ตอนที่ 21

Dungeon Defence

จอมปีศาจที่อ่อนแอที่สุด, อันดับที่ 71st, ดันทาเลี่ยน

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1505, เดือน 8, วันที่ 20

นิฟเฮม, ณ พระราชวังของเจ้าเมือง

ท่ามกลางบรรยากาศอันวุ่นวายภายในห้องบอลรูม

“…… คนที่มีอันดับสูงที่สุดในหมู่พวกเรา คือตัวข้าเอง มันจึงเหมาะสมที่สุดสำหรับการตัดสินความขัดแย้งระหว่างจอมปีศาจทั้งสองคน ”

ผมว่าตัวเขาคงคิดว่าไม่สามารถทำตัวเป็นผู้ชมได้อีกต่อไปแล้ว จอมปีศาจอันดับที่ 5 มาร์บาส จึงได้เข้ามาก้าวก่ายในเรื่องนี้

“อีวาน ล๊อทบรอค ข้าจะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพชั่วคราวเอง ข้าต้องขอโทษด้วย แต่ความหนักหนาสาหัสของเรื่องนี้มีมากเกินไปที่ข้าจะปล่อยไว้ในเงื้อมือของเจ้าน่ะ”

“ตามที่ท่านต้องการครับ, ฝ่าบาท”

แวมไพร์เฒ่าได้ยอมถอยแต่โดยดี

“อืม”

มาร์บาสได้ยืนอยู่กลางห้องโถง

วิธีที่ขาของเขายืนอย่างมั่นคงมันทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนต้นไม้ขนาดใหญ่มหึมา ความแข็งแกร่งของเขาเป็นที่น่าทึ่งยิ่งนัก ชายหัวล้านที่มีรูปร่างบึกบึนผู้นี้กำลังขมวดคิ้วของเขาเล็กน้อย หยั่งกับเขาไม่พอใจในสถานการณ์เช่นนี้เลย

“ข้า, จอมปีศาจอันดับที่ 5, ในฐานะที่เป็นจอมปีศาจผู้รับหน้าที่ดูแลเรื่องคุณธรรม ข้าจะรับคำร้องอย่างเป็นทางการของไพม่อน จำเลยคือจอมปีศาจอันดับที่ 71 ผู้ไร้ชื่อเสียง, จอมปีศาจดันทาเลี่ยน”

คำประกาศของมาร์บาสได้สร้างแรงกดดันแก่ผู้คนรอบข้าง

เสียงอันองอาจของเขาเสมือนราวกับว่าไม่ยอมให้มีการคัดค้านใดๆเกิดขึ้น บรรดาจอมปีศาจต่างลดสายตาของพวกเขาลง และเหล่าแฟรี่ต่างก็ลอยตัวเรียงเป็นแถวพร้อมกับโค้งคำนับด้วยความยำเกรง

“นอกจากบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงแล้ว การก้าวก่ายจากบุคคลภายนอกได้ถูกห้ามกระทำอย่างเด็ดขาด ดันทาเลี่ยน ผู้ที่ตกเป็นจำเลยในงานวัลเพอร์กิสไนท์แห่งนี้ จงออกมาและเผชิญหน้ากับผู้ฟ้องร้องของเจ้าซะ ”

มันสมควรที่จะยอมปฏิบัติตามที่เจ้าภาพสั่งนะ

หลังจากก้าวเดินไปข้างหน้าหลายก้าว ผมก็ยืนอยู่ตรงกลางของห้องบอลรูมพอดี

“…… ”

“…… ”

ไพม่อนและตัวผมเอง ต่างจ้องมองกันและกันในขณะที่เว้นช่องว่างระหว่างพวกเราไว้เล็กน้อย

เหมือนกับกำลังจะเกิดการดวลกันขึ้นระหว่างกลาดิเอเตอร์ในโคลอสเซียมของโรมยังไงยังงั้นเลย

“เมื่อทั้งสองฝ่ายได้แสดงข้อพิสูจน์ของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็จะตัดสินใจว่าความคิดเห็นของใครถูกต้องที่สุดโดนการโหวตเสียงข้างมาก อันดับแรก ข้าจะยื่นสิทธิที่จะไต่ถามดันทาเลี่ยนก่อนแก่ผู้ฟ้องร้อง ซึ่งก็คือไพม่อน ”

“ค่ะ.”

ไพม่อนจับปลายกระโปรงทั้งสองด้านของเธอขึ้นและโค้งตัวคำนับ

มันรู้สึกเหมือนเวลาได้หยุดชะงักลงตามกระโปรงที่พับขึ้นเพื่อแสดงความสุภาพของเธอ

“ขอบพระคุณที่ยอมรับคำร้องนี้ค่ะ”

ไพม่อนค่อยหันสายตามามองทางนี้

“งั้นเริ่มแรกเลย พวกเรามายืนยันข้อเท็จจริงทั้งหมดกันก่อนดีมั้ย? ดันทาเลี่ยน”

“ตามที่ท่านต้องการเลย, ฝ่าบาท”

ผมก้มหัวของผมเป็นการตอบรับ

ความจริงแล้ว มันเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้เผชิญหน้ากัน และยังไม่มีการกระทบกระทั่งกันระหว่างพวกเรา ความเป็นปฏิปักษ์กันนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนมากกว่าความปรารถนาดี

“เจ้า, เมื่อเดือนที่ 8 วันที่ 16 ตอนเวลา 4 โมงเช้า ได้ฆ่าจอมปีศาจแอนโดรมาเรียส ณ ลานกว้างเฮอร์มีสของเมืองนิฟเฮม ผู้หญิงคนนี้กล่าวได้ถูกต้องหรือไม่? ”

“และดันทาเลี่ยน เจ้ารู้ดีว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นถึงจอมปีศาจ แต่ก็ยังคงฆ่าเขาอยู่ดี ผู้หญิงคนนี้กล่าวผิดไปมั้ย? ”

“นั่นก็ถูกต้อง อ่า แต่ว่าถ้าหากต้องการให้คำตอบถูกต้องมากขึ้นล่ะก็ ”

ผมยักไหล่ของผม

“ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นจอมปีศาจตั้งแต่แรกหรอกนะ ระหว่างที่ผมกำลังนั่งดื่มเบียร์อยู่ที่ลานกว้าง ได้มีไอ้หนุ่มอ่อนหัดบางคนกำลังทุบตีคนแก่ ผมจึงสงสัยว่ามันเป็นไอ้ตัวบัดซบคนไหนกันที่ทำ และดันกลับกลายเป็นว่ามันเป็นจอมปีศาจซะงั้นไป ผมก็เลยรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อยอะนะ ”

“…… กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ, เจ้าไม่ได้ฆ่าจอมปีศาจโดยบังเอิญ แต่เจ้าฆ่าเขาด้วยความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้นสินะ”

ผมส่ายหัวของผม

“ผมต้องขอโทษด้วย ฝ่าบาทไพม่อน แต่นั่นมีการเข้าใจผิดไปเล็กน้อยน้า ”

“เข้าใจผิด?”

ไพม่อนขมวดคิ้วของเธอ

“ความเข้าใจผิดแบบไหนกันที่อยู่ในความจริงอันกระจ่างเช่นนี้ฮะ?”

“ผมหมายถึงในเรื่องแอนโดรมาเรียสน่ะ ขอสาบานต่อหน้าเทพธิดาเลยฝ่าบาทไพม่อน ผมก็ยังคงจะฆ่าไอ้หมาพันทางนั่นอยู่ดีไม่ว่าเขาจะเป็นจอมปีศาจหรือไม่ก็ตาม ”

บรรดาผู้คนทั้งหลายเริ่มที่จะปั่นป่วนกัน

ไพม่อนได้ทำหน้าบึ้งและเตือนผมว่า

“…… ดันทาเลี่ยน วันนี้คืองานวัลเพอร์กิสไนท์ และเจ้ากำลังตกเป็นจำเลยในข้อหาฆาตกรรมนะ ทำไมไม่ลองปรับเปลี่ยนวิธีการพูดของเจ้าให้สุภาพมากขึ้นหน่อยล่ะ? ”

“โอ้ว ผมต้องขอประทานอภัยด้วย แต่ผมไม่สามารถทำเช่นนั้นได้หรอก. ฝ่าบาท, ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง, ผมก็จะยังคงเรียกไอ้แอนโดรมาเรียสว่าไอ้หมาพันทางไปเรื่อยๆแน่นอน เชื่อผมเถอะ มันเหมาะสมแล้วสำหรับไอ้เวรนั่นที่ได้ตายไปซะ. ”

“เจ้า……”

“อันที่จริง มันน่าเสียดายหน่อยนึงนะ ผมน่าจะตบรางวัลให้ไอ้โง่นั้นด้วยความตายที่แสนเจ็บปวดทรมานแทน ผมดันแทงเขาที่คอด้วยกริชเพียงหนึ่งครั้งเองงะแต่มันดันตายซะงั้น อีกทั้งเขายังเป็นเศษสวะอย่างแท้จริง ชอบร่อนเร่ไปมาตามตรอกซอกซอยเหมือนคนจรจัด มันทำให้เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนเหลาะแหละมากแค่ไหนกัน ”

ความโกลาหลเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ผมจงใจใช้คำพูดที่รุนแรงและทำให้พวกเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก

มาร์บาสได้กล่าวว่าพวกเราจะใช้วิธีตัดสินว่าใครเป็นฝ่ายถูกด้วยการโหวต เนื่องจากไพม่อนเป็นถึงจอมปีศาจอันดับที่ 9 เธอจึงมีบริวารมากมายเช่นกัน ดังนั้นถ้าเกิดเปิดให้โหวตสู้กันตามปกติเช่นนี้ล่ะ? ในฐานะที่เป็นปีศาจที่ไม่มีบริวารเลยแม้แต่คนเดียว ชะตากรรมของผมที่รออยู่คือความพ่ายแพ้แน่นอน

ดังนั้น ผมจึงต้องสร้างแนวร่วมขึ้นมา

จอมปีศาจผู้เกลียดชังไพม่อน

จอมปีศาจผู้ชอบคำหยาบคายมากกว่าคำสุภาพนุ่มนวล

และที่สำคัญที่สุดก็คือ เป็นจอมปีศาจระดับสูงที่มีบริวารมากพอๆกับไพม่อน

‘บาร์บาทอส’

นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วแหละ

ผมเลือกที่จะไม่ตอบโต้ไพม่อน แต่ผมพยายามเรียกร้องความสนใจจากบาร์บาทอสแทน เอาล่ะ, ดูผมให้ดีๆล่ะ ปีศาจหน้าใหม่ที่อยู่ตรงนี่น่าจะถูกรสนิยมของเธอชัวร์เนอะ

เธอต้องการจะเปิดศึกอีกสักครั้งกับไพม่อน ถูกมั้ยล่ะ? เธอน่าจะยังคงมีความโกรธแค้นที่สุมพอกพูนจากการโต้เถียงแล้วแพ้ก่อนหน้านี้ ผมจะเติมเต็มความต้องการดังกล่าวให้เธอเองบาร์บาทอส ทั้งหมดที่เธอต้องทำก็คือเลือกผมในระหว่างการโหวตเสียงข้างมากเท่านั้นแหละ แม้ว่าจะเป็นการชั่วคราว แต่มันน่าจะเป็นพันธมิตรอันแสนมหัศจรรย์ ……

“ระวังคำพูดของเจ้าซะ ดันทาเลี่ยน!”

ไพม่อนได้ตะโกนออกมา

“แอนโดรมาเรียสเป็นญาติพี่น้องของพวกเรานะ!”

“ผมทำได้เพียงเห็นด้วยแค่ครึ่งเดียวต่อความคิดเห็นของฝ่าบาทเท่านั้น แอนโดรมาเรียสไม่ได้เป็นเพียงแค่ญาติพี่น้องของพวกเรา แต่เขายังเป็นสมาชิกที่น่าอับอายของพวกเราด้วย เอ้า ทุกท่าน! ได้โปรดเถอะ! มาพูดกันอย่างเปิดเผยมากขึ้นจะดีกว่านะ ”

ผมรีบหันไปมองรอบๆ

“เพียงเพราะไอ้หมาพันทางนั่นไม่ต้องการจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเขา เขาจึงได้ตรงเข้าทำร้ายเจ้าของบาร์ ตัวเจ้าของเป็นเพียงแค่คนแคระแก่ๆที่อายุมากจนหลังของเขาคุ้มงอ แต่, นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดนะ ผมยังได้ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มภายหลังเหตุการณ์ และพบว่าจำนวนพลเมืองที่เขาฆ่าไปเฉพาะแค่ในเมืองนิฟเฮมมีถึง 54 คน! ”

“นั่นคือ……”

“มีเด็กถึง 12 คนรวมอยู่ในรายชื่อนั้นด้วย ท่านรู้เรื่องนี้หรือเปล่าห๊า? เจ้านั่นได้เฆี่ยนตีเด็กเหล่านี้จนตายเพียงเพราะว่าเด็กพวกนั้นไม่ได้ก้มหัวให้เขา ไม่เพียงแค่นั้นนะ, ถ้าท่านไม่รวมแค่จำนวนผู้เสียชีวิตแต่นับรวมผู้ได้รับบาดเจ็บด้วย ก็จะมีเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายถึง 327 ราย จำไว้ด้วยว่า, นี่เป็นจำนวนเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ระบุอย่างเป็นทางการเท่านั้น ทุกท่านครับ, ถ้ามีบางคนมาบอกผมว่าไอ้หมาพันทางนั่นได้ข่มขืนเด็กสาวตัวน้อยๆและโยนศพของเธอลงไปในท่อระบายน้ำ ผมจะไม่แปลกใจเลย! โอ้ ท่านเทพธิดา! ได้โปรดสั่งให้บรรดาปีศาจในนรกจงลงโทษแอนโดรมาเรียสตลอดชั่วนิรันดร์กาลด้วยเถิด!”

“เจ้านี่มัน …… ”

ไพม่อนได้เปิดปากของเธอ

“ช่างพูดกวนประสาทซะจริงๆ, ก่อนที่ผู้หญิงคนนี้จะ …… นี่ดันทาเลี่ยนผู้หญิงคนนี้สามารถฟ้องร้องเจ้าได้อีกครั้งในข้อหาดูหมิ่นศาลนะ จงปรับปรุงคำพูดของเจ้าซะเดี๋ยวนี้เลย ”

มุมปากของผมได้เหยียดออก

ยอมถอยหลังให้แค่คราวนี้ก็แล้วกันฟ่ะ

“…… ผมขอโทษด้วยครับฝ่าบาทไพม่อน และผมก็อยากจะขอโทษเหล่าขุนนางทุกคนที่อยู่ในวันนี้ด้วยเช่นกันครับ ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างความน่าอับอายแก่ทุกคนในที่นี้เลย ”

ผมวางฝ่ามือของผมไว้บนหน้าผากราวกับว่าผมเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อคำพูดอันหยาบคายที่ผมเพิ่งกระทำลงไป

ความกำเริบเสิบสานและความจริงใจเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน ความกำเริบเสิบสานคือการกระทำที่ผลักดันตัวคุณเองไปยังผู้อื่นและสร้างความรำคาญแก่พวกเขา ในทางกลับกัน ความจริงใจคือการปรุงแต่งตัวคุณเองให้ดูน่ามองและจากนั้นก็เสิร์ฟตัวคุณเองแก่ผู้อื่น หยั่งกับว่าคุณกำลังบอกพวกเขาให้ “ลิ้มรสฉันสิ” ยังไงยังงั้นเลย

ผู้คนมักชอบบุคคลที่จริงใจและถ่อมตัว ถ้าผมประพฤติตัวดีเป็นบางช่วง คนอื่นก็จะไม่คิดว่าผมน่ารำคาญมากขนาดนั้นหรอกเนอะ ด้วยสายตาที่เหมือนลูกสุนัขที่กำลังเศร้าเสียใจ ผมได้กวาดตามองผู้ชมรอบๆอีกครั้งนึง

“ทุกท่าน อย่างที่ท่านเห็นกัน ผมไม่เป็นอะไรที่มากไปกว่าคนโง่ ผู้ไม่สามารถเก็บรักษาสิ่งสำคัญของผมแม้แต่สิ่งเดียวเอาไว้ได้ อันดับก็แค่ 71 ผมเป็นแค่ปลาซิวปลาสร้อยที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีประวัติที่น่าสรรเสริญหรือตำแหน่งหน้าที่…… นี่คือเนื้อแท้ของผม”

“…… ”

“แต่ว่า แม้จะเป็นเช่นนั้น, ผมก็ไม่เคยทุบตีชายสูงอายุเพื่อบ่ายเบี่ยงการจ่ายบิลของผมเลย ผมไม่เคยทำร้ายชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ถึง 327 คน และผมก็ไม่เคยฆ่าคนตายเป็นจำนวน 54 คนจากจำนวนทั้งหมดของพวกเขาด้วย ”

ผมลดระดับเสียงพูดของผมลงเล็กน้อย

ก่อนที่ผมจะทันรู้ตัว, ห้องบอลรูมก็ได้เงียบลงซะแล้ว

“…… นั่นคือเหตุการณ์เมื่อเดือนที่ 8 วันที่ 16 เพื่อความแม่นยำมากยิ่งขึ้น, ก็คือเมื่อสี่วันก่อน ผมได้ยินเสียงชายชราคนหนึ่งกำลังร้องไห้ดังออกมาจากระยะไกลๆ และในตอนนั้นเอง ผมได้สบตากับแอนโดรมาเรียส ฝ่าบาทไพม่อน บางทีท่านอาจจะรู้สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นพูดในขณะที่เขามองมาที่ผมใช่หรือเปล่าครับ? ”

“…… ลดสายตาของแกซะ นี่คือคำพูดที่ฉันได้ยินมาจากพยาน”

“เพื่อความถูกต้องมากยิ่งขึ้น, มันคือ ‘นี่เอ็งคิดว่าตัวเองเป็นใครกันห๊า? ทำไมเอ็งถึงไม่ยอมก้มหน้าของเอ็งลงวะ? ‘. ”

หลายๆคนรอบตัวผมได้เดาะลิ้นของพวกเขา

ผมแสร้งยิ้มอย่างขมขื่นออกมา

“สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้คือภาพเหตุการณ์อันอุกอาจยิ่งนัก แอนโดรมาเรียสเดินตรงเข้ามาหาผมและทำร้ายผู้คุ้มกันของผม ผมได้เตือนให้เขาหยุดอย่างสุภาพแล้ว แต่ว่าแอนโดรมาเรียสก็ไม่ยอมฟัง เขายังเดินไปตบคนรักของผม ผู้ซึ่งเป็นทั้งข้ารับใช้ของผมด้วยจนล้มลงกับพื้น ”

จากนั้นผมก็อ้อนวอนว่า

“ฝ่าบาทไพม่อน ผมควรจะทำอย่างไรดีในสถานการณ์เช่นนี้ครับ? ผมควรจะไล่ผู้คุ้มกันของผมและยอมให้ตัวเองตกอยู่ภายใต้อันตรายงั้นหรือ? หรือว่ามันจะดีกว่าถ้าผมนิ่งเฉยไว้ และเฝ้ามองดูคนรักของผมในช่วงเวลาที่เธอกำลังโดนทำร้ายจนลงไปนอนคลุกฝุ่นล่ะครับ? ”

“…… ”

ไพม่อนไร้ซึ่งคำตอบใดๆ

ปีศาจผู้เฉลียวฉลาดและสูงส่งไพม่อน ไม่สามารถแสดงท่าทีอย่างอวดดีได้ในตอนนี้ มันเป็นเพราะว่าเธอติดอยู่กับความเที่ยงธรรมของเธอเองจึงทำให้ปากของเธอหยุดลง เธอได้รุกฆาตตัวเธอเองซะงั้น

บัดนี้

เวลาแห่งการแสดงโชว์ความนอบน้อมและแสร้งทำเป็นน่ารักได้จบลงแล้ว

ผมเริ่มค่อยๆเพิ่มระดับเสียงของผมขึ้น

“ผมจะขอกล่าวอีกครั้ง ทุกท่านครับ แอนโดรมาเรียสเป็นแค่ไอ้หมาพันทางที่ไม่สมควรได้รับสิทธิพิเศษใดๆแม้แต่การถูกเรียกว่าจอมปีศาจซะด้วยซ้ำ ไม่ใช่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ซึ่งตายไปหรอกหรือที่สมควรจะได้รับการปลอบโยนน่ะ? พวกเขาไม่ได้เป็นเหยื่อที่แท้จริงอันสมควรได้รับการชดเชยงั้นเหรอครับ? ”

กระตุ้นให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ

“เพราะปรสิตเช่นแอนโดรมาเรียสความรู้สึกนึกคิดต่อบรรดาจอมปีศาจกลับกลายเป็นแย่ลง แอนโดรมาเรียสไม่ใช่ญาติพี่น้องของพวกเราแม้แต่นิดเดียว! ถ้ามันเป็นการกระทำเพื่อเผ่าพันธุ์ของพวกเราอย่างแท้จริง, งั้นทุกท่านครับ! พวกเรายิ่งไม่ควรที่จะทำตามแบบอย่างของการสละคน 71 คนเพื่อผู้ชายเพียง 1 คน แต่พวกเราควรจะทำตามแบบอย่างของการกำจัดผู้ชาย 1 คนเพื่อคน 71 คน! ”

ทำให้เขากลายเป็นศัตรูของส่วนรวมซะ

“ดังนั้น ผมอยากถามว่า, ฝ่าบาทไพม่อน ท่านยังคงคิดว่าแอนโดรมาเรียสเป็นญาติพี่น้องของพวกเราอีกหรือเปล่าครับ? ท่านจะปกป้องพยาธิตัวอ่อนเช่นแอนโดรมาเรียสจวบจนกระทั่งสิ้นสุดลง ในขณะที่ละทิ้งเผ่าพันธุ์ที่เหลือของท่านไปอย่างงั้นหรือ? ”

ชี้นำให้เห็นภัยคุกคาม

โดยการใช้เทคนิควาทศิลป์ทุกรูปแบบ

ผมมองตรงไปที่ไพม่อน

“ฝ่าบาท กรุณาตอบคำถามด้วยครับ”

“ผู้หญิงคนนี้ …… ”

ไพม่อนขบริมฝีปากของเธอแน่น

ความนิ่งเงียบงันจนน่าตกใจได้แผ่ปกคลุมทั่วห้องบอลรูม

ในตอนนั้นเอง

แป๊ะ

ได้มีเสียงปรบมือดังขึ้นมาจากที่ใดที่หนึ่ง

เป็นบาร์บาทอสที่ได้ปรบมือของเธอ บรรดาผู้คนทั้งหลายต่างหันมามองที่บาร์บาทอสด้วยสีหน้างงงวย เมื่อเห็นเช่นนั้น บาาร์บาทอสได้เอียงศีรษะของเธอและส่งยิ้มให้

“อะไรกันหรา? ก็เขาพูดได้ถูกต้องนี่”

“…… ”

“ข้าก็ด้วย, จริงแล้วข้าก็อยากจะฆ่าแอนโดรมาเรียสมาสักพักนึงแล้วน้า แต่ไอ้เด็กเปรตที่เหมือนหนอนโสโครกนั่นได้หลบหน้าข้าอย่างรู้งานตลอดเลย ทำได้ดีมากเจ้าหน้าใหม่ ขอบคุณที่อุตส่าห์กำจัดไอ้ปรสิตนั่นแทนพวกเรานะ ”

บาร์บาทอสยังคงปรบมือของเธอต่อ

และหลังจากนั้นก็เริ่มมีคนทยอยปรบมือตาม จนในที่สุดจอมปีศาจส่วนใหญ่ก็ปรบมือแสดงความเห็นชอบด้วย ส่วนเหล่าจอมปีศาจที่ไม่ได้ปรบมือและเขม่นมองผมตั้งแต่ต้นจนจบจำนวน 10 คน พวกเขาน่าจะเป็นบริวารของไพม่อนละมั้ง

[ฝีมือการแสดงอันชั่วร้ายของคุณต่างทำให้ผู้คนหลงใหล!]

[ค่าความชอบของจอมปีศาจมาร์บาสได้เพิ่มขึ้นมา 1 ]

[ค่าความชอบของจอมปีศาจบาร์บาทอสได้เพิ่มขึ้นมา 2 ]

[ค่าความชอบของจอมปีศาจเซปาร์ได้เพิ่มขึ้นมา 2 ]

ผมเสียใจที่ต้องพูดแบบนี้ แต่พวกคุณเพิ่งจะถูกลดระดับลงกลายเป็นเสียงข้างน้อยนะ

คำตัดสินสำหรับการพิจารณาคดีนั้นล้วนดูจากหลักเหตุผลของเสียงส่วนใหญ่ และน่าเสียดายที่ไม่มีกระบวนการอย่างเป็นระบบที่แสดงให้เห็นความคำนึงถึงเสียงข้างน้อยเลย นั่นคือขีดจำกัดของระบบการเมืองแบบโบราณ ถ้าคุณคิดว่ามันไม่ยุติธรรมงั้นก็ไปพัฒนาเป็นระบอบประชาธิปไตยสิ และก็เริ่มต้นการปฏิวัติแบบในประเทศฝรั่งเศสตอนที่คุณคิดจะดำเนินการด้วยนะ ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนมีโอกาสที่กิโยตินจะตัดศีรษะของจอมปีศาจได้ก็เถอะ. มันมีข้อบังคับว่ากระบวนการจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้เสียสละเสียงข้างน้อยทิ้งไป ดังนั้นคุณได้แต่ยอมรับในชะตากรรมของคุณเท่านั้น

“เงียบซะ ข้าได้กล่าวไปแล้วว่าการแทรกแซงจากบุคคลที่สามเป็นสิ่งต้องห้ามนะ ”

มาร์บาสได้เตือนให้ทุกคนเงียบอย่างเคร่งขรึม

“โดยเฉพาะเจ้า, บาร์บาทอส การปรบมือเมื่อกี้เป็นการกระทำที่แทรกแซงการพิจารณาคดีโดยเจตนา อย่าทำมันอีกเป็นอันเด็ดขาดล่ะจำไว้”

“ขอโทษสำหรับเรื่องนั้นด้วยตาแก่ ข้าแค่รู้สึกประทับใจอ่ะ มันเป็นเวลานานมากๆแล้วที่จะมีคนที่ดูมีประโยชน์คลานขึ้นมาจากจอมปีศาจอันดับล่างๆบ้างนะ พวกเขาส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกเศษสวะกันซะทั้งหมด ข้าไม่ได้มีเจตนาที่จะดูหมิ่นความศักดิ์สิทธิ์ของการพิจารณาคดีหรอกน้า ”

“ข้าไม่ใส่ใจเจตนาของเจ้าหรอก ข้าแค่ใส่ใจเกี่ยวกับผลของการกระทำเท่านั้นบาร์บาทอส ตราบเท่าที่พวกเราไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกัน เจ้าไม่คิดเหรอว่ามันจะเป็นการเสียเวลาเปล่าที่จะต้องคำนึงถึงเจตนาของผู้อื่นน่ะ? ”

“หือ? นี่คุณเพิ่งสารภาพรักข้าแบบอ้อมๆหรอตาแก่?

“ถ้าเจ้าหุบปากของเจ้าในทันที งั้นข้าคิดว่าความรักอาจจะผลิบานออกมาก็เป็นได้นะ”

“อะไรกันเนี่ย? ข้าไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ที่จะได้แฟนเป็นครั้งแรกในรอบ 500 ปีหรอกนะ ”

บาร์บาทอสยักไหล่ของเธออย่างตลกขบขัน

ผมพอจะเข้าใจความสัมพันธ์ของทั้งสองคนแล้วล่ะ บาร์บาทอสเป็นเหมือนน้องสาวตัวน้อยอันแก่นแก้วที่ไร้การเยียวยาได้ และมาร์บาสเป็นเหมือนพี่ชายที่ต้องจัดการกับความเครียดที่เกิดจากการไล่แก้ไขปัญหาจากการเล่นสนุกแบบเด็กเล็กๆของน้องสาวตัวน้อย คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในความสัมพันธ์แบบน้องชายหรือน้องสาวก็คือพี่ชายคนโตอันแข็งแรงคนนี้นี่เอง ผมรู้ดีเพราะผมก็มีประสบการณ์ในการจัดการกับน้องสาวถึง 6 คน คุณได้รับความเห็นอกเห็นใจจากผมนะรู้มั้ยมาร์บาส

มาร์มาสได้ส่ายหัวไปมาราวกับว่าเขากำลังตัวสั่น

“ข้าจะขอยุติการพิจารณาคดีลง ณ ตรงนี้ ดังที่ข้าได้กล่าวกับพวกคุณเมื่อก่อนหน้า พวกเราจะตัดสินด้วยการโหวตคะแนนเสียงข้างมากเพื่อสรุปว่าความคิดเห็นของใครเป็นฝ่ายถูกต้อง เอาล่ะ, ด้วยการยกมือ …… ”

“รอสักครู่.”

ในช่วงเวลานั้นเอง ไพม่อนได้รีบพูดออกมาอย่างกระทันหัน

มาร์บาสเลิกคิ้วขึ้นก่อนกล่าวว่า

“มีอะไรหรือ? เจ้าอยากจะพูดอะไรเพิ่มอีกล่ะ? ”

“ใช่ค่ะ, มันยังมีคำถามที่ผู้หญิงคนนี้ยังไม่ได้ไตร่ถามดันทาเลี่ยน”

“ไพม่อน…… ”

มาร์บาสถอดแว่นตาเลนส์เดียวของเขาและเช็ดมันด้วยผ้าเช็ดหน้า

เสียงของมาร์บาสอ่อนโยนขึ้น ราวกับว่าเขากำลังคุยกับเพื่อนเก่าอยู่

“เจ้ากับข้าได้ใช้เวลา 500 ปีที่ผ่านมาจนรู้จักซึ่งกันและกันดี 500 ปีนี้ค่อนข้างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานนะ, เจ้าคิดอย่างนั้นมั้ย? ”

“…… ก็จริงนะ, มันเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างยากลำบากเหลือเกินมาร์บาส ”

“อย่างที่เจ้ารู้เกี่ยวกับตัวข้า ข้าก็เช่นกันที่รู้ดีเกี่ยวกับตัวเจ้า ข้าจะขอยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าทำไมข้าถึงไม่ซ่อนอารมณ์ที่ขมขื่นของข้าตลอดช่วงเวลาการพิจารณาคดีนี้ ไพม่อน ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันไม่มีความเป็นไปได้เลยที่เจ้าจะอยากปกป้องแอนโดรมาเรียสด้วยใจจริง ถ้าจะมีอะไรอย่างนั้น, มันน่าจะตรงกันข้ามมากกว่า เจ้าน่าจะขยะแขยงคนอย่างแอนโดรมาเรียสลึกๆในใจใช่มั้ยล่ะ ”

ไพม่อนนิ่งเงียบงันไป

มาร์บาส หลังจากเสร็จสิ้นการทำความสะอาดแว่นเลนส์เดียวของเขา ก็ได้นำมันมาสวมใส่ที่ดวงตาอีกครั้ง กรอบแว่นสีทองได้สะท้อนแสงของเทียนออกมาอย่างเงียบเชียบ

“คืนนี้คืองานวัลเพอร์กิสไนท์นะไพม่อน มันเป็นงานวัลเพอร์กิสไนท์. ณ เวลานี้เป็นการรวมตัวกันของเหล่าจอมปีศาจซึ่งบังคับให้ทุกคนต้องเข้าร่วมงานกันทั้งหมด แต่ตอนนี้มันสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ในอดีตและพวกเรานั้นแทบจะไม่มีสมาชิกหลักในที่นี้เลย ทั้งบาอัล, อกาเรส, วาสซาโก้ และ กามิจิน…… ในขณะนี้ ที่ทั่วทั้งทวีปกำลังต่อสู้ดิ้นรนกับโรคระบาดรุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จอมปีศาจผู้ซึ่งมีอันดับสูงกว่าตัวข้าได้อันตรธานหายไป และพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้? ”

ไพม่อนได้ก้มศีรษะลง

“มาร์บาส มากกว่าใครในเหล่าจอมปีศาจเลย, ท่านเป็นหนึ่งเดียวที่เสียสละช่วยเหลือมากที่สุดต่อหมู่มวลปีศาจทั้งหลาย ผู้หญิงคนนี้ขอแสดงความนับถือต่อท่านอย่างจริงใจ ”

“พวกเราเคารพซึ่งกันและกันอยู่แล้วน่า ดังนั้น จอมปีศาจที่ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ – ที่อยู่ทั่วดินแดนแห่งปีศาจ ในขณะที่ไม่แยแสสนใจใครและกังวลเฉพาะความสุขส่วนตัวของตนเอง เรามาหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะทำให้พวกเราถูกหัวเราะเยาะโดยจอมปีศาจเหล่านี้กันเถอะ ”

มาร์บาสกล่าว

“แค่การที่บางคนพยายามจะปกป้องแอนโดรมาเรียสในงานวัลเพอร์กิสไนท์ก็เป็นเหตุผลที่จะทำให้คนเยาะเย้ยพวกเรามากพอแล้ว โอ้ให้ตายเถอะ ข้าสามารถได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยออกมาจากอกาเรสซะแล้ว ข้าจะบอกเจ้าอย่างไม่อ้อมค้อมเลยละกันนะ ได้โปรดอย่าทำให้สถานการณ์นี้เลวร้ายยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆเถิด ”

ไพม่อนขบริมฝีปากของเธอ

“…… ขอโอกาสให้ผู้หญิงคนนี้อีกซักครั้งหนึ่งเถอะค่ะ”

เธอวางมือขวาของเธอไว้ที่หน้าอกและโค้งตัวลงต่ำกว่าปกติ

“ได้โปรด ให้ฉันได้รับโอกาสครั้งสุดท้ายนี้ด้วยค่ะ”

มาร์บาสลูบเคราของเขา

จอมปีศาจผู้ที่อยู่อันดับที่ 9 ในหมู่จอมปีศาจทั้งหลายได้ถึงกับก้มศีรษะของเธอแม้หลังจากที่ได้ยินคำพูดของมาร์บาส มันน่าจะยากสำหรับมาร์บาสที่จะบังคับใช้ความคิดของตัวเขาต่อในสภาพนี้ มันเป็นปัญหาของการรักษาภาพลักษณ์และดำเนินการพิธีในงานต่อ ในที่สุด มาร์บาสก็พยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง

“อืม”

เว้นแต่, เจ้าจะต้องไม่พูดอะไรนอกเหนือจากเรื่องนั้น ทำตามที่เจ้าต้องการเลย แต่อย่าหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากข้าหลังจากนี้นะ มันจำกัดความหมายแบบนั้นไว้

ไพม่อนได้พยักหน้าตอบรับและมองตรงมาที่ผม

“ดันทาเลี่ยน”

ยกแรกได้สิ้นสุดลงแล้ว

เธอดูราวกับกำลังบอกผมว่ายกที่สองกำลังจะเริ่มต้นขึ้นน้า

ผมกล่าวอย่างใจเย็นว่า

“ฝ่าบาทไพม่อน มีบางอย่างที่ผมต้องการจะบอกคุณก่อนครับ ”

“พูดมา”

“ผมไม่มีอารมณ์ความรู้สึกต่อฝ่าบาทไพม่อนเลยแม้แต่น้อยครับ”

ไพม่อนได้ขมวดคิ้วของเธอ

“นั่นหมายความว่ายังไงมิทราบ?”

“แม้ฝ่าบาทจะพยายามเอาผิดในเหตุการณ์ของแอนโดรมาเรียส ผมเข้าใจครับฝ่าบาท ในท้ายที่สุด ผมก็จะไม่โกรธแค้นอาฆาตหรอกครับ”

ถึงเรื่องจะออกมาเป็นเช่นนี้ แต่เธอยังคงเป็นคนที่มีเหตุผลและศีลธรรมนะ

นอกจากนี้ เธอยังมีนมที่ยอดเยี่ยมตรงหน้าอกของเธออีกด้วย ผมขอบูชาจักรวาล, เทอดทูนกฏของธรรมชาติ และยกย่องนมที่สวยงาม ไพม่อน, มันยังไม่สายเกินไปหรอกนะที่จะยอมถอยหลังให้ในตอนนี้น่ะ

ผมยิ้มเรียบออกมา

“พวกเราสามารถชนแก้วดื่มต่อได้ทันทีและคืนดีกันได้นะครับ”

ยอมก้าวลงตรงนี้ซะ

หากเธอไม่ต้องการที่จะถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆโดยเขี้ยวและเลือดสาดกระจาย นี้เป็นโอกาสสุดท้ายของเธอแล้วนะ

แต่ทว่า

“ผู้หญิงคนนี้ได้ขอให้มีการพิจารณาคดีเพื่อแยกแยะว่าสิ่งใดถูกหรือผิด ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มไวน์กับเจ้าหรอกนะ”

ในการตอบรับต่อคำแนะนำของผม ไพม่อนได้แสดงสีหน้าที่ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับว่าเธอรู้สึกรำคาญกับเรื่องที่มีคนต่ำต้อยอันดับที่ 71 บางคนพูดเรื่องไร้สาระนี้ขึ้นมา

ผมพยักหน้าหลายครั้งเพื่อแสดงให้เห็นว่าผมเข้าใจ

บางครั้งผมสงสัยว่าผมกำลังพูดภาษาต่างดาวอยู่ สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อก็คือ ผมมีระบบภาษาที่แตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมนะ แต่ว่าพวกเราบางทีก็สามารถเข้าใจในสิ่งที่พูดกันและกันได้ซึ่งนั่นเป็นเพียงความโชคดีนานๆครั้งเอง ในความเป็นจริงพวกเรากำลังพูดกันด้วยสองภาษาที่แตกต่างกันอย่างลิบลับ ตัวอย่างเช่น, เมื่อผมบอกพวกเขาในทำนองที่ว่า ‘ถ้าคุณไม่ต้องการที่จะเห็นเลือดงั้นตอนนี้ก็ควรจะถอยกลับไปได้แล้วน้า’ ในภาษาของพวกเขาจะได้ยินเป็นว่า ‘กรุณาต่อยผมที่ใบหน้าที’

ผมคิดว่านี่เป็นสมมติฐานที่ค่อนข้างถูกต้องอย่างแรงเลย

ในชั่วชีวิตของผม ผมได้ให้คำเตือนเช่นนี้มานับร้อยครั้ง แต่ว่าจะมีใครบ้างที่จะพออธิบายได้ว่าทำไมถึงไม่มีใครเชื่อคำเตือนของผมแม้แต่คนเดียวเลยหว่า? เป็นเหตุผลสำคัญที่ว่าทำไมผมถึงกลายมาเป็น NEET

ผมเป็นสิ่งชีวิตที่ชาญฉลาดอันเกิดมาราวกับปาฏิหาริย์ด้วยอัตราเกิดขึ้นที่น้อยสุดๆและประสมประสานกันได้อย่างลงตัว

‘อย่าพูดไร้สาระสิคะ พี่ชาย’

‘พี่ชายไม่มีอะไรที่มากไปกว่าคนขี้ขลาดที่ไร้คุณค่าสิ้นดีหรอก’

แน่นอนว่ามันมีคนอื่นๆที่นำสมมติฐานของตนเองมาใช้ตัดสินตัวผม

เหมือนอาจารย์แก่ๆหัวดื้อจากสถาบันการศึกษาที่ชอบใช้อำนาจของเขาในการล้มเลิกทฤษฎีดั้งเดิม ดังนั้นตัวผมเองจึงหุบปากเงียบแล้วฟังสิ่งที่ไพม่อนกำลังแพร่มออกมาอยู่

“…… ผู้หญิงคนนี้ได้จ้างผู้บริหารจากบริษัทกึนคัสก้าเพื่อเป็นที่ปรึกษาพิเศษของฉันมาสักพักนึงแล้ว ผู้บริหารคนนั้นเมื่อไม่นานมานี้ ได้บอกกับผู้หญิงคนนี้ถึงข่าวสารที่น่าตกใจบางอย่างให้ฟัง ”

อ่ะฮ่า

ที่แท้ก็มีคนส่งข่าวไปมาระหว่างอีวาน ล๊อทบรอคและไพม่อนนี่เอง ฉลาดจริงๆ ตั้งแต่สมัยโบราณแล้วที่มันเป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับพวกนักวางอุบายมือฉมังที่ชอบไม่ลงมือด้วยตนเองแต่ใช้งานให้ลูกน้องกระทำแทน นั่นคือเหตุผลที่ทำไมผมถึงได้จ้างซัสคิวบัสที่ทรงเสน่ห์และเฉลียวฉลาดเมื่อไม่นานมานี้เอง เห็นได้ชัดว่า ผมก็เป็นนักวางอุบายที่เก่งกาจเหมือนกันน้า

“ผู้หญิงคนนี้เชื่อว่าเธอไม่จำเป็นต้องเตือนให้ทุกคนทราบถึงภัยพิบัติล่าสุดที่กวาดล้างไปทั่วทั้งทวีป ซึ่งก็คือโรคความตายสีดำนั่นเอง เจ้าคำสาปอันน่าสยดสยองนี้ได้พรากชีวิตทั้งมนุษย์และปีศาจอย่างไม่เลือกหน้า …… ”

นอกเหนือจากนี้ มันยังเติมเต็มคลังสมบัติของผมจนแทบทะลักเลยล่ะ~

สวัสดีชาวประชาในทวีปนี้ ผมอยากจะกล่าวคำพูดบางอย่างเพื่อปลอบขวัญผู้คนที่กำลังดิ้นรนต่อสู้กับโรคนี้ ไม่ต้องกังวลไปนะ ด้วยการชำระเงินง่ายๆเพียงแค่ 10 เหรียญทอง คุณก็จะได้รับวิธีรักษาโรคระบาดนี้แล้ว ซึ่งก็คือสมุนไพรสีดำนี่เอง ช่วยชีวิตตัวของพวกคุณเองซะด้วยเงินยังไงล่ะ

ผมไม่คิดหรอกว่านี่เป็นการกระทำที่ชั่วร้ายนะ ถ้าเรื่องนี้เป็นไปตามประวัติศาสตร์ดั้งเดิมใน การค้นพบวิธีการรักษานี้จะเกิดขึ้นในปี 1507 ตามปฏิทินหลักของทวีป ซึ่งเป็นเวลาถึง 2 ปีนับจากเวลานี้ไป คนเหล่านี้จะตายอย่างไร้วิธีช่วยเหลือเป็นระยะเวลาสองปีเลย

ขณะนี้ ผู้คนรู้กันแล้วว่าผลลัพธ์ของสมุนไพรสีดำนั้นเป็นอย่างไร ต้องขอบคุณในความพยายามของผมนะ เพียงแต่ว่า, ในเมื่อผมได้เป็นผู้ผูกขาดการค้าสมุนไพร จึงจะมีเฉพาะบางคนเท่านั้นที่สามารถซื้อมันได้ซึ่งก็คือคนกลุ่มน้อยๆเช่น; ขุนนาง, เศรษฐี, และครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง ผมวางแผนที่จะคงราคาตลาดในปัจจุบันนี้ไว้เป็นระยะเวลาอย่างน้อยหนึ่งปี

คนส่วนใหญ่ที่มีฐานะยากจนและไม่สามารถหาเงินพอซื้อยารักษาได้ก็จะตายไป ในภัยพิบัติอันรุนแรงทั่วโลกนี้ มีแค่เหล่าขุนนางและคนร่ำรวยเท่านั้นที่จะรอดชีวิต

แน่นอนว่าผู้คนจะรุมประณามผม

เช่นเดียวกันกับที่ไพม่อนกำลังรังเกียจผมอยู่ในตอนนี้

มันไม่เป็นไรหรอกที่จะสาปแช่งผมและเรียกผมว่าปีศาจผู้แดกเงินเป็นอาหาร

เพราะแผนการของผมลึกซึ้งเกินกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้

แม้ผมจะเป็นเช่นนี้ แต่ผมก็ยังวางแผนที่จะรักษาหน้าที่ในฐานะพลเรือนทั่วๆไปนะ ไม่ว่าใครในโลกใบนี้ มันเป็นภารกิจที่มีผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถกระทำได้

“…… ต้องขอบคุณสำหรับเมตตาเล็กๆนี้มันจึงมีวิธีรักษาโรคระบาด ทุกท่านคะ พวกท่านทั้งหมดอาจจะรู้ดีว่าใครเป็นคนแรกที่ค้นพบว่าสมุนไพรสีดำนี้สามารถรักษาโรคระบาดได้ใช่มั้ยคะ? เขาคือดันทาเลี่ยนคนนี่เอง นั่นเป็นสิ่งที่ผู้บริหารจากบริษัทกึนคัสก้าได้บอกกับผู้หญิงคนนี้ไว้”

ผู้คนเริ่มที่จะเกิดความสับสนอลหม่าน

ไพม่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเร่งเร้าของเธอว่า

“นั่นไม่ใช่ทั้งหมดนะคะ. ดันทาเลี่ยนยังได้ซื้อสมุนไพรสีดำจำนวน 30,000 ต้นก่อนที่โรคระบาดจะเกิดขึ้นซะอีก ผู้หญิงคนนี้ไม่สามารถเข้าใจในส่วนนี้ได้เลย ”

“…… ”

ไพม่อนยกพัดขนนกของเธอขึ้นและชี้มันมาทางผม

“จะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน? คำตอบนั้นง่ายนิดเดียว ดันทาเลี่ยน เจ้าคือตัวการแท้จริงที่แพร่กระจายโรคความตายสีดำยังไงล่ะ! ”