ตอนที่ 91 สั่นคลอนราชสำนัก

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 91 สั่นคลอนราชสำนัก
ไม่ได้ยินเสียงรับสั่งของฮ่องเต้ องค์หญิงใหญ่จึงหลับตาลง บริเวณหางตามีน้ำตาซึมออกมาเล็กน้อย เอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก “แต่งเข้าตระกูลไป๋แต่มิอาจจริงใจต่อสามี ลูกชายได้เต็มร้อย ทุกวันต้องคอยหวาดระแวง ฝ่าบาททรงรู้หรือไม่เพคะว่าหม่อมฉันรู้สึกผิดมากเพียงใด บัดนี้ฝ่าบาทได้โปรดพระราชทานอนุญาตให้ตระกูลไป๋ไปจากเมืองหลวง ให้สายเลือดตระกูลไป๋ได้หลงเหลืออยู่บ้างเถิดเพคะ อย่างไรในตัวของพวกนางก็มีสายเลือดของตระกูลหลินไหลเวียนอยู่เช่นกัน! ตอนนี้เหลือเพียงสตรีแล้ว ถือว่า หม่อมฉันขอร้องให้ฝ่าบาททรงละเว้นสายเลือดของหม่อมฉันซึ่งเป็นป้าของพระองค์ได้หรือไม่เพคะ”

องค์หญิงใหญ่น้ำตาคลอ ขอร้องฮ่องเต้อย่างเคารพนอบน้อม หวังว่าฮ่องเต้จะทรงยังมีความเมตตาหลงเหลืออยู่บ้าง เมื่อเห็นว่าตระกูลไป๋ยอมถอย จะไม่ทรงกำจัดตระกูลไป๋ให้สิ้นซาก

ฮ่องเต้ลูบมืออย่างแผ่วเบา สักพักจึงตรัสขึ้น “เสด็จป้า เรามิได้อยากกำจัดตระกูลไป๋ให้สิ้นซาก แต่คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ผู้นี้…”

หลายวันมานี้ สิ่งที่คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ทำลงไปทั้งหมดเรียกได้ว่าคมในฝักยิ่งนัก คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ผู้นี้เป็นคนผลักให้ชื่อเสียงของตระกูลไป๋ขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุด เขาคือฮ่องเต้…เรื่องแค่นี้จะดูไม่ออกได้อย่างไรกัน

ทว่า คุณหนูใหญ่ไป๋ผู้นี้กลับเป็นคนที่เหมือนไป๋ซู่ชิวมากที่สุด

เมื่อนึกถึงไป๋ซู่ชิว ขอบตาของฮ่องเต้ร้อนผ่าว

ความรักที่ไม่ได้มาครอบครองในวัยหนุ่ม เมื่อย่างเข้าวัยกลางคนก็จะยิ่งนึกถึง ยามนึกถึงมักเต็มไปด้วยความเสียใจและเสียดาย

ความหวาดระแวงในตระกูลไป๋บ่มเพาะมานานจนบัดนี้มากมายจนยากจะคลายออก ในเมื่อเสียสละทหารนับแสนจนมาถึงขั้นนี้แล้ว ตระกูลไป๋มีแต่คนเก่งกาจไม่เว้นแม้แต่สตรี หากไม่กำจัดให้สิ้นซาก ฮ่องเต้ไม่อยากยอมแพ้และไม่วางใจ

องค์หญิงใหญ่เห็นว่าฮ่องเต้ทรงอยากกำจัดไป๋ชิงเหยียน มือของนางสั่นเทาอย่างรุนแรง

นางมองไปทางฮ่องเต้แวบหนึ่ง กล่าวเสียงสะอื้น “หากฝ่าบาททรงอยากประหารหลานสาวของหม่อมฉันเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ หม่อมฉันจะไม่ขัดขวาง ทว่า ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่เพคะว่าเหตุใดหม่อมฉันจึงให้ความสำคัญกับหลานสาวคนโตผู้นี้นัก”

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปยังองค์หญิงใหญ่

“เพราะว่าหลานสาวคนโตของหม่อมฉันเหมือนซู่ชิวมากที่สุด!” เมื่อองค์หญิงใหญ่เอ่ยถึงบุตรสาวน้ำตาก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย “นิสัยแข็งกร้าว ยอมหักไม่ยอมงอ! เหมือนซู่ชิวตัวเป็นๆ ปีที่ซู่ชิวจากไป หม่อมฉันเกือบจะตายตามนางไปด้วย! บัดนี้หม่อมฉันฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่หลานสาวของหม่อมฉัน หวัง…หวังว่าฝ่าบาทจะทรงเห็นแก่ซู่ชิว ทรงไว้ชีวิตเด็กนี่เถิดนะเพคะ!”

ถ้อยคำขององค์หญิงใหญ่กระตุ้นโดนจุดที่อ่อนไหวที่สุดในพระทัยของฮ่องเต้โดยไม่ต้องสงสัย

บางทีตั้งแต่ที่ฮ่องเต้ทรงได้นั่งครองบัลลังก์ที่มีแต่ความหนาวเหน็บ พระทัยของพระองค์จึงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา มีเพียงตำแหน่งที่ซ่อนไป๋ซู่ชิวเอาไว้…ที่ทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น

ฮ่องเต้ทรงกัดฟันกรอด ก้มมองดูม้วนไม้ไผ่ที่เปื้อนเลือด สักพักจึงตัดสินพระทัยได้ ตรัสขึ้น “ประคององค์หญิงใหญ่ไปพักผ่อนที่ตำหนักรับรอง ให้เซี่ยอวี่จ่างนำกองกำลังทหารรักษาพระองค์ไปจับครอบครัวของหลิวฮ่วนจางเข้าคุกให้หมด จากนั้นไปจับตัวซิ่นอ๋องลูกทรพีของข้ามาด้วย!”

คิดอยู่ครู่หนึ่งฮ่องเต้จึงตรัสสำทับขึ้น “เข้าออกทางประตูอู่เต๋อ!”

ฮองเฮาที่ร้อนพระทัยดั่งไฟรนยืนอยู่หน้าตำหนักเมื่อได้ยินเสียงตวาดอย่างพิโรธของฮ่องเต้ ก็ตกใจจนพระพักตร์แข็งทื่อ

นอกประตูอู่เต๋อ

เซี่ยอวี่จ่างหัวหน้ากองกำลังรักษาพระองค์ขี่ม้าเร็วนำทหารกองกำลังรักษาพระองค์มุ่งไปยังจวนหลิว การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเอิกเกริก

ไม่นาน ซิ่นอ๋องที่เมื่อวานโดนฮ่องเต้บันดาลโทสะถีบไปที่หน้าอกโดนทหารองครักษ์จับมัดพลางกุมตัวเดินเข้าไปในวังทางประตูอู่เต๋อ

ซิ่นอ๋องมองเห็นตระกูลไป๋และชาวบ้านยืนอยู่หน้าประตูอู่เต๋อ แววตาอาฆาตแค้นราวกับงูพิษจ้องไปยังไป๋ชิงเหยียนเขม็ง…

คำร้องทุกข์ที่ขอให้เสด็จพ่อประหารเขาเป็นถ้อยคำที่มาจากปากของคุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋!

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้ทำให้ชาวบ้านพากันวิจารณ์อย่างเลือดร้อน กล่าวกันว่ายังดีที่ฮ่องเต้ยังทรงปราดเปรื่อง

ไม่นานนักก็มีขันทีเล็กเดินออกมาจากประตูอู่เต๋ออย่างรีบร้อน ในมือถือแส้ หยุดอยู่เบื้องหน้า

ไป๋ชิงเหยียน กล่าวขึ้นเสียงแหลมสูง “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้คุณหนูใหญ่ไป๋ไปเข้าเฝ้า…”

ไป๋จิ่นจื้อจับมือไป๋ชิงเหยียนแน่น ใจเต้นรัว “พี่หญิงใหญ่…”

หญิงสาวมองดูไป๋จิ่นจื้อที่ดวงตาแดงก่ำ ลูบมือของน้องสาวอย่างแผ่วเบา แววตาหนักแน่นเป็นประกาย “มีท่านย่าอยู่ พวกเจ้าและชาวบ้านก็รอคอยอยู่ที่นี่ มิเป็นอันใดหรอก!”

ไป๋จิ่นจื้อได้ยินเช่นนี้ก็เบาใจลง คลายมือที่จับไป๋ชิงเหยียนออก

ไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้นยืน ขาทั้งสองข้างชาเล็กน้อย หญิงสาวจัดชุดไว้อาลัยของตัวเองให้เป็นระเบียบอย่างไม่รีบร้อน หมุนกายกลับไปทำความเคารพชาวบ้านที่มายังประตูอู่เต๋อเป็นเพื่อนตระกูลไป๋ จากนั้นจึงหันกลับไปมองขันทีที่มารายงาน

“รบกวนกงกงนำทางด้วยเจ้าค่ะ…”

ถนนที่ทอดยาวไปยังวังหลวงเต็มไปด้วยกำแพงสีแดงและกระเบื้องสีเขียวอ่อน ไป๋ชิงเหยียนเดินตามหลังขันที ดวงตาของหญิงสาวลึกล้ำยากจะคาดเดา แผ่นหลังหยัดตรง ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งโดนโบยมาหนึ่งทีเลยสักนิด

ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าลง ชาติที่แล้วนางพอรู้นิสัยของฮ่องเต้มาบ้างจากเหลียงอ๋องและตู้จือเวย

ฮ่องเต้ไร้ความสามารถที่จะทำการใหญ่ อีกทั้งยังขี้หวาดระแวง วัยเยาว์ไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดิองค์ก่อนจึงมีชีวิตอย่างยากลำบาก หลังจากได้ขึ้นครองบัลลังก์ ทรงชอบความโอ่อ่าอลังการ ปรารถนาอยากเป็นจักรพรรดิที่ทรงคุณธรรม มีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่าจักรพรรดิองค์ก่อน

จักรพรรดิเช่นนี้เกรงกลัวปลายพู่กันของนักจดบันทึกยิ่งกว่าผู้ใดทั้งหมด

มิเช่นนั้นเหตุใดกองกำลังรักษาพระองค์จะต้องเข้าออกทางประตูอู่เต๋อ เหตุใดจึงต้องจับซิ่นอ๋องมัดแล้วกุมตัวเดินเข้ามาทางประตูอู่เต๋อโดยไม่ไว้หน้าซิ่นอ๋องเช่นนี้ด้วย

ในเมื่อฮ่องเต้มีราชโองการเรียกนางเข้าเฝ้าต่อหน้าทุกคนที่หน้าประตูอู่เต๋อเช่นนี้ แสดงว่าฮ่องเต้ไม่มีทางประหารนางเด็ดขาด

อีกเดี๋ยวท่าทีของฮ่องเต้ที่มีต่อนาง หากไม่ใช่การเบ่งอำนาจ…ก็คงจะเป็นการเสนอผลประโยชน์เพื่อล่อลวงนาง

ไป๋ชิงเหยียนไม่ทันได้คิดสิ่งใดมากก็เดินมาถึงหน้าประตูตำหนักแล้ว

เมื่อเดินเข้าไปด้านใน หญิงสาวมองเห็นซิ่นอ๋องที่คุกเข่าตัวสั่นเทา สีหน้าซีดเผือดอยู่ทางด้านหนึ่ง นางก้มศีรษะแนบพื้นคำนับฮ่องเต้อย่างนอบน้อม จ้องไปยังพื้นหินใสตรงหน้านิ่งๆ

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปยังไป๋ชิงเหยียนที่เอาแต่ก้มหน้านิ่ง ไม่เอ่ยวาจาใดๆ กำบันทึกสถานการณ์รบที่อยู่ในมือแน่นพลางเคาะลงบนโต๊ะ น้ำเสียงเยือกเย็นจนคนฟังขนลุกซู่ “คุณหนูใหญ่ไป๋พาชาวบ้านมารวมตัวกันอยู่หน้าประตูอู่เต๋อเช่นนี้ ต้องการสิ่งใดอย่างนั้นหรือ”

หญิงสาวค่อยๆ หยัดกายขึ้น คุกเข่าอยู่กลางท้องพระโรง เงยหน้ามองดูฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์สูง เอ่ยถามกลับไป “คำถามนี้หม่อมฉันก็อยากจะทูลถามฝ่าบาทเช่นกันเพคะ ฝ่าบาททรงให้คนไม่เอาไหนอย่างซิ่นอ๋องเป็นผู้ควบคุมกองทัพ ทรงต้องการสิ่งใดเพคะ”

ตระกูลไป๋ปกป้องชาวบ้านมาเป็นร้อยปี ใจของชาวบ้านคือที่พึ่งของนาง ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกเกรงกลัวอำนาจบารมีของฮ่องเต้แต่อย่างใด

ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าจิ้นผู้นี้ เป็นคนมีสัมผัสไวต่อการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด

บัดนี้นางเป็นต่อในสถานการณ์มาก ฮ่องเต้ทรงรับรู้เรื่องนี้ดีแก่ใจ

ฮ่องเต้พยายามอดทนให้มากที่สุด เส้นเลือดบริเวณขมับเต้นรัว คุณหนูใหญ่ไป๋ผู้นี้ไม่เพียงใจกล้า เก่งเรื่องการวางแผนเท่านั้น นางยังมีสัมผัสที่ไวอีกด้วย

ฮ่องเต้ทรงพิโรธจนเสียอาการเล็กน้อย ตรัสเสียงเย็น “ต้องการบีบให้เราประหารซิ่นอ๋อง คุณหนูใหญ่ไป๋จึงทำให้ชาวบ้านโกรธแค้น คุณหนูใหญ่ไป๋ต้องการทำให้ราชสำนักสั่นคลอนเพื่อบีบให้เราทำตามที่เจ้าต้องการเช่นนั้นหรือ! หากเราไม่ประหารซิ่นอ๋อง ตระกูลไป๋จะกบฏหรืออย่างไร”

“ม้วนไม้ไผ่บันทึกสถานการณ์รบที่เปื้อนเลือดยังวางอยู่หน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรแล้วหรือไม่เพคะ” หญิงสาวกวาดตามองไปยังม้วนไม้ไผ่พวกนั้น เงยหน้าขึ้นสบกับพระเนตรที่เคร่งขรึมของฮ่องเต้ รู้สึกเสียใจแทนตระกูลไป๋ “หม่อมฉันไร้อำนาจบารมี ไร้กองกำลัง มีเพียงชีวิตน้อยๆ คุกเข่าอยู่หน้าประตูอู่เต๋อในชุดไว้อาลัยโดยไร้ซึ่งอาวุธใดๆ เพราะต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอาและบรรดาน้องชายของหม่อมฉันเท่านั้น จะเรียกว่ากบฏได้อย่างไรเพคะ!”