ตอนที่ 2-1 บุตรสาวที่ไม่ต้องการ

แสงเทียนส่องแสงริบหรี่ในยามค่ำคืนอันเงียบสงบ

หลี่เว่ยหยางสะดุ้งตื่นขึ้นมา และได้พบว่า ตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียง

และได้ยินเสียงสนทนาของผู้ใดบางคนจากด้านนอกอย่างชัดเจน

บริเวณหน้าห้องนั้น นางหม่ากำลังกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า

“ท่านแม่ ข้าคิดว่า เราควรพานางไปหาหมอจะดีหรือไม่? หากอาการหนักมาก จะได้ส่งตัวนางกลับไปที่บ้านตระกูลหลี่เพื่อรักษา. . .”

หลังจากได้ฟังคำกล่าวของลูกสะใภ้ สีหน้าของนางหลิวก็เปลี่ยนไปในทันที และตอบอย่างมิใส่ใจว่า

“หญิงผู้นี้คิดว่า ตนเองเป็นสุภาพสตรีผู้สูงศักดิ์ แต่จากสิ่งที่ข้าได้ยินมา

นางเกิดมาจากสาวใช้ที่ต่ำต้อยซึ่งมีหน้าที่ล้างเท้า และเป็นขี้ข้าของผู้อื่น

มิเพียงแค่นั้น นางยังมาเกิดในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งถือว่าเป็น สิ่งที่นำความโชคร้ายมาสู่ครอบครัว

ตระกูลหลี่เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง พวกเขาจึงมิสามารถที่จะฆ่านางได้

ดังนั้นพวกเขาจึงส่งตัวนางไปหาญาติห่าง ๆ ในเมืองผิงเฉิง

นอกจากนี้ ผู้อาวุโสหลี่และหลี่ฮูหยินได้ป่วยติดต่อกันเป็นเวลานาน

นางเป็นดาวโชคร้ายสำหรับครอบครัวของนางเอง มิใช่หรือ?.

นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกเป็นอันมาก จึงรีบส่งตัวนางออกไปให้พันจากบ้านตระกูลหลี่!

ในความคิดของข้า มิเพียงแค่นางจะเป็นตัวซวยเท่านั้น แต่ยังเป็นหมูขี้เกียจอีกด้วย

ทุกครั้งที่ให้ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ นางจะทำราวกับว่า มันจะฆ่านางให้ตาย น่าเบื่อ!”

หลี่เว่ยหยางมีความรู้สึกตกใจ และเสียใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินบทสนทนานั้น

นางมองไปบริเวณโดยรอบ ห้องนี้มิได้มีอันใดมากมายเลย

สิ่งที่เห็น มีโต๊ะสี่เหลี่ยม และเก้าอี้ไม้ไผ่สี่ตัว ตู้เสื้อผ้า และสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุดก็คือเตียงไม้ที่นางกำลังนอนอยู่นี้

สถานที่นี้คือ…ทันใดนั้น ภายในจิตใจก็เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ

การสนทนาภายนอกยังคงดำเนินต่อไปด้วยเสียงอันดัง และสามารถได้ยินมันอย่างชัดเจน

นางพยายามใช้ความคิด เพื่อทบทวนทุกอย่าง

ในตอนที่เว่ยหยางอยู่ที่บ้านตระกูลหลี่ มีสาวใช้คอยดูเเล และมิต้องทำงานหนักใด ๆ เลย อีกทั้งยังมิเคยได้พบกับความยากลำบากมาก่อน

วันนั้นนางประมาทเพียงเล็กน้อย จึงตกลงไปในรอยแตกระหว่างแผ่นน้ำแข็ง

ทำให้ต้องล้มป่วยลง มันเป็นสิ่งที่คาดมิถึง และมิใช่ความผิดของนางอย่างแน่นอน . .

ในช่วงนี้อากาศมีความหนาวเย็นมาก แต่นางหลิวยังคงบังคับให้เว่ยหยาง เด็กสาวที่น่าสงสารผู้นี้ไปซักผ้าที่ทะเลสาบน้ำแข็ง

นางหม่ารู้สึกสงสารมาก น้ำเสียงนั้นเริ่มมีความกังวลใจ และกระสับกระส่ายมากขึ้น

นางหลิวเย้ยหยันอย่างเย็นชา

“มีที่พักให้ มีข้าวให้กิน แล้วยังจะทำตัวไร้ประโยชน์สิ้นดี

ข้าเพียงแค่ให้ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็ยังทำมิได้ ราวกับว่า ข้าบอกให้ไปทำในสิ่งที่ยากเย็นนักหนา

สิ่งที่ได้ยินมานั้น เป็นความจริงทุกอย่าง

นางคงจะแกล้งป่วย จะเสแสร้งไปถึงไหนกัน หากมิโดนผลักแรง ๆ ก็คงจะมิยอมขยับตัวใช่หรือไม่

การงานทั่วไป ผู้อื่นทำเพียงสองชั่วโมง แต่นางต้องใช้เวลาทำถึงสามชั่วโมง

เหตุใดข้าต้องมาทนดูผู้ที่ไร้ประโยชน์แสร้งทำเป็นป่วย อย่าให้ต้องโกรธไปมากกว่านี้

มิเช่นนั้น จะโยนออกไปข้างนอก แล้วปล่อยให้ตายที่นั่นเสียเลย!”

นางกล่าวคำเหล่านั้นออกมา ขณะที่จ้องมองไปที่ลูกสะใภ้อย่างตั้งใจด้วยสีหน้าที่เย็นชา

“เจ้าคิดว่า ข้ามิรู้หรือ? หากเจ้าสงสารมัน ก็จัดการซักผ้าให้นางด้วยก็แล้วกัน!”

นางหม่ารีบกล่าวว่า

“ท่านแม่ ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว ข้าจะไม่กล่าวเรื่องไร้สาระเช่นนี้อีกต่อไป”

นางหลิวหายใจแรงขณะลุกขึ้นยืนจากนั้นจึงได้ยินเสียงกระแทกประตู

เกิดอันใดขึ้น?

ข้าตายไปแล้วมิใช่หรือ?

เหตุใดยังมานอนอยู่ที่นี่?

หลี่เว่ยหยางพยายามที่จะขยับตัว แต่ร่างกายนั้นหมดเรี่ยวแรง

ราวกับว่า มิมีกระดูกแม้เพียงสักชิ้นเดียวอยู่ในร่างกายนี้

นางพยายามตั้งสติ และไตร่ตรองทุกอย่างอย่างโดยละเอียด

จากนั้นมินาน ได้มีหญิงผู้หนึ่งถือชามอาหารบางอย่าง และเดินเข้ามาในห้อง

ต่อมา หลี่เว่ยหยางได้ถูกพยุงตัวให้ลุกขึ้นนั่งในอ้อมแขนของผู้ใดบางคน

ไหล่ของคนผู้นี้เล็ก และบอบบางมาก มีหน้าอกที่อ่อนนุ่ม และมีกลิ่นของสมุนไพรบางชนิด

“กินโจ๊กเสียบ้าง หลังจากเหงื่อออกแล้ว อาการไข้จะได้ดีขึ้น”

ในตอนแรก หลี่เว่ยหยางคิดว่าตนเองเห็นผี แต่เมื่อมีลมหายใจอุ่น ๆ มากระทบที่ใบหน้า

นางจึงจ้องมองไปยังหญิงผู้นั้นด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก

หากจำมิผิด หญิงในหมู่บ้านผู้นี้มีอายุประมาณยี่สิบปี ชื่อของนางคือ นางหม่า

เป็นลูกสะใภ้คนโตของครอบครัวชาวนา ที่นางเคยอาศัยอยู่ด้วย

แต่จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?

เห็นได้ชัดว่า นางได้รับเหล้าพิษ แต่ภายในชั่วพริบตา ก็ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเมื่อยี่สิบสามปีก่อน

เมื่อตอนอายุสิบหกปี เว่ยหยางได้แต่งงานกับทัวเป่าเจิ้น

แปดปีต่อมา นางกลายเป็นจักรพรรดินี หลังจากนั้นได้ถูกคุมขังเอาไว้ในพระราชวังเย็น เป็นเวลาสิบสองปี

ในตอนที่ถึงแก่กรรม มีอายุประมาณสามสิบหกปี

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ นางหม่ามองมาที่นาง ด้วยสายตาเช่นเดียวกับเมื่อยี่สิบสามปีที่แล้ว

นี่มันเป็นสิ่งที่มิน่าเชื่อเลย! เป็นไปมิได้! โดยสัญชาตญาณ จึงมองไปที่มือของตนเองในทันที มันดูผอมเพรียว และช่างขาวเนียนนุ่ม

มือคู่นี้มิได้เป็นของหญิงอายุสามสิบหกปี แต่เป็นมือของหญิงสาวที่อ่อนวัย

เมื่อความคิดบางอย่างได้แล่นเข้ามาในหัวใจดวงนี้ ส่งผลให้มีความสยดสยองเกิดขึ้นในดวงตาของหลี่เว่ยหยางในทันที

นางหม่ากล่าวออกมาด้วยความเป็นห่วงว่า

“เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้ายังรู้สึกหนาว อยู่หรือไม่”

น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นและผู้คนต่างก็บอกกล่าวกันว่า

นางเป็นคนดี และมีน้ำใจที่งดงามที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้

“เราต้องไปหาหมอ แต่แม่ … นาง…”

เมื่อกล่าวแล้ว จึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

หลี่เว่ยหยางมองไปยังชามโจ๊กในมือของนางหม่า มิรู้ว่าข้าวชนิดใดที่ใช้ทำโจ๊กนี้ แต่มีความรู้สึกว่า มันมีกลิ่นแปลก ๆ โชยมาเตะที่จมูก

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ขณะนั้นดวงตาของนางเริ่มมีความชุ่มชื้นเกิดขึ้น

หากนี่เป็นความฝัน หวังว่าคงจะมิมีวันตื่นขึ้นมาจากความฝันนี้

เพราะมันมีความรู้สึก…รู้สึกว่า ยังมีชีวิตอยู่ ยังมิได้ตาย

หลี่เว่ยหยางกำลังจะกล่าว แต่ทันใดนั้น ก็ได้เห็นหญิงอีกผู้หนึ่งหอบกองผ้า และรีบก้าวเข้าด้านใน

นางหม่าซึ่งกำลังถือชามโจ๊กอยู่ได้เงยหน้าขึ้น และเห็นสีหน้าของนางหลิว จากนั้นทั้งร่างจึงเริ่มสั่นสะท้าน

“เจ้ากำลังทำอันใดอยู่?! หือ!”

นางหม่าสะดุ้งสุดตัว และรีบปล่อยมือออกจากหลี่เว่ยหยางทันที

จากนั้นจึงรีบลุกขึ้นยืน และกำลังจะวางชามใบนั้นลงบนโต๊ะ

แต่เป็นเพราะความกลัว โจ๊กส่วนหนึ่งได้หกลงบนมือนั้น

มันลวกมือของนางหม่า แต่นางยังพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดจากการถูกลวก และได้วางชามใบนั้นลงบนโต๊ะ ด้วยความระมัดระวัง