บทที่ 68 อาการของฮูหยินใหญ่
ฮูหยินใหญ่ชอบความสงบ ในบ้านมีซุนมามาคอยปรนนิบัติ
เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงกลับมา ซุนมามาก็เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม “เป็นพระชายาเองรึ? รีบเข้ามา”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ อยู่ในจวนนี้สามารถที่จะเห็นรอยยิ้มที่จริงใจเช่นนี้ไม่ง่ายเลย
นางพลางเดินเข้าไปพลางถาม “สุขภาพท่านย่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซุนมามายื่นมือออกมาขวาง ยิ้มกล่าวอย่างอึดอัด “ก็ยังดี วันนี้ทานข้าวต้มไปตั้งครึ่งถ้วย โดยปกติทั้งวันจะทานประมาณครึ่งถ้วย”
หยวนชิงหลิงมองมือที่ยื่นออกมาของนาง นางไม่อนุญาตให้ตัวเองเข้าไปเหรอ?
“ซุนมามา ข้าอยากจะเข้าไปดูท่านย่า” หยวนชิงหลิงกล่าว
ซุนมามาถอนหายใจ “เชิญพระชายากลับไปก่อนเถอะ ฮูหยินใหญ่ยังไม่หายโกรธเลย วันก่อนข้าน้อยเอ่ยถึงท่าน นางก็ปั้นหน้าไม่ยอมพูดจาทันที”
หยวนชิงหลิงนึกขึ้นได้กะทันหัน ฮูหยินใหญ่คัดค้านที่นางวางแผนจะแต่งเข้าไปในจวนอ๋องฉู่ ถึงขนาดก่อนที่นางจะแต่งงานยังพยายามฝืนลุกขึ้นนั่งเพื่อสั่งสอนนาง ว่านางเลอะเลือนหลงใหลความจอมปลอม ว่านางไม่รู้จักกำลังของตัวเอง ว่านางเอาแต่ใจทำเรื่องผิด
และเจ้าของร่างก่อนหน้านั้นที่กลับบ้านก็มาขอพบท่านย่า ท่านย่าปิดประตูไม่ยอมให้พบ ผิดหวังในตัวนางอย่างมาก
ในจวนเจ้าพระยา มีคนที่เข้าใจทุกอย่างอยู่หนึ่งคน ช่างดีเหลือเกิน
วิธีการของเจ้าของร่าง เลอะเลือนจริงๆ และโง่จริงๆ
นางกล่าวด้วยเสียงเบา “ซุนมามา ครั้งนี้มีเรื่องสำคัญ เมื่อวานข้าเพิ่งออกมาจากในวัง มีเรื่องต้องการคำแนะนำจากท่านย่า”
ซุนมามาได้ยินว่าเมื่อวานกลับมาจากในวัง แล้วกล่าว “งั้นท่านลองเข้าไปดู หากนางยังคงโกรธ ก็ไม่ต้องพูดอีก ตอนนี้ร่างกายของนางรับความโกรธไม่ได้”
“ข้ารู้แล้ว!” หยวนชิงหลิงกล่าว แล้วก็เดินเข้าไปด้านใน
ในบ้านแสงไม่ค่อยดี หน้าต่างล้วนถูกปิดไว้ ฤดูใบไม้ร่วงนี้มีอากาศหนาวเย็น ลมพัดเข้ามาจากประตู ก็เย็นไม่น้อย
หยวนชิงหลิงเห็นฮูหยินใหญ่นอนอยู่บนเตียง คนทั้งคนผอมมาก ใบหน้าไม่มีเนื้อเลยแม้แต่นิดเดียว หนังหุ้มกระดูก ใบหน้าห่อเหี่ยว แววตาก็ดูไม่มีชีวิตชีวา เมื่อเห็นชัดว่าเป็นหยวนชิงหลิงนั้น แววตาจึงมีแสงที่คมชัดเล็กน้อย
เพียงแต่ สีหน้าของนางก็มืดมนลงทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งและเย็นชา “ข้าไม่รู้ว่าพระชายาเสด็จมา ไม่ได้ออกไปรับเสด็จ พระชายาโปรดอภัยด้วย!”
หยวนชิงหลิงรู้สึกเจ็บแปลกที่หัวใจ ดูแล้วเจ้าของร่างนั้นห่วงความรู้สึกของท่านย่ามาก
นางกล่าวด้วยเสียงที่เบา “ท่านย่าใจเย็นๆ”
ฮูหยินใหญ่ทำหน้าเย็นชา หันหน้าไปทางอื่น ไม่ได้สนใจนาง
หยวนชิงหลิงเดินเข้าไปใกล้ เห็นใบหน้าของนางซีดเหลือง ดวงตาลึกลงไป เป็นอาการของคนที่ป่วยนานแล้วจริงๆ
“ท่านย่า!” นางนั่งลงไป “ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“ยังไม่ตาย!” น้ำเสียของฮูหยินใหญ่ค่อนข้างโกรธ เพียงเพราะโกรธกลับทำให้มีแรงขึ้นมาเล็กน้อย
หยวนชิงหลิงถามซุนมามา “ท่านย่ามีอาการอย่างไรบ้าง?”
“ยังคงหายใจติดขัด ไอ หอบอย่างรุนแรง”
“หมอว่าอย่างไรบ้าง?”
“หมอบอกว่าเป็นอาการบาดเจ็บที่ปอด”
“ยุ่งจริงๆเลย!” ฮูหยินใหญ่เหลือบมองซุนมามาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง
หยวนชิงหลิงได้เอาที่ฟังหัวใจออกมาจากแขนเสื้อ แล้วกล่าว “เมื่อวานเข้าวัง ไท่ซ่างหวงประทานให้ บอกว่าสามารถฟังเสียงหัวใจของผู้ป่วยว่าเป็นโรคอะไร”
ได้ยินว่าเป็นของที่ไท่ซ่างหวงประทานให้ ฮูหยินใหญ่จึงค่อยๆหันหน้ากลับมา กล่าวกับนางด้วยแววตาที่คมกริบ “ไท่ซ่างหวงให้เจ้าเข้าเฝ้าแล้ว?” “ใช่ สองสามวันก่อนหลานปรนนิบัติไท่ซ่างหวงอยู่ในวังมาโดยตลอด เมื่อวานเพิ่งออกจากวัง” หยวนชิงหลิงยิ้มกล่าว
ซุนมามารีบกล่าว “เห็นหรือไม่ว่าพระชายามีใจแค่ไหน เมื่อวานเพิ่งออกจากวัง วันนี้ก็มาเยี่ยมท่านย่าแล้ว”
ฮูหยินใหญ่สีหน้ายิ่งอยู่ยิ่งดูแย่ ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้นนั่ง ตบไปที่แก้มของหยวนชิงหลิง ร่างกายสั่นไปทั้งตัว “เจ้ายังอยากจะแต่งนิทานอะไรอีก? ไท่ซ่างหวงจะให้เจ้าเข้าวังไปปรนนิบัติรับใช้รึ?”
ฝ่ามือที่ตบไปที่หน้าของหยวนชิงหลิง ไม่มีแรงเลยแม้แต่นิดเดียว หยวนชิงหลิงไม่รู้สึกเจ็บด้วยซ้ำ
แรงทั้งหมดของฮูหยินใหญ่ถูกใช้ในการคำรามไปหมดแล้ว จากนั้น ก็หายใจหอบอย่างแรง แต่ไม่ไอ หลอดลมเหมือนเสียงน้ำเดือดดังอยู่ข้างใน ดังขึ้นด้วยเสียงกรุกๆๆ
ใบหน้าของนางค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีม่วง และริมฝีปากของนางขาดเลือดจนเป็นสีขาว ร่างกายอ่อนตัวลง ก็นอนลงไปเลย แต่ยังคงหอบไม่หยุด
หยวนชิงหลิงรีบหันกายไปหยิบกล่องยา เปิดกล่องยาออก กลับมีหลอดยาพ่นหอบหืดอยู่ นางรีบเปิดแล้วเข้าไปใกล้ปากของฮูหยินใหญ่ กล่าวอย่างร้อนใจ “ใช้แรงในการสูด นี่เป็นยาในวัง มันดีมาก”
ฮูหยินใหญ่ที่กำลังหอบ แม้ไม่อยากจะฟังคำพูดของหยวนชิงหลิง แต่ก็ยอมสูด ยังได้สูดยาที่พ่นเข้าไปข้างในด้วย
หยวนชิงหลิงเห็นยาพ่นลดลง รู้ว่านางสูดดมสำเร็จแล้ว จึงค่อยๆวางนางลง กวาดมองหน้าอกของนาง “ค่อยๆหายใจ ปล่อยตัวสบายๆ!”
ลมหายใจของฮูหยินใหญ่ค่อยๆคล่องขึ้นมาแล้ว ใบหน้าที่ม่วงคล้ำก็ค่อยๆจางลง
ซุนมามากล่าวด้วยความประหลาดใจ “นี่มันคือยาอะไร? ทำไมจึงวิเศษเพียงนี้”
“ยาในวัง ไท่ซ่างหวงก็ใช้แบบนี้” หยวนชิงหลิงได้วางยาไว้บนหัวเตียง “ต่อไปหากท่านย่าอาการกำเริบ ก็ให้พ่นยาให้นาง”
ฮูหยินใหญ่ค่อยๆสงบลงมา หยวนชิงหลิงหยิบเครื่องช่วยฟังออกมา ช่วยนางฟังเสียงหัวใจและปอด
นางจำได้ เมื่อก่อนฮูหยินใหญ่มีโรคหอบหืด แล้วก็ยังมาเป็นโรคถุงลมโป่งพองอีก มันจึงทำให้ร่างกายแย่ลง หากโรคหอบกำเริบขึ้นมาก็ทรมานจนเกือบจะตาย
โรคหอบหืดรักษาได้ยากอยู่แล้ว บวกกับโรคถุงลมโป่งพองซึ่งเป็นโรคเรื้อรัง ถ้าไม่ใช้ระยะเวลาในการรักษาที่นาน เกรงว่าอาการคงดีขึ้นยาก
ฮูหยินใหญ่ป่วยมาหลายปีแล้ว และไม่เคยหายใจคล่องเหมือนอย่างตอนนี้
โดยปกติทุกครั้งที่หายใจ นางต้องใช้แรงในการกดอากาศเข้าไป ในระยะยาวที่ขาดออกซิเจน ทำให้บางครั้งสมองของนางเบลอ ด้วยเหตุนี้ นางจึงมอบสิทธิ์ในการดูแลจวนให้กับนางหวงแม่ของหยวนชิงหลิง น่าเสียดายนางหวงเป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง ผ่านไปไม่กี่เดือน อำนาจในการดูแลจวนก็ถูกส่งต่อไปให้ฮูหยินรอง
ฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ชอบหน้ากันอยู่แล้ว หลังจากที่ฮูหยินรองกลายเป็นคนดูแลจวน ฮูหยินใหญ่ก็เลยไม่สนใจและยุ่งเกี่ยวทั้งนั้น จึงย้ายมาอยู่ที่เรือนหลังบ้าน รักษาตัวอย่างสงบ
หลังจากที่ฮูหยินใหญ่หายใจปกติ ก็ไม่ได้โกรธเหมือนเมื่อกี้แล้ว ก็ถามด้วยความสงสัย “นี่เป็นยาในวังจริงๆรึ? เจ้าได้เข้าวังไปปรนนิบัติรับใช้จริงๆรึ?”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า “ก็ต้องเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ท่านย่า เรื่องนี้คนรู้ตั้งมากมาย ท่านพ่อก็รู้ด้วย”
สีหน้าของฮูหยินใหญ่จึงอ่อนโยนขึ้น มองนางแล้วถาม “เจ็บหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงส่ายหัว “ท่านย่าไม่ออกแรงเลย”
ฮูหยินใหญ่ทำเสียงฮึ่มไปหนึ่งที “นั่นเป็นเพราะข้าไม่มีแรง หากมีแรง ก็คงตบเจ้าจนตายไปแล้ว ไม่ให้เจ้าไปทำเรื่องขายหน้าข้า”
หยวนชิงหลิงเห็นความรักเอ็นดูในแววตานาง จู่ๆก็รู้สึกปวดใจ จับมือนางแล้วกล่าว “ท่านย่า หลานผิดไปแล้ว น่าจะฟังคำพูดของท่าน”
ฮูหยินใหญ่มองแผลที่หน้าผากนาง ถอนหายใจเบาๆ “เส้นทางนี้เราเป็นคนเลือกเอง ไม่สามารถหันกลับมาแล้ว เจ้าก็ต้องอดทนเดินมันต่อไป เพียงแต่ เจ้าไม่จำเป็นต้องพยายามทำให้คนอื่นชอบ ไม่จำเป็นต้องช่วยพ่อเจ้าทำอะไร แค่ดูแลชีวิตของตัวเองให้ดี สามารถมีชีวิตอยู่ในจวน ก็คือแก้ชะตาของเจ้า เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องไปคิดมาก”
หยวนชิงหลิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นฮูหยินใหญ่ก็พูดอย่างจริงจัง “อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ควรลดตัวไปประจบประแจงคนอื่น สร้างความอัปยศให้กับจวนเจ้าพระยา ไม่ว่ายังไงก็แค่ชีวิตเดียว หากรังแกกันเกินไป สู้สุดชีวิตก็ต้องคัดค้าน เพราะการก้มหัว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดี จำได้หรือยัง?”
หยวนชิงหลิงตื้นตันจนอยากจะร้องไห้ ฮูหยินใหญ่ทั้งกลัวนางลำบากกาย และก็กลัวนางจะได้รับความลำบากใจ สงสารนางด้วยใจจริง
“หลานจำได้แล้ว”