ตอนที่ 6 ขัดแย้งอีกครั้ง 2

ใจอย่างเย่ต้องสะท้านยามได้ยินเสียงตะคอกอันเย็นเยือก เขาหันไปพบเป็นชายชรา ความรู้สึกอันซับซ้อนฉายผ่านดวงตาหยางเย่ เขาสูดหายใจเข้าลึกพร้อมโยนแส้ทิ้ง จากนั้นจึงละความสนใจจากผู้จัดการซู่ที่ใกล้ตาย ก่อนจะเดินไปข้างหน้าชายชรา เขาโค้งคำนับชายชราพร้อมกล่าว “ผู้อาวุโสเชียน!”

ชายชราตรงหน้าคือผู้ที่พาเขาเข้าเป็นศิษย์นอกจากเมืองทักษิณภิรมณ์ ชายชราท่านนี้เป็นผู้เปลี่ยนโชคชะตาเขา หากชายชราผู้นี้ไม่ส่งคำเตือนไปยังตระกูลหลิว มารดาและน้องสาวเขาคงตกอยู่ในมือของพวกนั้นไปแล้ว

แม้เขาถูกลดชั้นเป็นศิษย์ใช้แรงงานเพราะชายชราผู้นี้ ทว่าเขากลับไม่ได้โกรธแค้นอีกฝ่ายแม้เพียงนิด กลับกัน เขารู้สึกซาบซึ้งบุญคุณของชายชราตลอดมา บุคคลตรงหน้าผู้นี้ คือเหตุผลที่ทำให้เขาพยายามอย่างหนัก เพราะว่าไม่สามารถดูดซับพลังปราณล้ำลึกภายในหนึ่งปี จึงเป็นผลให้ชายชราโดนถากถางจากผู้อาวุโสท่านอื่น

เขาต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนในสำนักดาบราชันได้เห็น ว่าเขา หยางเย่ผู้นี้ไม่ใช่ขยะ!

ได้เห็นหยางเย่ ความรู้สึก่ยากจะบรรยายผ่านดวงตาของผู้อาวุโสเชียน เขาทราบดีถึงพรสวรรค์ทางธรรมชาติของหยางเย่เป็นอย่างดี กระนั้น ด้วยบางเหตุผลที่หยางเย่ไม่สามารถดูดซับพลังปราณล้ำลึก และไม่สามารถกลายเป็นผู้ใช้ปราณล้ำลึกได้ ดังนั้นผู้อาวุโสเชียนจึงไร้ซึ่งทางเลือก จนต้องลดหยางเย่เป็นศิษย์ใช้แรงงาาน ขณะนี้พบหยางเย่อีกครั้ง ความรู้สึกซับซ้อนบังเกิดขึ้นภายในใจ

ขณะที่ตู่ชือคุกเข่าต่อหน้าผู้อาวุโสเชียน เขาชี้ไปยังหยางเย่และเอ่ย “ผู้อาวุโสเชียน ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่พวกเรา ครั้งก่อน หยางเย่ทำร้ายข้าอย่างหนัก ทั้งยังใช้ข้าทำงานให้อีก ท่านลุงเข้ามาพูดอย่างมีเหตุผล แต่ผู้ใดจะคาดคิด ท่านลุงข้ากลับถูกทำร้ายเช่นกัน ผู้อาวุโสเชียน ท่านโปรดให้ความเป็นธรรมข้ากับท่านลุงด้วย!”

หยางเย่ขมวดคิ้วยามได้ยินตู่ชือกล่าวคำเท็จ แต่เขาก็ไม่เอ่ยสิ่งใด

ในทางกลับกัน ใบหน้าของเหล่าศิษย์ใช้แรงงานเต็มไปด้วยความโกรธเคือง พวกเขารู้สึกว่าตู่ชือไร้ยางอายนักที่แปรเปลี่ยนความจริง

ผู้อาวุโสเชียนมองไปยังผู้จัดการซู่ที่นอนอยู่บนพื้นซึ่งใกล้จะสิ้นลม ทันใดนั้น แสงแห่งความประหลาดใจปรากฏขึ้นในตาผู้อาวุโสเชียน เขามองไปยังหยางเย่พร้อมปล่อยปราณศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นไม่นาน ดวงตาของผู้อาวุโสเชียนเบิกกว้างพร้อมเอ่ยว่า “เจ้า เจ้าเข้าสู่ระดับสี่ของขั้นปราณมนุษย์แล้วหรือ?”

หยางเย่พยักหน้าตอบรับ พลังปราณล้ำลึกภายในร่างเขาพรั่งพรูออกมา บนฝ่ามือปรากฏแสงสีทองอ่อน “ผู้อาวุโสเชียน ข้าสามารถดูดซับพลังปราณล้ำลึกได้แล้ว!”

หลังจากเอ่ยประโยคนั้นไป จิตใจหยางรู้สึกผ่อนคลายทันที ในอดีต เพื่อไม่ให้ชายชราผู้นี้ผิดหวัง เขาบ่มเพาะพลังอย่างหนัก แต่ท้ายที่สุดก็ยังทำให้ชายชราผิดหวังอยู่ดี บัดนี้ เขาสามารถดูดซับพลังปราณล้ำลึกได้แล้ว และผู้ที่เขาต้องการบอกมากที่สุดก็คือชายชราผู้นี้

ยามที่เห็นแสงสีทองปรากฏบนฝ่ามือหยางเย่ ดวงตาผู้อาวุโสเปิดกว้างราวกับเห็นสิ่งวิเศษข้างหน้า จากนั้นเขาพุ่งมาหาหยางเย่พร้อมเอ่ย “ปราณเจ้า ปราณเจ้าคือสีทองอย่างงั้นหรือ?”

คำเพียงกล่าวจบ มือผู้อาวุโสเชียนจึงกำแน่น

จากท่าทีที่เคร่งขรึมของผู้อาวุโสเชียน หยางเย่ลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนพยักหน้า บางทีพลังปราณของเขาอาจไม่ใช่ธาตุทองคำ แต่มันคงไม่ด้อยไปกว่าพลังปราณทองธาตุทองคำ

“ฮ่าฮ่า!!!” ผู้อาวุโสเชียนหัวเราะลั่นเมื่อเห็นหยางเย่พยักหน้า เขาหัวเราะอยู่ชั่วขณะก่อนจะสำรวม เขาระงับความตื่นเต้นในใจและแตะไหล่ของหยางเย่ด้วยมือขวา “เยี่ยม เยี่ยมมาก ยอดเยี่ยมจริง ๆ”

มีอัจฉริยะเพียงไม่กี่คนจากผู้คนนับล้านที่มีพลังปราณห้าธาตุ หยางเย่ไม่เพียงแค่มีพลังปราณห้าธาตุ มันยังเป็นพลังธาตุที่แข็งแกร่งที่สุด พลังปราณทองคำ เช่นนั้นแล้วจะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้เยี่ยงไร?

เมื่อได้ยินผู้อาวุโสเชียน ตู่ชือรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีทันใด แต่เมื่อมองไปยังผู้จัดการซู่ที่นอนใกล้จะสิ้นลม ตู่ชือสูดลมหายใจลึก รวบรวมความกล้าทั้งหมดเดินไปยังผู้อาวุโสเชียนและคุกเข่า “ผู้อาวุโสเชียน โปรดให้ความเป็นธรรมแก่พวกข้าด้วย!”

ผู้อาวุโสเชียนขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน เขามองอย่างเย็นชาไปยังตู่ชือก่อนจะหันมองดูผู้คนรอบข้าง “บอกลำดับเหตุการณ์ให้ข้าทราบ อย่ากังวลไป ที่นี่จะไม่มีผู้ใดกล้าทำอะไรเจ้า แต่หากผู้ใดกล้าปกปิดความจริง ก็อย่าหาว่าข้าไร้ความปรานี”

ได้ยินคำกล่าว หัวใจตู่ซืนพลันกระตุก ใบหน้าซีดเผือดลง เขาทราบแล้วว่าผู้อาวุโสต้องอยู่ข้างหยางเย่เป็นแน่

ศิษย์แรงงานผู้ใดจะกล้าปกปิดความจริง? พวกเขาอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์บางคนยังรู้ว่าผู้อาวุโสเชียนมีทัศนคติต่ออย่างไรต่อหยางเย่ พวกเขาคิดว่ามันอาจเป็นโอกาสดีที่จะสาสางผู้จัดการซู่ ดังนั้นจึงบอกเล่าทุกสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำในอดีต ทั้งยังจะใส่สีตีไข่เพิ่มเข้าไปด้วย

เมื่อได้ยินคำบอกกล่าวจากศิษย์แรงงาน สีหน้าพวกตู่ชือกลายเป็นซีดเซียวหวาดกลัวพร้อมร่างกายที่สั่นเทา พวกเขาทราบดีว่ายามนี้จบสิ้นแน่แล้ว

หยางเย่เผยสีหน้าเฉยชามองคนทั้งสาม ก่อนจะเดินไปยังผู้จัดการซู่ และหยิบซองจดหมายออกมาจากใต้เสื้อคลุม

หลังฟังความจากทุกคน ผู้อาวุโสเชียนเผยท่าทีดำมืดขณะมองไปยังตู่ชือที่หมอบคลานบนพื้น “ข้าไม่เคยคิด ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลย เหล่าผู้อาวุโสนอกสำนักและเหล่าศิษย์ยุ่งอยู่กับการบ่มเพาะพลัง เช่นนั้นแล้วไม่มีผู้ใดสนใจต่อยอดเขาแรงงาน ข้าเองก็ไม่คาดคิดว่ายอดเขาแรงงานจะตกอยู่ใต้เงื้อมมือของลุงและหลานคู่นี้ พวกเจ้าทั้งสองช่างกล้านัก!”

“ได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วย ผู้อาวุโส ได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้าเถอะ ผู้อาวุโส…” ตู่ชือและพรรคพวกคุกเข่าร้องขอความีเมตตาทันที “ได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วย ผู้อาวุโส พวกข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว พวกข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว…”

ยามนี้ พวกตู่ชือทั้งสามรู้สึกผิดอย่างยิ่ง และพวกเขารู้สึกผิดต่อหยางเย่ยิ่งกว่าใคร หากรู้ว่าหยางเย่เป็นผู้ใช้พลังปราณล้ำลึกแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะกล้าเพียงใด ก็ไม่อาจแหยมหยางเย่

ผู้อาวุโสเชียนตะคอกอย่างเย็นชา “นับตั้งแต่บัดนี้ ผู้จัดการซู่ ไม่ใช่ผู้จัดการแห่งยอดเขาแรงงานอีกต่อไป พวกเจ้าทั้งสี่จะไปอยู่ในขุนเขาแร่ดวงดาวเป็นเวลาสิบปี ทุกอย่างที่หาได้จากเหมืองจะถูกส่งมายังสำนัก หลังจากสิบปี พวกเจ้าจะถูกขับไล่ออกจากสำนักดาบราชัน และไม่ได้รับอนุญาตให้เหยียบสำนักอีกต่อไป” ทันทีที่เอ่ยจบ เขาพยักหน้าให้หยางเย่ที่เงียบงัน เขาจับไหล่หยางเย่ จากนั้น ร่างผู้อาวุโสเชียนเกิดแสงแวบออกมา พวกเขาทั้งสองได้หายไปจากโรงอาหารแล้ว

หลังได้ยินคำของผู้อาวุโสเชียน บรรดาศิษย์แรงงานต่างโห่ร้องยินดี ทว่ากลุ่มของตู่ชือแทบจะล้มเป็นลม เพราะพวกเขาทั้งสี่คนนับแต่นี้ต้องทำงานเยี่ยงทาสให้แก่สำนักดาบราชันถึงสิบปี