บทที่ 103 ปล่อยหมัดใส่บิดา

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

หลังจากที่เซียวลิ่วหลังออกไปเรียนหนังสือไม่นาน ท่านโหวกู้ก็มาที่เรือน

เขาแอบมาโดยที่ไม่ได้บอกกับแม่นางเหยา ที่เขามาก็เพราะเป็นห่วงกู้เหยี่ยน กลัวว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในชนบทไม่ได้ เขจึงอยากพากู้เหยี่ยนกลับจวน

คนที่มาเปิดประตูให้เขาคือกู้เหยี่ยน

พอเปิดประตูมาเจอบิดาตัวเอง กู้เหยี่ยนรีบปิดประตูใส่อย่างไม่ลังเล!

ท่านโหวกู้โกรธจนเท้าย่ำไม่ติดที่ ประตูก็ไม่ยอมเปิดให้ พออ้อมไปทางด้านหลัง เจ้าลูกชายตัวดีก็ลงกลอนประตูขังตัวเองในห้องเรียบร้อย

ท่านโหวกู้โกรธจนกัดฟันกรอด

ไก่ที่เลี้ยงไว้ยังคงอยู่ในเล้า ยังไม่ออกมาข้างนอก

ท่านโหวกู้เจอกับกู้เจียวที่กำลังยุ่งวุ่นอยู่กับงานบ้าน ก็บันดาลโทสะพลางชี้ไปที่ประตูห้องกู้เหยี่ยน “เจ้าไม่ดูแลเขาให้ดี!”

กู้เจียวมองเขาราวกับกำลังมองคนบ้า สายตาของนางทั้งเย็นชาทั้งนิ่งเฉย นางไม่สนใจเขา เดินเข้าไปในห้องฟืนแล้วหยิบขวานออกมา

พอเห็นดังนั้น ท่านโหวกู้กลืนน้ำลาย พลางเอ่ยตะกุกตะกัก “เจ้า…เจ้าจะทำอะไรน่ะ นี่เจ้าจะฆ่า…”

ท่านโหวกู้ยังไม่ทันพูดจบ ก็เกิดเสียงเฉาะดังลั่นมาจากกู้เจียวที่กำลังใช้ขวานผ่าท่อนฟืน

ท่อนไม้นั่นถูกผ่ากลางและแบ่งออกเป็นสองท่อนอย่างสวยงามและเท่ากัน ดูก็รู้ว่านางใช้ขวานผ่าคน…ไม่สิ…ใช้ขวานผ่าท่อนไม้ได้อย่างช่ำชอง!

ท่านโหวกู้กลืนน้ำลายอึกใหญ่จนเสียงเริ่มกลับมา “เรือนของเจ้าไม่เหมาะให้กู้เหยี่ยนมาพักอาศัยหรอก เขาเป็นเด็กที่โตมาในบ้านหลังใหญ่ ของกินของใช้เสื้อผ้าของเขาใช้แต่ของดีราคาแพงที่คนทั่วไปไม่มีทางจับต้องได้ เขาเพิ่งอาการดีขึ้นได้ไม่นาน ถ้าเลี้ยงเข้าแบบไม่พิถีพิถันล่ะก็ ข้ากลัวว่าเขาจะกลับไปล้มป่วยอีกครั้ง เจ้าเป็นพี่สาวของเขา เจ้าอย่าทำร้ายเขาเลย ในเมื่อพวกเจ้าอยากอยู่ด้วยกัน ก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านเวินเฉวียนเถิด ที่ทางมีเยอะแยะ เจ้าอยากพักที่ไหนก็ได้ และถ้าเจ้าไม่ชอบเรือนที่อยู่นี้ ก็ให้คนมาสร้างเรือนใหม่ให้ก็ได้นี่นา”

เขาสาบานว่านี่เป็นประโยคที่เขาพูดกับนางยาวที่สุดและกลั่นมาจากใจล้วนๆ

นี่เขายอมให้นางขนาดนี้แล้ว อย่างไรเสียก็ต้องมีหวั่นไหวบ้างล่ะ

เขาไม่ดุนาง ไม่ตีนาง พูดจาดีๆ กับนาง อย่างน้อยก็น่าจะทำให้นางพอใจบ้าง

แต่กู้เจียวกลับไม่มีท่าทีหวั่นไหวใดๆ แล้วเอ่ยตอบด้วยท่าทีเฉยเมย “เขาพักอยู่ที่นี่ก็ดูมีความสุขดี”

ท่านโหวกู้เริ่มมีน้ำโห “เจ้าแหกตาดูรอบๆ สิ เขาจะอยู่ดีกินดีได้อย่างไรในที่แบบนี้”

กู้เจียวยกขวานผ่าท่อนไม้ต่อ “ก็ถ้าจวนโหวและหมู่บ้านเวินเฉวียนซานดีขนาดนั้น เหตุใดถึงปล่อยให้เขาป่วยหนักอยู่ตั้งนานเล่า”

“ข้า…” ท่านโหวกู้เริ่มไปไม่ถูก

นั่นสินะ กู้เหยี่ยนได้พักอยู่ในห้องที่โอ่อ่าและมีราคามากที่สุด ได้ทานอาหารเลิศรสมากมาย มีบริวารดูแลนับร้อย แต่กระนั้นแล้ว อาการของเขาก็ยังไม่ดีขึ้น จนกระทั่งเขาได้มาเจอกับหุยชุนถังนี่แหละ

ท่านโหวกู้รู้ว่าเขาแย้งอะไรไม่ได้ในเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าพูดเต็มปากหรอกว่าพวกเขาเป็นแฝดกัน ถ้าเป็นเรื่องความขัดแย้งกับตนละก็ สองพี่น้องคู่นี้ไม่ว่ายังไงก็คิดเหมือนกัน

ท่านโหวกู้เท้าเอว สูดหายลึก “แล้วพวกเจ้าคิดจะกลับไปเมื่อไหร่”

ครั้งนี้น่าจะได้ผลกระมัง ยังไงก็ต้องให้เวลาพวกเขาตัดสินใจ!

ซูเฟยเร่งเขาให้พาเด็กๆ กลับไปเมืองหลวง อย่างช้าก็ประมาณเดือนหก อย่างไรเสียเขาคงไม่มีทางให้พวกเขาได้ทำตามอำเภอใจไปตลอดอยู่แล้ว

“ถ้าเขาอยากกลับ เดี๋ยวก็คงกลับเอง” กู้เจียวไม่ได้พูดถึงตัวเอง นางไม่เคยมีความคิดว่าจะไปที่นั่น

ท่านโหวกู้เข้าใจสิ่งที่นางบอก เด็กคนนี้คิดจะดื้อด้านกับเขาไปจนถึงเมื่อไหร่กัน

เอาเถอะ เรื่องนี้ให้แม่นางเหยามาจัดการดีกว่า

เด็กๆ น่าจะยอมฟังนางมากกว่า

ท่านโหวกู้นึกได้ว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขายังไม่พูดกับนาง “ช่วงนี้หากเจ้ายังไม่กลับไป ก็ไม่เป็นไร แต่เจ้ากับเจ้าขาเป๋นั่นจะต้องแยกทางกัน!”

กู้เจียวเมื่อได้ยินดังนั้นก็ถึงกับยืนอึ้งจนค้างอยู่ในท่ายกขวาน

“ถือโอกาสตอนที่พวกเจ้ายังไม่เข้าห้องหอนี่ล่ะ อย่างไรแล้ว เจ้าก็เป็นบุตรสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ เป็นดอกไม้งาม พอเจ้ากลับไปเมืองหลวงก็ให้บอกกับทุกคนว่าเจ้ายังไม่เคยออกเรือน ข้าจะหาคู่ครองให้เจ้าใหม่เอง!”

ตึง!

กู้เจียวเหวี่ยงขวานลงไปบนท่อนไม้

เรื่องที่เขามาคะยั้นคะยอให้นางกับกู้เหยี่ยนไปเมืองหลวงยังพอเข้าใจได้ แต่เรื่องที่เขาจะมาแยกนางกับเซียวลิ่วหลัง มันชักจะเกินไปหน่อยแล้ว

พ่อแบบไหนกันที่ไปสืบเสาะจนรู้ว่านางกับเขายังไม่เข้าห้องหอ

กู้เจียวมองท่านโหวกู้คลาดเคลื่อนไปหน่อย คิดว่าเขาจะรู้แค่เรื่องรอยปานแดงบนหน้านางคือรอยโส่วกงซา

แต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

กู้เจียวเริ่มเกิดไฟสุมในใจ

ท่านโหวกู้ยังคงพูดหว่านล้อมนางไม่หยุด ซ้ำยังร่ายรายชื่อคุณท่านคุณชายต่างๆ ในเมืองหลวงให้ฟัง แต่ท่านโหวกู้ยังไม่ทันสาธยายจบ ก็เห็นว่าคนตรงหน้ายืนทำหน้าตึงใส่

ท่านโหวกู้โดนสายตาอาฆาตของนางจ้องเอาเสียจนตัวหดตดหาย เหงื่อเริ่มไหลออกมา

ยัยเด็กนี่ เหตุใดถึงได้มองเขาสายตาน่ากลัวเช่นนั้น

“ท่านมีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องของข้า”

“ข้าเป็นพ่อเจ้า!”

“แล้วท่านเคยเลี้ยงดูข้าหรือไม่ แม้แต่วันเดียว”

ท่านโหวกู้ชะงักงัน จากนั้นก็เริ่มสวนกลับ “ก็ไม่ใช่เพราะอุ้มเด็กไปผิดคนหรือไร ข้ากำลังชดใช้ให้เจ้าอยู่นี่อย่างไรเล่า ขอแค่เจ้ายอมกลับไปกับข้า เจ้าก็เป็นบุตรสาวจวนโหวผู้สูงส่ง! ข้ากับแม่นางเหยาจะดูแลเจ้าอย่างดี!”

“ไม่ได้มีความจริงใจเลยสักนิด” กู้เจียวเอ่ยพลางแสยะยิ้มใส่เขา

“ข้าไม่จริงใจตรงไหน”

กู้เจียวเอ่ยลากเสียงช้าๆ ให้เขาฟัง “ถ้าท่านอยากให้ข้ากลับไปจริงๆ ก็ควรจะไล่กู้จิ่นอวี้ที่ปลอมตัวเป็นข้ามานานนับสิบปีออกไป นี่สิถึงเรียกว่าจริงใจ”

ท่านโหวกู้พอได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าถมึงทึง “คำพูดร้ายๆ เช่นนี้ออกมาจากปากเจ้าได้อย่างไรกัน เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของจิ่นอวี้เลยด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับเอาความผิดทุกอย่างไปลงที่นาง เสียแรงที่นางเอาแต่พูดปกป้องเจ้า ที่บอกว่าที่ตัวเองป่วยไม่ได้เป็นเพราะเจ้าแกล้งนาง แต่ดูเจ้าพูดเข้าสิ เป็นพี่สาวประสาอะไรกัน”

กู้เจียวเอ่ยอยากเยือกเย็น “ข้าไม่มีน้องสาว”

“เจ้า…” ท่านโหวกู้นึกถึงใบหน้าของกู้จิ่นอวี้ตอนพูดถึงกู้เจียว คำก็พี่สาว สองคำก็พี่สาว เอ่ยไม่หยุดปาก แล้วดูยัยเด็กนี่สิ ช่างน่าผิดหวังจริงๆ “ข้าไม่ไล่กู้จิ่นอวี้ออกไปแน่นอน ฝันไปเถอะ!”

หึ ใครสนกันล่ะ

กู้เจียวต้อนให้เขาออกจากเรือน จากนั้นปิดประตูใส่ดังปัง!

หวงจงที่ยืนรอท่านโหวอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้าน คอยแล้วคอยเล่า ท่านโหวก็ยังไม่มาสักที เขาเกรงว่าจะเกิดเรื่องแย่ๆ ขึ้น เลยว่าจะตามไปดูเสียหน่อย แต่พอกำลังจะออกไป ก็เห็นว่าท่านโหวกำลังเดินมาทางนี้พร้อมกับกุมมือปิดที่จมูก

“ท่านโหว เกิดอะไรขึ้นขอรับ” หวงจงเอ่ยถามอย่างกังวล

ท่านโหวกู้เอามือที่กุมจมูกอยู่ออก พอหวงจงเห็นดังนั้นก็พลันทำตาโตตกใจ “นี่ท่าน ท่านโดนต่อยมาอีกแล้วหรือขอรับ”

ทำไมท่านโหวถึงเลือดกำเดาไหลล่ะ แถมจมูกยังบวมเป่งอีกด้วย

“ก็เพราะนางเด็กนั่นนั่นแหละปิดประตูใส่ข้า” ตอนที่กู้เจียวปิดประตูใส่เขา เขากำลังจะก้าวเท้าเข้าไปพอดี แต่ดันถูกนางปิดประตูใส่จนบานประตูชนเข้ากับจมูกของเขา

หวงจงถอนหายใจ “ท่านก็อย่าทำให้คุณหนูใหญ่โกรธสิขอรับ”

“พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เห็นๆ อยู่ว่าเป็นนางที่ทำให้ข้าโกรธ!”

“แล้วนางทำให้ท่านโกรธอย่างไรหรือขอรับ”

ท่านโหวกู้พ่นลมฟึดฟัด “นางกล้าดียังไงให้ข้าไล่กู้จิ่นอวี้ออกไป! เจ้าดูสิ ทำไมนางถึงได้เป็นคนใจแคบเช่นนี้ กล้าเขี่ยน้องสาวตัวเองทิ้งได้ลงคอ! จิ่นอวี้ผิดอะไร เหตุใดต้องลงที่นางด้วย”

ที่จริง…ก็ไม่แปลก

คุณหนูรองไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ ของท่านโหว ซ้ำยังมาแทนที่คุณหนูใหญ่ตั้งหลายปี ไม่ถูกส่งกลับตระกูลเดิมก็ดีมากโขแล้ว

คุณหนูรองไม่ผิดอะไร แต่คุณหนูใหญ่ก็เช่นกันมิใช่รึ

คุณหนูใหญ่ต้องมาเจอในสิ่งที่คุณหนูรองควรจะเจอ ส่วนคุณหนูรองก็ได้เสพสุขแทนที่จะเป็นคุณหนูใหญ่ ใครมันจะอยากเจอเรื่องแบบนี้กันล่ะ

ด้วยความที่หวงจงรับใช้ท่านโหวกู้มานานหลายปี จึงรู้นิสัยของเขาดี ท่านโหวกู้เป็นคนดื้อรั้น ไม่ฟังใคร ยิ่งห้ามเขาก็เหมือนยิ่งยุ

ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ

หวงจงถอนหายใจเฮือกยาว “ท่านโหว กลับเถิดขอรับ”

“ข้ายังทำธุระไม่เสร็จเลย จะให้กลับได้อย่างไร” ท่านโหวกู้มองค้อน

“แต่ท่านกำลังทำให้คุณหนูใหญ่ไม่มีทางเลือกนะขอรับ” หวงจงเอ่ยเตือนจนไม่รู้จะเตือนยังไงแล้ว

“ข้าทำให้นางไม่มีทางเลือก ไม่ได้แปลว่าข้าทำให้คนอื่นไม่มีทางเลือกเสียหน่อย” ท่านโหวกู้พูดอย่างใจดำ “ไปสำนักบัณฑิต”

ณ สำนักบัณฑิต ตรงกับช่วงเลิกเรียนพอดี

เซียวลิ่วหลังเดินออกมาจากสำนัก จากนั้นกำลังจะไปรับจิ้งคงน้อย

ท่านโหวกู้เรียกบ่าวของสำนักบัณฑิตมาถามว่าเซียวลิ่วหลังอยู่ที่ไหน พอบ่าวเห็นเขากำลังเดินออกมา ก็รีบชี้ให้ท่านโหวดู “นั่นเขาขอรับ!”

ท่านโหวกู้จ้องไปทางเซียวลิ่วหลังอย่างไม่กระพริบตา เดชะบุญที่ลูกตาเขาไม่หลุดออกมาจากเบ้า!

นี่มันเด็กหนุ่มคนที่ครั้งก่อนเดินสวนทางระหว่างออกจากหมู่บ้านมิใช่รึ เด็กหนุ่มที่หน้าตาคล้ายคลึงกับท่านโหวแห่งแคว้นเจา

ที่แท้ก็เขาเองรึ

กู้โหวเย่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาท่านโหวแห่งแคว้นเจาบ่อยนัก ด้วยความที่ทั้งสองจวนไม่ได้มีธุระอะไรให้ต้องไปมาหาสู่กัน แต่จวนเซวียนผิงโหวนั้นถือว่ามีระดับที่สูงกว่าจวนติ้งอันโหว

จวนเซวียนผิงโหวได้ชื่อว่าเป็นระดับหวังโหว

มีทั้งอำนาจและอิทธิพล ร่ำรวยเงินทอง มีหน้าตาในเมืองหลวง

น้องสาวของเซวียนผิงโหวปัจจุบันคือเซียวฮองเฮา แม้แต่ซูเฟยน้องสาวของท่านโหวกู้ยังต้องก้มหัวให้

ดังนั้นบุตรชายของพวกเขากล่าวได้ว่าเป็นเด็กที่เพียบพร้อมมาตั้งแต่เกิด

นอกจากจะมากความสามารถแล้ว ยังเป็นคนขยันและไม่หยุดนิ่ง ตอนอายุได้สิบสองสิบสามขวบ ก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะแห่งกั๋วจื่อเจียน เก่งกาจไม่แพ้บิดาของเขา

น่าเสียดายจริงๆ

ท่านโหวกู้ชำเลืองมองเซียวลิ่วหลังอีกครั้ง

ครั้งนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าไม่คล้ายแล้ว

ท่านโหวแห่งแคว้นเจาเป็นคนอ่อนโยน มีจิตใจเมตตา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

แต่สายตาของเซียวลิ่วหลังแลดูเย็นชาไร้หัวใจ

ท่านโหวกู้หรี่ตามองเขา

ครั้งนี้เซียวลิ่วหลังเดินมาใกล้เขา บ่าวจึงโบกมือกวัก “เซียวลิ่วหลัง! มีคนมาหาเจ้า!”

เซียวลิ่วหลังเองก็มองท่านโหวกู้ด้วยความสงสัย พลางหยุดฝีเท้า

ท่านโหวกู้ไม่รอช้า เดินดุ่มๆ เข้าไปหาเซียวลิ่วหลัง ทำหน้าบอกบุญไม่รับพลางเอ่ย “เจ้าเองหรือที่ชื่อเซียวลิ่วหลัง’

เซียวลิ่วหลังทำหน้านิ่งแบบที่เขาเคยทำ แล้วเอ่ยถาม “มีเรื่องอันใดรึ”

ท่านโหวกู้มองค้อนเขาไปที หวงจงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็คว้าปึกเงินออกมา

ท่านโหวกู้ทำท่าวางมาด พลางเอ่ย “ออกไปจากชีวิตลูกสาวข้าเสีย นี่เงินของเจ้า!”

เซียวลิ่วหลังไม่แม้แต่จะชายตามองเงินพวกนั้น เอ่ยหน้านิ่ง “เงินเท่านี้ ไม่น้อยไปหน่อยหรือ”

ท่านโหวกู้ถึงกับอ้าปากค้าง “ห้าพันตำลึง คงพอให้เจ้าประทังชีวิตได้ ไปสู่ขอสาวงามคนอื่นก็ได้ เจ้าจะได้มีชีวิตดีๆ อย่าหลงดีใจนักว่าตัวเองสอบได้อันดับต้นๆ แล้วจะมีอนาคต คนอย่างเจ้าข้าเห็นมาหมดแล้ว ไปไม่ถึงระดับราชสำนักหรอก ดีไม่ดี สอบครั้งนี้เจ้าอาจจะหลุดโผก็เป็นได้”

พวกตระกูลใหญ่ๆ ต่างก็ลงทุนสารพัดเพื่อลูกหลานของตน เลี้ยงดูมาจนพวกเขามีสติปัญญาเฉียบแหลมอีกทั้งยังปลูกฝังความขยันหมั่นเพียร คนอย่างเซียวลิ่วหลังน่ะหรือจะสู้พวกเขาได้

ต่อให้โชคช่วยได้เข้าไปในเมืองหลวงก็ตาม แต่จะมีโอกาสเป็นใหญ่เป็นโตในที่แบบนั้นได้จริงหรือ

การสอบระดับมณฑลเป็นการวัดความสามารถก็จริง แต่พอยิ่งสอบในระดับที่สูงขึ้น เรื่องที่วัดกันจริงๆ คืออิทธิพลต่างหาก

ในทุกปีคนที่ติดสามอันดับแรกล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลในเมือหลวง บางก็เป็นคนที่ฝ่าบาทรู้จักอยู่แล้ว บ้างก็มีเบื้องหลังทางการเมือง ชาวบ้านตาดำๆ อย่างเซียวลิ่วหลังไม่มีวันเข้าถึงได้หรอก!

การศึกษาอาจทำให้คนบางกลุ่มชุบตัวจากกุ้งฝอยกลายร่างเป็นปลาเล็กได้ก็จริง แต่จะให้กลายร่างเป็นปลาตัวใหญ่ได้นั้นไม่มีวันเกิดขึ้นแน่นอน

ท่านโหวกู้หันหน้าไปทางเซียวลิ่วหลังแล้วเอ่ยขึ้น “คนเราถูกกำหนดฐานันดรมาตั้งแต่เกิด เจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกเขยของข้า ตาสว่างได้แล้ว เอาเงินนี่ไป แล้วอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก ถ้าเจ้าว่าเงินนี้น้อยไป ข้าจะให้เพิ่มอีกก็ได้ หวงจง!”

หวงจงควักเงินออกมาเพิ่มอีกหนึ่งพันสองร้อยตำลึง

เซียวลิ่วหลังแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น “ท่านโหวกู้ ท่านลืมอะไรไปหรือไม่”

“อะไร”

เซียวลิ่วหลังกระตุกมุมปาก “นางไม่ได้เป็นลูกของท่านเสียหน่อย”

แทงใจดำกันชัดๆ!

ท่านโหวกู้โกรธจนตัวแข็งทื่อ!

“ถ้าท่านหมายถึงบุตรสาวคนนั้นที่ท่านเลี้ยงดูมาตั้งแต่นางยังเล็กล่ะก็ คงไม่จำเป็นหรอกกระมัง เพราะข้าไม่ได้สนใจนางเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้ท่านเอาเงินห้าพันตำลึงมาฟาดหัวข้าก็ตาม ข้าไม่อยากแม้แต่จะมองนางด้วยซ้ำ!” เซียวลิ่วหลังจงใจเสียดสีใส่เขา

นี่ นี่มันวาจาดูถูกหยาบคายอะไรกันนี่

เจ้าบ้านี่ ชักจะมากไปแล้วนะ

เขารู้หรือไม่ว่ามีหนุ่มรูปงามในเมืองหลวงตั้งมากมายก่ายกองต้องการแต่งงานกับนาง พวกเขาทั้งหมดเป็นถึงขั้นบุตรชายของชนชั้นสูงที่เก่งกว่าเขาหลายพันเท่า!

ไม่สิ เขาไม่ได้จะมารบกับเขาเรื่องนี้เสียหน่อย เจ้าเด็กบ้า เกือบโดนปั่นหัวแล้วไหมล่ะ!

ท่านโหวกู้ทำท่ากำหมัด กะว่าจะสั่งสอนเขาสักที “หวงจง! หวงจง!”

เอ๋

หายไปไหน

นี่เขาไปไหนของเขานะ

ท่านโหวกู้หันกลับมาและกำลังจะดูว่าหวงจงหายไปไหน แต่ทันใดนั้น มือเรียวยาวยื่นออกมาจากด้านหลังเขา คว้าคอเสื้อของเขาแล้วลากเข้าไปที่ตรอกด้านข้าง

เวลาผ่านไปครึ่งเค่อ กู้เจียวพลันเดินออกมาจากตรอกนั้นพร้อมกับใบหน้าและท่าทีที่ดูสดชื่นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

เซียวลิ่วหลังปรายตามองนาง กู้เจียวตบๆ มือตัวเอง จากนั้นคลี่ยิ้มออกมาให้เขา “รอนานแย่เลยสินะ ข้าเจรจากับเขาเรียบร้อยแล้ว คงไม่มาตามราวีเจ้าอีกแล้วล่ะ”

ท่านโหวกู้ที่เพิ่ง ‘เจรจา’ กับนางเสร็จ สภาพของเขาราวกับหุ่นเชิดที่ไม่มีเชือก เขาดูไร้เรี่ยวแรง เจ็บปวด ไร้สติ และพยายามพยุงร่างของตัวเองกับกำแพง

ส่วนหวงจงที่อยู่ข้างเขาตอนนี้เป็นแค่กายหยาบเท่านั้น สติของเขาได้หลุดลอยไปแล้ว

สภาพของพวกเขาตอนนี้อนาถเสียจนทนดูไม่ได้ ทั้งจมูกที่ช้ำจนเขียว ใบหน้าบวมเป่ง อีกทั้งมุมปากที่แตกและมีเลือดซิบ!