บทที่ 92 สวัสดีค่ะ คุณหลิน

เจ้าของร้านพิศวง

เมื่อมูเอนตัวน้อยเริ่มปรับตัวได้แล้ว หลินเจี๋ยก็ลงมาข้างล่างและเช็กว่ามีร่องรอยอะไรแจ่มชัดไหมว่าเขาพบมูเอนเป็นคนแรก

โชคดีที่น้ำท่วมขังไหลเอื่อยยังไม่หมด มันจึงชะล้างคราบเลือดไปหมดแล้ว

หลินเจี๋ยยังคงระมัดระวังและไปตรวจสอบรอบด้าน มองภาพรวมแล้วก็ดูจะไม่มีอะไรน่าสนใจหลงเหลือไว้จริงเสียด้วย

เด็กคนนั้นหนีมาอย่างมีประสิทธิภาพเสียจนหลินเจี๋ยไม่เห็นใครตามหาเธอเลยสักคน

บางทีอาจเป็นเพราะที่นี่มักจะร้างผู้คน อีกทั้งยังมีผู้พักอาศัยจำนวนน้อยบนถนนเส้นนี้ หลินเจี๋ยจึงไม่เห็นว่ามีคนให้ความสนใจกับเหตุการณ์นี้มากนัก

หลังจากเสียงฮือฮาของเหตุการณ์แก๊สระเบิดได้หายไป และความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนก็ได้ถูกเติมเต็มแล้ว สถานที่นี้ก็กลับสู่สภาวะเดียวดายเงียบงันซึ่งไม่ดึงดูดผู้มาเยือนสักเท่าไร

หลินเจี๋ยกลับไปเก็บผ้าเช็ดตัวเลอะคราบเลือดที่แขวนอยู่บนเก้าอี้เอนตัว ในขณะเดียวกันก็โทรศัพท์หาเบอร์เดียวที่ถูกเซฟเอาไว้ในอุปกรณ์สื่อสาร

เบอร์นั้นไม่มีแม้แต่ชื่อด้วยซ้ำ แต่เขาได้มาจากลูกค้าคนแรกที่หลินเจี๋ยบริการตอนที่เพิ่งมาถึงนอร์ซินและเปิดร้านหนังสือไม่นานมานี้…

อีกทั้งยังเป็นลูกค้าคนเดียวกันที่ช่วยเปลี่ยนร้านไม่มีใบอนุญาตของเขา ให้กลายเป็นร้านที่มีสิทธิโดยชอบธรรมและยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างมาก

และทุกอย่างนี้ทำเพียงเพื่อตอบแทนหลินเจี๋ยในการแนะนำหนังสือและช่วยให้คำปรึกษาเขาในตอนนั้น

เมื่อก่อนหลินเจี๋ยมั่นใจว่าเขาแค่เยียวยาจิตใจตามปกติและเอ่ยคำปลอบใจเฉย ๆ ทว่าเมื่อมองจากการกระทำของลูกค้าคนนี้หลังจากนั้น มันก็ดูราวกับว่าบทสนทนาตอนนั้นถือว่าเปลี่ยนชีวิตของเธอได้เลยทีเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงเวลานั้นก็เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่หลินเจี๋ยต้องการความช่วยเหลือมากจริง ๆ

ดังนั้นเมื่อลูกค้าทำเหมือนว่าเขาเป็นผู้อุปถัมภ์จนแสดงความขอบคุณให้ หลินเจี๋ยก็เลือกจะรับมัน

หากให้พูดตรง ๆ แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น หลินเจี๋ยคงไม่แนะนำหนังสือและช่วยชี้นำทางจิตใจไปพร้อมกันถี่ขนาดนี้หรอก แต่สำหรับเขา การได้แสดงความสนใจถึงสองสิ่งนั้นเป็นอะไรที่ทำให้เขารู้สึกอิ่มเอมใจ

เมื่อได้รับเบอร์มา เธอก็บอกหลินเจี๋ยว่าเบอร์นี้พร้อมตลอด 24 ชั่วโมงไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก ตราบใดที่หลินเจี๋ยต้องการความช่วยเหลือ ขอเพียงแค่ต่อสายเข้ามาเบอร์นี้ตอนไหนก็ได้ และชายหนุ่มจะได้รับคำตอบแน่นอนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

และเมื่อรับสายแล้ว เธอจะทุ่มสุดตัวเพื่อทำให้หลินเจี๋ยรอดพ้นจากปัญหา

ทว่าในช่วงสามปีมานี้ หลินเจี๋ยไม่เคยต่อสายเข้าเบอร์นี้เลยสักครั้ง

ส่วนหนึ่งคือเขาไม่อยากไปรบกวนคนอื่นมากนัก อย่างไรเสีย ในความเห็นของเขา การช่วยแก้ปัญหาเรื่องร้านไม่ได้ลงทะเบียนตอนนั้นก็ถือว่าตอบแทนการปรึกษามามากเกินพอแล้ว

อย่างที่สอง หลินเจี๋ยก็ไม่ได้เจอกับปัญหามากมายขนาดนั้น ในช่วงสามปีหลังถูกส่งตัวมาที่นี่ เขาก็ใช้ชีวิตปกติสุขตลอด เปิดร้านหนังสือ นำพาความอบอุ่นใส่ใจแล้วแพ็กให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาบ้างในบางครั้ง

แต่ตอนนี้หลินเจี๋ยได้ผู้ช่วยร้านคนใหม่แล้ว เขาต้องทำให้เธอสบายใจขณะที่เธอทำงานอยู่ที่นี่

ถึงแม้ว่าเด็กสาวคนนี้จะเพิ่งได้ชื่อใหม่และยังไม่เอ่ยการตัดสินใจออกมาชัดเจน หลินเจี๋ยก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเด็กสาวเลือกจะอยู่ที่นี่

ความมั่นใจที่เขามีไม่เคยผิดมาก่อนเสียด้วย

ผ่านไปไม่นานก็รับสาย…

เสียงไม่คุ้นเคยดังขึ้นมา เป็นเพศหญิง นอบน้อม ทว่าก็แอบเย็นชาเหมือนกำลังคุยกับแม่บ้านผู้แข็งกระด้าง

“สวัสดีค่ะ คุณหลิน”

“สวัสดีครับ…” หลินเจี๋ยคร่ำครวญและขุดคุ้ยความทรงจำในอดีตอันยาวนาน พยายามนึกถึงที่มาของเสียงอันโดดเด่นนี้ “คุณเป็นเมดที่มารับเชอร์รี่ไปตอนนั้นนี่นา”

“ใช่ค่ะ เรียกฉันว่าเบลล่าก็ได้ เป็นเกียรติยิ่งนักที่คุณจำฉันได้ สามปีที่ผ่านมา ฉันได้เฝ้ารอสายของคุณตามคำสั่งของนายหญิงมาตลอดเลยค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการให้ฉันแจ้งนายหญิงไหมคะ?”

“ไม่ครับ ไม่ต้อง ให้เธอนอนเถอะ”

หลังทำความสะอาดและทิ้งผ้าเช็ดตัวเปื้อนเลือดไปแล้ว หลินเจี๋ยก็กลับขึ้นมาจากห้องใต้ดิน และพบว่าท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มส่องสว่างขึ้นแล้ว

เขาลืมดูเวลาไปตั้งแต่ตอนเก็บเด็กสาวเข้ามาและจัดแจงให้เธอได้พักผ่อน รู้ตัวอีกทีเวลากลางคืนก็ใกล้จะจบลงแล้วเสียอย่างนั้น

เขายังคงทำความสะอาดร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ในร้านหนังสือ แต่รอยเลือดบนเก้าอี้เอนทำให้ชายหนุ่มต้องใช้ความพยายามเก็บกวาดนิดหน่อย สุดท้ายเลยเลือกจะยอมแพ้ไปเสียก่อน

โชคยังดีที่อย่างน้อยรอยดำของเลือดบนเก้าอี้เอนตัวเก่าก็ไม่ได้ดูชัดเจนอะไรขนาดนั้น

เบลล่ายังคงน้ำเสียงความเป็นมืออาชีพไว้พร้อมเอ่ย “รับทราบค่ะ ฉันจะแจ้งนายหญิงเมื่อท่านตื่นแล้วนะคะ ขอเรียนถามหน่อยได้ไหมคะว่าความต้องการของคุณคืออะไร คุณหลิน ตามสัญญาแล้ว คำขอที่คุณกล่าวออกมาจะเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกตลอดค่ะ”

ยังคงเวอร์วังอลังการเหมือนเดิมเลยแฮะ…

หลินเจี๋ยแอบคิดว่าการมาจากตระกูลพ่อค้าซึ่งให้มูลค่ากับคำสัญญาและการสำนึกบุญคุณถือว่าอธิบายความมุ่งมั่นจนเกินเหตุนี้ได้อยู่ แต่เขาก็ไม่ได้คาดคิดเหมือนกันว่าทัศนคติที่มีจะไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดแม้จะผ่านไปแล้วถึงสามปีเต็ม

“ผมเพิ่งช่วยเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีที่มาน่ะครับ… อ๊ะ ตรวจสอบพื้นที่อัคคีภัยระหว่างซอย 20 ถึง 50 ได้เลย ผมต้องใช้ตัวตนใหม่ในการปิดบังตัวตนสำหรับเด็กคนนี้น่ะครับ”

“ได้โปรดรอสักครู่นะคะ”

เบลล่าเงียบไปสักครู่หนึ่ง ราวกับว่าเธอกำลังตรวจสอบตามที่หลินเจี๋ยขออยู่จริง ๆ

ผ่านไปสักพักเธอก็ตอบกลับมา “เข้าใจแล้วค่ะ แต่ว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างจะละเอียดอ่อน เกรงว่าคุณต้องรออีกสักวันสองวัน ได้โปรดให้อภัยพวกเราด้วยนะคะ เมื่อถึงเวลาแล้ว พวกเราจะส่งพนักงานไปหาคุณเพื่อมอบความช่วยเหลือให้ รับประกันความปลอดภัยระดับหนึ่งแน่นอนค่ะ”

หลินเจี๋ยทำเสียง ‘อืม’ เป็นเชิงรับทราบ และตามมาด้วยคำตัดพ้อเล็กน้อย “ได้ยินเสียงคุ้นเคยแบบนี้ทำให้ผมคิดว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยนะครับ ถึงจะผ่านมาแล้วสามปีก็เถอะ”

เบลล่าตอบกลับเสียงเบา “สำหรับคุณคงไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจริง ๆ แหละค่ะ แต่สำหรับพวกเรานั้น สามปีก็ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมายเหลือเกิน แต่ว่ามีหนึ่งอย่างที่ไม่เปลี่ยนแปรไปเลย คือความขอบคุณและคำนึงถึงคุณอยู่เสมอมา”

“นายหญิงนึกถึงคุณอยู่ตลอดและคาดหวังจะได้รับคำแนะนำจากคุณอีกค่ะ เพียงแต่เธอไม่หาญกล้าจะมาขออะไรเนื่องจากคุณไม่ได้ติดต่อเข้ามาเลยเท่านั้นเอง”

“หากคุณไม่ถือสาอะไร ฉันอยากจะขอตัดสินโดยพลการเพื่อไปหาคุณแทนนายหญิง และหวังจะได้รับคำอนุมัตินะคะ”

หลินเจี๋ยแอบรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้ยินคำคำนี้

เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มไม่อยากจะทำให้อีกฝ่ายไม่สะดวกใจแท้ ๆ แต่ทำไมกลายเป็นว่าเขาไปดับความหวังอีกฝ่ายเฉยเลยล่ะ

…ทำไมพวกเขาถึงอยากจะทำตัวไม่สะดวกแบบนี้กันล่ะเนี่ย?

เฮ้อ… ไม่เมคเซนส์เอาซะเลยแฮะ ช่างเถอะ…

หลินเจี๋ยโคลงหัวแล้วถอนหายใจ “ได้สิครับ ร้านหนังสือนี้ยินดีต้อนรับพวกคุณเสมอ เช่นเดียวกับครั้งก่อน ผมเองก็เฝ้ารอจะได้พบคุณและเชอร์รี่อีกครั้งเหมือนกันครับ”

หลังเบลล่าเอ่ยคำลาอย่างสุภาพ หลินเจี๋ยก็วางสายลง เขาโคลงหัวอีกครั้ง ดูท่าทางหญิงสาวคนนั้นจะเทิดทูนเขาเกินไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

ความไม่ประสีประสาและอายุน้อยแบบนั้น การเทิดทูนคนอื่นมากเกินไปก็ไม่ถือเป็นเรื่องดีนักหรอก

ต้องคุยเรื่องนี้ดี ๆ แล้วสิถ้าเธอมา

หลินเจี๋ยเก็บเครื่องมือสื่อสารแล้วมองดูท้องฟ้าส่องสว่างยามเช้า เขากำลังจะเดินออกจากร้านไปซื้อเตียง แต่เมื่อทีวีข้างบ้านถูกเปิดออกในช่วงเวลาปกติ ข่าวร้ายก็มาเยือน… ห้างสรรพสินค้ารอบตัวเขาปิดทำการชั่วคราว

สายตาของหลินเจี๋ยตกไปที่เลื่อยไฟฟ้าขนาดเล็กในมุมห้อง

ท่าทางต้องลงมือทำเองซะละมั้งเนี่ย!