ตอนที่ 119 เปิดหอบรรพชน แตกตื่นทั้งหมู่บ้าน (3)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 119 เปิดหอบรรพชน แตกตื่นทั้งหมู่บ้าน (3)

แต่ทว่ารถม้าที่มุ่งหน้าไปอย่างมั่นคงจู่ๆ ก็หยุดกะทันหัน มั่วเชียนเสวี่ยไม่ทันได้ตั้งตัวร่างของนางจึงได้พุ่งไปข้างหน้าบริเวณประตูรถม้า หน้าผากรู้สึกร้อนขึ้นทันใด นางยกมือขึ้นสัมผัสจึงพบว่าเจ็บปวดยิ่งนัก คาดว่าคงจะบวมเป่ง มั่วเชียนเสวี่ยโมโหและกำลังจะตำหนิอาอู่ว่าเหตุใดจึงไม่ระมัดระวังเช่นนี้ แต่นางได้ยินเสียงของอาซ้อจางดังขึ้นจากด้านนอกรถม้าเสียก่อน

“หนิงเหนียงจื่อ รีบช่วยข้าเถิด!”

มั่วเชียนเสวี่ยเปิดม่านขึ้นออกดูและพบว่าอาซ้อจางกำลังจะพุ่งตัวขึ้นมาในรถม้า แต่กลับถูกอาอู่ขวางเอาไว้

อาซ้อจางผมเผ้ายุ่งเหยิง จมูกช้ำหน้าบวม ร่างของนางเต็มไปด้วยหิมะ ดูเหมือนกับว่าลงไปคลุกกับกองหิมะมาอย่างไรอย่างนั้น เมื่อนางเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยโผล่ศีรษะออกมามอง ปากของนางก็อ้ากว้างราวกับประตูกักเก็บน้ำ

“หนิงเหนียงจื่อ จางเกินเป่ามันไม่ใช่มนุษย์ มันนอกใจข้าและถูกข้าจับได้ ไม่เพียงแต่ไม่ยอมกลับใจรู้สึกผิด อีกทั้งยังจะทุบตีข้าให้ตายเสียตรงนั้น โชคดีเหลือเกินที่ข้าวิ่งหนีได้รวดเร็ว”

หืม นี่มันเรื่องอันใดกัน อาซ้อจางจะไปจับชู้ไม่ใช่หรือ ควรจะเป็นนางที่ทำร้ายทุบตีสตรีหน้าด้านหน้าทนผู้นั้นมิใช่หรือไร เหตุใดเรื่องราวจึงกลับตาลปัดเช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะตอบไปอย่างไร

อาซ้อจางก็ได้ด่าทอออกมาอีกครั้งว่า “เจ้าจางเกินเป่ามันไร้หัวใจ ไม่รู้ว่ากินอะไรผิดไปจึงได้จิตใจโหดเหี้ยมเช่นนั้น ดูสิทุบตีข้าเสียจนแทบตาย จะต้องเป็นนางสารเลวนั่นคอยยั่วยุแน่ ใช่แล้วต้องเป็นเพราะนังสารเลวผู้นั้น!” อาซ้อจางกล่าวอย่างซ้ำไปซ้ำมา

นางไม่จำเป็นต้องให้มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวสิ่งใดออกมา และไม่จำเป็นต้องปลอบโยนนาง เพียงอยากจะให้มั่วเชียนเสวี่ยรับฟังเท่านั้น

“ฟางเถาเอ๋อร์ นางสารเลวนั่นกล้าแย่งคนของข้าไป อีกทั้งยังยุแยงให้เขาทำร้ายข้า นังสารเลวผู้นี้ต้องไม่ตายดีแน่! หนิงเหนียงจื่อรู้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้จางเกินเป่าไม่เคยลงไม้ลงมือกับข้ามาก่อนเลย เป็นเพราะนังผู้หญิงสารเลวคนนั้น…”

มั่วเชียนเสวี่ยมองไปยังผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของนาง และท่าทางอันหึงหวงอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งสายตาเคียดแค้นคู่นั้นของนาง ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากจะฟังต่อไปอีก แต่ในขณะที่กำลังจะกลับเข้าไปในรถม้าก็ได้ยินอาซ้อจางกล่าวถึงฟางเถาเอ๋อร์ขึ้นอีก

มั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังจะขึ้นรถม้าจึงได้หยุดชะงักลง

ในเวลาอันคับขันเช่นนี้ ประโยคอันยุ่งเหยิงที่ออกจากปากอาซ้อจางมีฟางเถาเอ๋อร์เข้าไปเกี่ยวข้อง ด้วย เมื่อนำมาเชื่อมโยงกันจึงได้เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ครั้งก่อนคนที่ออกศึกในป่ากับจางเกินเป่า ที่แท้คือฟางเถาเอ๋อร์นี่เอง

มั่วเชียนเสวี่ยถึงกับสะดุ้ง นางเคยบอกว่าจะส่งฟางเถาเอ๋อร์ไปที่ชอบๆ บัดนี้ฟางเถาเอ๋อร์ได้ไปอยู่กับหลี่ไคสือ ดูเหมือนว่านางจะไม่ชอบใจเท่าใดนักจึงได้กระโดดออกมาฆ่าตัวตายเช่นนี้

เพียงแต่ว่าฟางเถาเอ๋อร์เพิ่งจะออกเรือนมิใช่หรือไร เหตุใดนางจึงได้หิวกระหายเช่นนี้ หรือหลี่ไคสือ จะเป็นดั่งเช่นที่อาซ้อจางกล่าวออกมาในวันนั้นว่าเขาไม่มีน้ำยาจริงๆ หากเป็นเช่นนั้นก็ไทำให้ความหวังดีของนางเป็นประโยชน์ขึ้นมาจริงๆ น่ะสิ! ยอดเยี่ยมจริงๆ ที่เรียกว่าหาเรื่องใส่ตนนั้น ฟางเถาเอ๋อร์ทำได้ยอดเยี่ยมจริง…

ท่ามกลางความงุนงง พบว่ามีร่างของใครอีกคนวิ่งออกมาจากป่ากำลังร้องขอความช่วยเหลือ เฉกเช่นเดียวกับอาซ้อจางเมื่อครู่

เมื่อนางวิ่งเข้ามาใกล้ มั่วเชียนเสวี่ยจึงได้เพ่งเล็งดูและพบว่าเป็นฟางเถาเอ๋อร์

เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางยุ่งเหยิงไม่เรียบร้อย ผมเผ้ารุงรังใบหน้าแดงเรื่อ ดวงตาเป็นประกาย ความรู้สึกสับสนมึนเมาแผ่ออกมาจากร่างของนาง

ช่วงเวลานี้นางก็เกิดความตื่นตระหนกไม่น้อย

ฟางเถาเอ๋อร์วิ่งมาพลางตะโกนร้องว่า “ช่วยด้วยมีคนกำลังจะฆ่าคนเจ้าข้า!”

เมื่ออาซ้อจางพบว่านางวิ่งเข้ามา ความโกรธเมื่อครู่ที่ถูกจางเกินเป่าซ้อมเสียเจ็บปวดไม่รู้จะไประบายที่ใด จึงได้พุ่งตรงเข้าไปจิกศีรษะของฟางเถาเอ๋อร์แล้วตบหน้านางหลายฉาด ฟางเถาเอ๋อร์ถูกตบเสียจนมองเห็นดาว แต่นางก็ไม่ได้ต่อสู้กลับ ทำเพียงจ้องไปทางอาซ้อจางแล้วกล่าวว่า “ยัยแก่หน้าเหี่ยว หากจะเอายังมัวแต่ตบข้าอยู่เช่นนี้ สามีของเจ้าอาจจะกลายเป็นฆาตกรฆ่าคนจริงๆ ก็ได้”

“หืม เขาจะฆ่าผู้ใด” อาซ้อจางปล่อยมือลง ท่าทางของนางดูตกตะลึง

“จะเป็นผู้ใดได้อีก ก็หลี่ไคสือน่ะสิ” ฟางเถาเอ๋อร์กัดฟันกรอด

“นางสารเลวแพศยา แกจะต้องตายไม่ดีแน่” อาซ้อจางผงะไปชั่วครู่ เมื่อได้ยินว่าสามีนางจะฆ่าหลี่ไคสือ นางก็ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงได้อ้าปากด่าทอว่า “เป็นเพราะเจ้านังแพศยา ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่…”

เมื่อครู่อาซ้อจางยังเอาแต่ด่าทอสามีของตนเอง บัดนี้กลับกังวลขึ้นมาว่าสามีของตนจะฆ่าคนจริงๆ จึงได้รีบลุกขึ้นวิ่งเข้าไปในป่า

เดิมทีมั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกหงุดหงิดกับคนกลุ่มนี้ยิ่งนัก แต่เมื่อได้ยินว่ามีใครกำลังจะถึงแก่ชีวิต ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะหากหายนะครั้งนี้หนักหนาจนเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาจริงล่ะก็ คนในหมู่บ้านคงจะกล่าวว่านางใจจืดใจดำ ดังนั้นนางจึงได้ยื่นมือออกไปดึงอาซ้อจางขึ้นรถม้าแล้วกำชับให้อาอู่เดินทางไปดู

เดิมทีอาอู่ก็ไม่อยากจะไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้นัก แต่หลังจากเหตุการณ์ส่งต่อเรื่องราวในครั้งที่แล้ว ฮูหยินไม่เพียงแต่ให้เขาอดข้าวตั้งหลายมื้อ อีกทั้งยังข่มขู่ว่าหากมีครั้งหน้าจะขับไล่เขาออกไปจากหมู่บ้านหวังจยา ตอนนั้นเขาแอบชายตาไปมองทางเจ้านาย ซึ่งกำลังนั่งดื่มน้ำชาโดยไม่มีทีท่าจะออกหน้าแทนเขา เขาสงสัยเสียจริงว่าหากฮูหยินต้องการจะนำศีรษะเขาตัดไปเล่น เกรงว่าเจ้านายคงจะตอบตกลงอย่างไม่ลังเล

ด้วยเหตุนี้ หากเขาไม่เอาอกเอาใจทั้งสองฝ่าย ในอนาคตคาดว่าคงจะลำบาก

นับจากนี้ไป ต่อให้อาอู่ทำให้เจ้านายต้องขุ่นเคืองใจ ก็จะไม่ยอมทำให้ฮูหยินต้องขุ่นเคืองใจเป็นแน่ นับจากนี้เป็นต้นไปเขาจะไม่สงสัยในคำพูดของมั่วเชียนเสวี่ย ดังนั้นจึงทำได้เพียงมุ่งหน้าตรงออกไป

หลังจากกำหนดทิศทางเรียบร้อยแล้ว ปลายเท้าของเขาก็แตะพื้นเบาๆ ร่างนั้นก็กระโดดขึ้นสูงจากพื้นหลายจั้ง ผ่านไปชั่วครู่ร่างของเขาก็หายลับตาไปในป่า

เมื่ออาซ้อจางเห็นว่ามีคนเข้าไปดูสามีของตนแล้ว ก็ทำท่าทางจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อทุบตีฟางเถาเอ๋อร์อีก แต่กลับถูกมั่วเชียนเสวี่ยห้ามปรามเอาไว้ แล้วหันไปถามฟางเถาเอ๋อร์ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”

นางไม่รู้อย่างงั้นหรือ มั่วเชียนเสวี่ยมองไปด้วยสายตาเย็นชา

ส่วนสายตาของอาซ้อจางก็ยังคงดุเดือดเช่นหมาป่า

เมื่อถูกแรงกดดันเช่นนี้ ฟางเถาเอ๋อร์จึงกลืนน้ำลายแล้วกระซิบว่า “วันนี้ไม่มีอะไรทำข้าจึงนั่งเล่นอยู่บนรถม้าของจางเกินเป่า จู่ๆ อาซ้อจางก็ปรากฏกายขึ้นแล้วบอกว่าจะทำร้ายข้า”

นั่งเล่น? ในรถม้านั้นหรือ คงจะสนุกมากเป็นแน่

มั่วเชียนเสวี่ยเพียงรู้สึกอึ้ง ส่วนอาซ้อจางดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ โชคดีที่มั่วเชียนเสวี่ยอยู่คั่นกลางระหว่างทั้งสอง ประกอบกับนางกำลังเป็นห่วงสามีของตน ดังนั้นจึงไม่ได้ยื่นมือเข้าไปตบลงไม้ลงมืออีก

“พี่เกินเป่าเข้ามาคุ้มครองข้าเอาไว้ไม่ให้ถูกนางทำร้าย อีกทั้งยังป่าวประกาศว่าหากนางกล้าทำร้ายข้า เขาก็จะตีนางให้ตาย จากนั้นนางก็วิ่งหนีออกมาด้วยท่าทางบ้าคลั่ง…” ฟางเถาเอ๋อร์เล่า

มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “แล้วอย่างไรต่อ รีบพูดมาอย่าอ้อมค้อม”

“จากนั้น…จากนั้น หลี่ไคสือก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วพุ่งกายเข้ามาบอกว่าจะตีข้า พี่เกินเป่าจึงได้เข้ามาปกป้องข้าเอาไว้ และทะเลาะวิวาทกับหลี่ไคสือ”

อาซ้อจางทนไม่ไหวอีกต่อไป นางกำลังจะก้าวเข้ามาตบสั่งสอนฟางเถาเอ๋อร์ แต่ก็ได้ยินเสียงร้องอันดังลอยมาจากป่าทางด้านโน้นเสียก่อน

พวกเขาพากันหันหลังมองไปทางป่าและพบว่าท่ามกลางต้นไม้นั้นมีร่างของใครบางคนลอยออกมา เมื่อเข้ามาใกล้ มั่วเชียนเสวี่ยจึงได้เห็นว่ามือซ้ายขวาของอาอู่หิ้วคนเอาไว้ข้างละคน

วินาทีนั้นไม่รู้ว่าเขาไปหาเถาวัลย์หรือรากไม้มาจากที่ใด แต่กลับมัดทั้งสองคนเอาไว้อย่างแน่นหนา อาซ้อจางเห็นสามีของตนถูกมัดมือมัดเท้าแล้วโยนลงไปบนพื้นกระแทกเสียจนเจ็บปวดร้องโอดโอย นางก็รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ ก่อนจะหันไปตะคอกอาอู่ว่า “เจ้า เจ้ามันไร้เหตุผลสิ้นดี นางสั่งให้เจ้าไปห้ามทั้งสองคนไม่ให้ทะเลาะกัน แต่เหตุใดจึงใดมัดสามีของข้าเอาไว้เช่นนี้ หากจะมัดก็ควรมัดนางแพศยานั่นและหลี่ไคสือ ไอ้คนถูกสวมเขาคนนั้นต่างหาก…”