือเชียน ใช้ทักษะเวทหนึ่งอย่างใส่ผังปากั้วไท่จี๋แล้วก็เริ่มหลับตานั่งสมาธิ
เห็นพวกเขาสามคนพากันไปรักษาบาดเจ็บนั่งสมาธิ หลิงอวิ๋นเฮ่อพี่น้องรวมทั้งเถียนจือเชียนสามคนนั่งเงียบไปครู่หนึ่งเถียนจือเชียนถามว่า “พี่หลิง พวกเขาพึ่งพาได้จริงหรือ”
สายตาของหลิงอวิ๋นเฮ่อวนอยู่ระหว่างหยางเฉิงจี, เทียนฉาน, โม่เทียนเกอสามคน สุดท้ายส่ายหน้า “ไม่รู้สิ”
“พี่รอง” หลิงอวิ๋นเฟยเงยหน้ามองเขา สายตากังขา “ข้าไม่เข้าใจมาโดยตลอด เหตุใดท่านต้องไปหาคนนอกด้วยเล่าหรือว่าสกุลหลิงเรากับสำนักจิ่วเยี่ยนทั้งสำนักจะหาคนที่ท่านสามารถไว้ใจได้แค่ไม่กี่คนไม่ได้เลย”
เผชิญหน้ากับความฉงนเต็มใบหน้าของหลิงอวิ๋นเฟยหลิงอวิ๋นเฮ่อไร้วาจาไปครึ่งค่อนวัน จนกระทั่งเขาเรียกอีกรอบว่า “พี่รอง!ข้ารู้ว่าท่านฉลาดกว่าข้าเสมอมา แต่ว่า ท่านก็ไม่ต้องไม่บอกอะไรกับข้าไปเสียหมดอยู่ตลอด ข้าอยากรู้มากจริง ๆ ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่!”
“……ขอโทษนะ อวิ๋นเฟย” เห็นท่าทางขมขื่นของหลิงอวิ๋นเฟยหลิง อวิ๋นเฮ่อตะลึงไปแล้วเอ่ยขออภัยว่า “เป็นข้าที่คิดได้ไม่รอบคอบพอ นึกว่าเรื่องพวกนี้ไม่สำคัญสำหรับเจ้า……”
“เช่นนั้นท่านบอกข้าเถอะ” หลิงอวิ๋นเฟยพูด “พี่รอง ข้าหวังว่าจะสามารถช่วยท่าน ไม่ใช่ว่าอะไร ๆ ล้วนตกอยู่ในที่มืด”
หลิงอวิ๋นเฮ่อเงียบงันไปครึ่งค่อนวัน พยักหน้าช้า ๆ “เอาเถอะ……” เขานวดหว่างคิ้ว คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มกล่าวว่า “การคัดเลือกเจ้าสำนักสำนักจิ่วเยี่ยนของพวกเราเดิมเป็นการแย่งชิงอำนาจของสำนักกับตระกูล ทุก ๆ หนึ่งร้อยปี การคัดเลือกเจ้าสำนักทุกครั้งล้วนต้องเกิดเรื่องการต่อสู้ภายใน ถึงขนาดที่สูญเสียผู้ฝึกตนชั้นยอดที่บ่มเพาะอย่างไม่ง่ายดายจำนวนหนึ่งเรื่องพวกนี้ผู้อาวุโสไท่ซ่างเหล่านั้นรู้ดี แต่เหตุใดการคัดเลือกเจ้าสำนักถึงได้สืบต่อกันมาโดยตลอด ไม่เคยถูกล้มล้างเลยเล่า?”
“เพราะเหตุใดหรือ” หลิงอวิ๋นเฟยถาม “คำถามนี้ข้าก็เคยคิด แต่คิดไม่ออก”
“เพราะว่า……” หลิงอวิ๋นเฮ่อถอนหายใจ “เพราะสำนักจิ่วเยี่ยนเราใหญ่เกินไป ใหญ่จนทั่วทั้งอวิ๋นจงล้วนมิใช่ศัตรู ใหญ่จนแบ่งพรรคแบ่งพวกเต็มไปหมด รวมกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน สูญเสียจิตใจสมถะของผู้ฝึกตน ในสถานการณ์เช่นนี้ หากไม่มีการต่อสู้ภายในเผาผลาญพลังของพวกเขา กวาดล้างบุญคุณความแค้นระหว่างพวกเขา เช่นนั้นถึงตอนท้ายสุด ความขัดแย้งยิ่งสะสมยิ่งมาก สำนักจิ่วเยี่ยนก็จะเป็นเหมือนพนังยาวที่ถูกมดปลวกกัดแทะจนพรุน พ่ายแพ้ครั้งเดียว แตกดับสิ้นสูญ!”
พร้อมกับการพูดจาของหลิงอวิ๋นเฮ่อ สีหน้าของหลิงอวิ๋นเฟยยิ่งมายิ่งขาว ถึงตอนท้ายสุดแทบจะกลายเป็นหวาดผวา “สำนักจิ่วเยี่ยนเรามาถึงขั้นอย่างนี้แล้วหรือ”
แม้แต่เถียนจือเชียนยังขมวดคิ้ว “ไม่ใช่กระมัง……” เขาเป็นผู้ฝึกตนหุบเขาห้าธาตุ หุบเขาห้าธาตุถึงจะนับว่าเป็นสำนักใหญ่ที่อาณาจักรตงถังเหมือนกัน แต่ไม่ได้ไปถึงระดับสำนักจิ่วเยี่ยน คุณลักษณะก็ไม่เหมือนสำนักจิ่วเยี่ยน ไม่มีสถานการณ์ที่ซับซ้อนขนาดนี้
“ข้าก็หวังว่าไม่ใช่” หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้มขม “แต่ว่า……เรื่องนี้ทั่วทั้งอวิ๋นจงล้วนนับว่ามิใช่ความลับอะไร ผู้อาวุโสไท่ซ่างหลายท่านของหุบเขาห้าธาตุของพวกท่านก็รู้เรื่องนี้อยู่แก่ใจ”
“เช่นนั้นหรือ……” เถียนจือเชียนพำพึม ยากจะเชื่อถือ
“บรรพจารย์รุ่นก่อน ๆ ของสำนักจิ่วเยี่ยนเรา ผู้มีพรสวรรค์มากล้น สถานการณ์ประเภทนี้พวกเขาก็ค้นพบมาแต่แรกแล้ว ดังนั้นจึงมีการคัดเลือกเจ้าสำนักขึ้น ผู้ที่ล้มเหลวในการแก่งแย่งของสำนัก ทุก ๆ ร้อยปีล้วนมีโอกาสเปิดกระดานขึ้นมาใหม่ เช่นนี้แล้ว ระหว่างฝักฝ่ายต่าง ๆ ในสำนักถึงจะมีความขัดแย้ง แต่สามารถควบคุมไว้ได้ในขอบเขตประมาณหนึ่ง”
“……” หลิงอวิ๋นเฟยเงียบงันไปพักหนึ่ง ถามว่า “นี่กับการที่พี่รองท่านเลือกคนนอกมาร่วมทางมีความเกี่ยวข้องอะไรหรือ”
หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้มบาง รอยยิ้มขณะนี้ของเขาเจือความหม่นหมองนิดหน่อย “อวิ๋นเฟย ข้าถามเจ้า ทั่วทั้งสกุลหลิง ทั่วทั้งสำนัก มีซือเกอตี้กี่คนที่ไม่มีฝักฝ่าย โดดเดี่ยวอยู่นอกกลุ่มอำนาจ”
หลิงอวิ๋นเฟยตะลึงไป “นี่……”
“ไม่มีสักกี่คนที่สามารถหลบพ้น” หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ยอย่างเฉยเมย “บางเวลา เมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ จิตใจของคนร่วมสำนัก จิตใจของพี่น้อง ล้วนไม่มีค่าให้เอ่ยถึงสักนิด ถึงพวกเขาจะไม่เต็มใจเลยก็ยังจะสลัดไม่พ้น ก็เหมือนกับ — ข้าที่สุดท้ายแล้วยังแตกหักกับพี่ใหญ่”
หลิงอวิ๋นเฟยเงียบงัน หลิงอวิ๋นเฮ่อถอนหายใจอีกครา เอื้อมมือไปลูบศีรษะของเขา
ตั้งแต่เติบโตขึ้นมา เขาไม่ได้ลูบศีรษะของน้องชายคนนี้มาหลายปีมากแล้ว
“ข้าเพียงไม่ปรารถนา ให้โอกาสพวกเขาแตกหักกับข้า” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “อวิ๋นเฟยเอ๋ย พี่รองไม่บอกเจ้าเพราะอย่างนี้จะดีกับเจ้ายิ่งกว่า ที่สกุลหลิง ที่สำนักจิ่วเยี่ยน การสามารถฝึกตนอย่างเรียบง่าย เป็นเรื่องที่ผาสุขประการหนึ่งจริง ๆ”
————