ตอนที่ 19: ร่างกายที่ผิดปกติ

รองผู้บัญชาการพลันวางเอกสารในมือลง “แล้วนายรู้รายละเอียดมากกว่านี้ไหม?”

เลขาชายพยักหน้าและลดเสียงลง “ก่อนหน้านี้ มีใครคนหนึ่งเดินทางไปคุยกับเทศมนตรี พวกเขาจะโน้มน้าวขอให้ทางเทศมนตรีช่วยเจรจาเพื่อปล่อยพวกเด็กวัยรุ่นทั้งสิบสองคนออกมา แต่ผู้บัญชาการกลับไม่เห็นด้วย เหตุผลก็คือเด็กวัยรุ่นนิสัยเสียพวกนั้นทำให้เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนของเราต้องอับอายและเสียเกียรติ แล้วผู้บัญชาการก็บอกมาอีกว่าเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนคนนั้นก็เป็นตำรวจเหมือนกัน จากนั้น ทางกรมตำรวจที่นั่นก็ส่งหลักฐานทั้งรูปภาพ วิดีโอแล้วก็คลิปเสียงมาให้ นี่ถือเป็นปัญหาที่ใหญ่มากเลยนะครับ ถ้าพิจารณาจากชื่อเสียงของสถานีตำรวจที่นั่นแล้ว เราเองก็จัดการเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวไม่ได้ ก็เลยต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนและกฎหมาย“

รองผู้บัญชาการพลันถอนหายใจและถามกลับ “งั้นฉันขอข้อมูลเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนคนนั้นหน่อย”

ตามความเข้าใจของรองผู้บัญชาการ เรื่องแบบนี้มักจะต้องถูกส่งตรงมาถึงหูของเขาก่อน แต่ผู้บัญชาการใหญ่ก็จัดการทุกอย่างไปเสียแล้ว ดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไป

ทันใดนั้น เขาก็ลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องทำงานของหัวหน้าผู้บัญชาการใหญ่ ทันทีที่เคาะประตูและเปิดเข้าไป ชายวัยกลางคนที่กำลังส่องกระจกอยู่ก็เผยยิ้มและกล่าวคำพูดขึ้น “ต้องการอะไร?”

รองผู้อำนวยการเองก็เผยยิ้มเช่นกัน “มันแปลกมากเลยนะที่คุณไปปกป้องเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนเด็กใหม่คนนั้น”

“นายก็คิดมากไป ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเปิดเผยหมด บวกกับเด็กใหม่คนนั้นมีหลักฐานว่าเขาถูก เพราะแบบนั้น ก็เลยไม่มีใครสามารถทำอะไรต่อได้ หลักฐานชี้ว่าเด็กวัยรุ่นพวกนั้นผิดจริง พวกเขาก็ต้องถูกกุมขังต่อไป”

“ก็เข้าใจ” รองผู้บัญชาการพยักหน้า คำพูดของผู้บัญชาการใหญ่นั้นฟังดูตรงไปตรงมา รองผู้บัญชาการจึงคิดว่าคงไม่มีอะไรแปลกไปหรอก แต่ทว่า เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนคนนี้ต้องมีประวัติที่ไม่ธรรมดาแน่

– ช่วงค่ำ –

เสี่ยวเฉิงยังคงอยู่ในเครื่องแบบตำรวจ เขาออกไปข้างนอกเพื่อทานอาหารค่ำกับหรานจิงและเซินเหยา ระหว่างที่ทั้งสามนั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าว หรานจิงก็พลันถามคำถามขึ้นด้วยความสงสัย “นายเป็นตำรวจจริงๆ เหรอ?”

“การแอบอ้างว่าตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจถือเป็นอาชญากรรมเชียวนะ” เสี่ยวเฉิงพลันชำเลืองมองหรานจิง

ทันใดนั้น เสียงของเซินเหยาก็ลอยขึ้นมา “นายควรไปเป็นตำรวจจราจรมากกว่านะ”

หรานจิงพยักหน้า “เห็นด้วยเลย”

เสี่ยวเฉิงที่กำลังเคี้ยวชิ้นเนื้ออยู่พลันกล่าวคำถาม “ทำไมกัน?”

“ก็เพราะว่านายทั้งหน้านิ่งแล้วเย็นชาไง ถ้าเจอสาวสวยเดินมาก็เขียนไปสั่งให้เธอไปเลย นายอาจจะได้เลื่อนขั้นเพราะทำแบบนั้นก็ได้นะ…” เซินเหยาตอบกลับ

เสี่ยวเฉิงแทบจะสำลักชิ้นเนื้อออกมา

ทันใดนั้น เสียง “หึ่งๆ” ที่แผ่วเบาแต่สุดจะน่ารำคาญก็ดังเข้ามาในหูของเสี่ยวเฉิง

เขาพลันขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน แต่เมื่อมองจากหางตาแล้ว เสี่ยวเฉิงก็เห็นแมลงวันตัวหนึ่งบินวนอยู่ และทันใดนั้นเอง “ควับ!” เขาจับแมลงวันที่กำลังบินอยู่ตัวนั้นได้ด้วยตะเกียบที่อยู่ในมือข้างเดียว!

หญิงสาวทั้งสองต่างก็สะดุ้งกับการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันตรงหน้า ทันทีที่พวกเธอมองไปที่ตะเกียบ ทั้งคู่ก็พลันตกตะลึงทันทีที่เห็นแมลงวัน

ทว่า เสี่ยวเฉิงเองก็ตกใจไม่แพ้กัน

เขามองไปที่มือของตัวเองพร้อมนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ไม่ต้องพูดถึงความเร็วมือเมื่อกี้เลย เสี่ยวเฉิงเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน

“อิ๊ว! น่าขยะแขยง!” เซินเหยาเผยท่าทีราวกับเป็นเด็กเอาแต่ใจที่กลัวเชื้อโรคจากแมลง เธอพลันบ่นขึ้นมาทันทีที่เห็นแมลงวันอยู่ตรงหน้า

ทันใดนั้น เสี่ยวเฉิงมองไปยังมือของตัวเองและรู้สึกราวกับสติหลุดไปชั่วครู่ ความเร็วนั้น… มันเร็วมาก! เร็วกว่าตอนที่เขายังเป็นทหารระดับ A อยู่ในกองทัพเสียอีก!

ทว่า ของเหลวทางพันธุกรรมที่ถูกฉีดเข้าไปในร่างกายไม่ได้ทำให้เกิดการอุดตันจนส่งผลให้ความสามารถทางกายภาพของเสี่ยวเฉิงลดลงหรอกหรือ?

ถึงกระนั้น เสี่ยวเฉิงเองก็ไม่ได้รู้สึกถึงอะไรที่ต่างจากเดิมเลยตั้งแต่ออกมาจากกองทัพภาคที่ห้า และความเร็วเมื่อครู่ก็ทำให้เขาตกใจไม่น้อย

ในตอนนี้ หรานจิงเองก็ยังคงตกใจกับเหตุการณ์กระทันหันเมื่อครู่อยู่ มันเป็นความเร็วที่เปรียบได้ดั่งสายลม เธอไม่เห็นการเคลื่อนไหวของมือเสี่ยวเฉิงเลยด้วยซ้ำ และทันทีที่หรานจิงมองไปยังเซินเหยา ทั้งสองก็เห็นเสี่ยวเฉิงเผยท่าทีที่ราวกับจะบอกว่า “ดูสิ! ฉันจับแมลงวันได้ด้วย!”

และทันทีที่เธอตัดสินใจว่าจะทานอาหารต่อ เสี่ยวเฉิงก็ยังคงค้างอยู่ท่าเดิม…