ตอนที่ 189 ทำใจเสียสละไม่ได้ ตอนที่ 190 เป็นเพราะพรหมลิขิต

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 189 ทำใจเสียสละไม่ได้

เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่รู้สึกกลัวจริงๆ นางเป็นคนที่กลัวขายหน้ามากที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร แต่ระยะนี้มักรู้สึกว่าเพื่อนบ้านซ้ายขวาต่างก็พากันหัวเราะเยาะนาง ดังนั้นตอนนี้ซ่งอิงมีตำรับใหม่ขึ้นมา ครอบครัวบุตรคนโตอย่างพวกเขาต่อให้อิจฉาก็จำเป็นต้องหลบหลีกไปให้ไกล จะแตะต้องไม่ได้โดยเด็ดขาด!

“ท่านแม่ ข้าไม่โง่ขนาดพี่ชายข้าหรอก พี่สาวคนรองข้าดุจะตาย หากข้าหาเรื่องนาง นางได้ตีข้าตายกันพอดี! สู้เชื่อฟังเสียดีกว่า นางยังจะให้ของอร่อยแก่ข้ากินอีกด้วย” ซ่งต๋าบอกกล่าวอย่างไม่พิศวาสเลยสักนิด

“เอ้อร์ยาตีด้วยหรือ!” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ตกใจ

“ก็ใช่น่ะสิ พี่รองทำไม้บรรทัดขึ้นมาหนึ่งอันเป็นการเฉพาะ หากพวกเราสามคนติดเล่นไม่ตั้งใจเรียน นางก็จะตีลงไปที่กลางฝ่ามือทันที” ซ่งต๋าเผลอกล่าวขึ้นอีกครั้ง

เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่รู้สึกปวดใจเมื่อได้ยิน

ลูกรักของนางผู้นี้ ตัวนางเองยังทำใจตีไม่ลงเลย

เอ้อร์ยากลับกล้าลงไม้ลงมือ?!

เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่กระวนกระวายใจ แน่นอนว่าเพราะอยากคิดบัญชีกับเอ้อร์ยา แต่ได้ยินซ่งต๋ากล่าวขึ้นอีกครั้ง “แต่ว่าท่านแม่ พี่สาวคนรองใจกว้างกว่าพี่ชายข้าและพี่สะใภ้ข้าเสียอีก พี่ชายข้ากลับจากตัวอำเภอครั้งก่อน แม้แต่ปิงถางหูลู่สักไม้ก็เสียสละซื้อให้ข้าไม่ได้ แต่พี่สาวคนรองแตกต่างออกไป สองสามวันก่อนนางยังซื้อขนมกุ้ยฮวาให้ด้วยละ อีกทั้งตามจริงดูนางค่อนข้างดุ แต่ก็ไม่ได้โมโหเรื่อยเปื่อย ไม่เหมือนพี่ชายข้า ทั้งที่ข้าไม่ได้หาเรื่องเขา แต่เขากลับมาระบายอารมณ์ลงที่ข้า!”

ครั้นบอกกล่าวอย่างนี้ เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ก็สะกดกลั้นความโกรธเกรี้ยวลงไปในชั่วพริบตา

ลึกๆ ในใจนางไม่อยากยอมรับว่าบุตรชายคนโตของตนสู้ลูกๆ ของบ้านรองไม่ได้

แต่ตอนนี้แม้แต่ลูกชายคนเล็กก็พูดแบบนี้แล้ว…

“ชีวิตพี่ชายเจ้ายากลำบาก…” ถึงอย่างไรเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ก็ไม่อาจปล่อยให้ลูกชายคนเล็กมีใจเคืองโกรธบุตรชายคนโต จึงรีบกล่าวอธิบายทันที

แต่ซ่งต๋าก็เป็นเด็กที่มีไหวพริบเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง ยามนี้เมื่อเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่เอ่ยปาก เขาก็รีบกล่าวสวนทันควัน “ท่านแม่ พี่ใหญ่ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเสียหน่อย สุขสบายกว่าพวกเราเยอะ! ก่อนหน้านี้เขามีบ้านอยู่ในตัวอำเภอ แม้แต่หนิวซานซานยังอิจฉา อีกทั้งท่านและท่านพ่อก็ให้เงินท่านพี่ตั้งมากมายในแต่ละเดือน ซึ่งเรื่องนี้ข้าเองก็รู้เช่นกัน พวกท่านอย่าคิดโกหกข้าเลย!”

พี่ชายเขาใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก? ก็แปลกแล้ว!

ครั้งก่อนตอนที่พี่ใหญ่กลับมา เสื้อผ้าที่สองสามีภรรยาสวมใส่บนตัวใหม่เอี่ยมยิ่งกว่าที่มารดาเขาสวมเสียอีก อีกทั้งเนื้อตัวผมเผ้าพี่สะใภ้เลิศเลอยิ่งกว่าอาสะใภ้สี่ด้วยซ้ำ!

มิหนำซ้ำ พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ตลอดทั้งวันเอาแต่หลบอยู่ในห้องกินของดีๆ ตอนนั้นเขาตะกละตะกลามจึงฉวยจังหวะที่พี่ชายไม่อยู่เข้าไปค้นดู ก็พบว่ามีขนมกินเล่นจำนวนไม่น้อยเชียวละ!

พี่ชายมีเงิน เพียงแต่ไม่ยอมเสียสละใช้จ่ายเพื่อเขาก็เท่านั้นเอง!

ซ่งต๋ามีเหตุผลตรงไปตรงมาและมีความทะนงตน เห็นได้ชัดว่าไม่อยากฟังมารดาเขาเอ่ยถึงพี่ใหญ่ว่าดีอีกแล้ว

เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่พลันปวดใจและแค้นเคืองเผยซื่อยิ่งขึ้น เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่มีลูกสะใภ้ พี่น้องสองคนนี้มีสัมพันธ์อันดีต่อกันไม่น้อย แต่ตอนนี้ล่ะ? ในใจลูกเสี่ยนไม่มีน้องชายเสียแล้ว มิเช่นนั้นลูกต๋าจะเป็นเช่นนี้ได้หรือ!

ซ่งต๋าอยู่บ้าน แม้ว่าจะพูดออกมาหมดเปลือก แต่ก็พูดถึงซ่งอิงในแง่ดีเอาไว้ไม่น้อยเช่นกัน

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่เลยให้ซ่งต๋าหยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ไปให้นางด้วย

“ท่านแม่ข้าบอกว่า ครั้งก่อนที่รับปากว่าจะทำเสื้อผ้าให้พี่รอง ตอนนี้ทำเสร็จแล้ว ท่านพี่ลองสวมใส่ดู หากไม่พอดีตัว ท่านแม่ข้าแก้ไขให้ได้!” ซ่งต๋านำของวางไว้ ที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว เดินไปเรียนพร้อมกับอีกสองคนอย่างสุขใจ

ซ่งอิงมองเสื้อผ้าแวบหนึ่งอย่างแปลกใจ

แต่ก็ไม่ได้เกรงใจ รับเอาไว้อย่างรู้สึกว่าเป็นของที่ต้องได้รับอยู่แล้ว

นางปฏิบัติต่อซ่งต๋าไม่เลว ไม่ว่าจะของกินของใช้ล้วนเทียบได้กับฮั่วหลิน เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ทำเสื้อผ้าหนึ่งชุดเป็นของขวัญตอบแทนให้นาง ก็เป็นสิ่งที่สมควร

แล้วยังมีเจียวซื่ออีกคน ต่อให้ตระหนี่ถี่เหนียวไปนิด แต่ก็รู้จักไปมาหาสู่คบหาสมาคม โดยให้ซ่งอู่นำรองเท้ามามอบให้นางหนึ่งคู่เช่นกัน ขนาดกำลังพอดีเสียด้วย

ซ่งอิงจึงไปเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าตัวใหม่ชุดนี้เสียเลย แล้วควบรถเกวียนลาน้อย มุ่งหน้าไปตัวอำเภอ

ตอนที่ 190 เป็นเพราะพรหมลิขิต

ต้าไป๋วิ่งอย่างรวดเร็ว ตลอดทางก็มีคนจำนวนไม่น้อยทยอยหันข้างมามอง

ซ่งอิงสวมหมวกบนศีรษะ มือหนึ่งถือแส้เส้นเล็ก จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นจอมยุทธ์ลึกลับในนิทานปรัมปรา

ระหว่างทาง ซ่งอิงมองเห็น ‘กลุ่มคน’ แปลกประหลาดกลุ่มหนึ่ง

เป็นคนของที่ทำการขุนนาง พร้อมด้วยพระและนักบวชลัทธิเต๋าประมาณสิบคนเห็นจะได้?

แต่เช้าตรู่เช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเร่งรีบเดินทางเหมือนกัน บังเอิญเผชิญหน้ากับนางพอดี ซ่งอิงมองดู เจ้าหน้าที่มือปราบที่อยู่หน้าสุด น่าจะเป็นคนที่จับขโมยสองคนที่บ้านนางก่อนหน้านี้

เจ้าหน้าที่มือปราบผู้นั้นมองเห็น…ลาของนางเช่นกัน

พูดตามตรง ลาที่มีความพิเศษเช่นนี้ ยากแก่การลืมเลือนจริงๆ

อย่าว่าแต่เหมือนม้าขาวดุจหิมะเลย หนำซ้ำยังดูกล้าหาญกว่าวีรบุรุษอีกด้วย ลาตัวหนึ่งก่อสงครามใหญ่กับขโมยสองคน ส่งผลให้หัวขโมยนั้น…จนถึงบัดนี้ยังทำใจยอมรับไม่ได้ วันๆ เอาแต่พูดว่าลาที่ตัวเองเจอไม่ใช่ลาธรรมดาทั่วไป

เจ้าหน้าที่มือปราบตะลึงงันไปชั่วครู่ จากนั้นก็เผลอเรียกรั้งรถลาของซ่งอิงไว้

“ท่านขุนนาง?” ซ่งอิงขมวดคิ้ว

เจ้าหน้าที่มือปราบผู้นั้นตะลีตะลานขึ้นมาชั่ววูบเช่นกัน พลันคิดว่าตัวเองบุ่มบ่ามไปหน่อย แต่พอนึกถึงลาตัวนี้ เจ้าหน้าที่มือปราบก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “แม่นางซ่ง ช่างบังเอิญจริงๆ พวกเรา…เตรียมไปหมู่บ้านสือโถวทำธุระกัน ไม่ทราบว่า…จะยืมลาของท่านสักสองวันได้หรือไม่”

ซ่งอิงมองเขาด้วยแววตาประหลาดใจ “ข้าเคยได้ยินว่าหัวไก่และเลือดสุนัขใช้ปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย ยังไม่เคยได้ยินว่าใช้เลือดลาได้กระมัง อีกทั้งลาข้าตัวนี้เป็นสีขาว ต่อให้พวกท่านตามหากีบลาดำ[1]อยู่ข้าก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน”

“เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้ว…” มือปราบรีบกล่าวทันควัน “มีบางอย่างที่ท่านไม่รู้ วันนั้นโจรกระจอกทั้งสองคนนั้นหลังกลับไป เอาแต่พูดว่าลาของท่านนี้ไม่ธรรมดา ข้าคิดอยู่ว่าพอจะมีประโยชน์ช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่…”

เขาเองก็รู้สึกเช่นกันว่าตนเองเสียมารยาทเกินไปจริงๆ แต่ในเมื่อรั้งไว้แล้ว เอ่ยปากสักนิดก็ไม่เป็นปัญหาเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้นนักบวชที่ค่อนข้างมีวิชาในเขตอำเภอหลี่ก็ถูกพวกเขาเชิญมาแล้ว มีลาเพิ่มอีกตัว ก็เป็นเครื่องรับประกันความปลอดภัยอย่างหนึ่งเช่นกันนี่!

ซ่งอิงกลับคิดว่าเรื่องนี้พิลึกมาก

เจ้าหน้าที่มือปราบผู้นี้ดูไม่เหมือนคนที่ไม่เข้าใจหลักการและเหตุผลขนาดนั้น ไยจึงเอ่ยคำขอประเภทนี้ออกมาได้

“ท่านขุนนาง ข้าจะไปตัวอำเภอแล้วยังมีธุระด้วยนิดหน่อย ดังนั้นเกรงว่าคงช่วยท่านไม่ได้…” ซ่งอิงเลือกปฏิเสธ

แม้ว่านางอยากรู้อยากเห็นเรื่องของหมู่บ้านสือโถวมาก แต่เกิดอีกฝ่ายอยากให้ลาสละเลือดจะทำอย่างไร ลาตัวนี้เป็นของที่นางจ่ายเงินสิบเจ็ดตำลึงเงินซื้อเอามา อีกทั้งยังฉลาดเฉลียวและใช้หัวไชเท้าขนาดใหญ่เลี้ยงดูมาตั้งหลายวันขนาดนี้…

วิ่งไวเสียยิ่งกว่าม้า ลาดีเช่นนี้ เป็นพรหมลิขิตเห็นๆ!

เจ้าหน้าที่มือปราบก็ไม่ได้ดื้อดึงร้องขอแต่อย่างใด ถอนหายใจออกมา “เป็นข้าที่สติฟั่นเฟือนไปเอง…เชิญแม่นางขอรับ”

ขณะเอ่ยพูดก็หลีกทางให้

เจ้าหน้าที่มือปราบผู้นี้ดูวิตกกังวลจริงจัง ท่ามกลางนักบวชเหล่านั้น มีสองคนที่ดูกระวนกระวายไม่เป็นสุข อาศัยจังหวะที่หยุดนิ่งในขณะนั้น ก้าวออกมาเบื้องหน้าแล้วเอ่ยพูด “เจ้าหน้าที่ขุนนาง ข้า…ตามจริงไม่ได้มีวิชาอาคมใด นั่นล้วนเป็นชาวบ้านคิดเป็นตุเป็นตะกันไปเอง อาจไม่มีความสามารถที่จะ…ขับไล่ภูตผีปีศาจได้…”

“ใช่ ข้าก็เช่นกัน…เดือนที่แล้วข้าไม่ทันระวังละเมิดศีลไป เลยเตรียมจะกลับสู่ทางโลกอยู่พอดีเชียว…”

ครั้นเจ้าหน้าที่มือปราบผู้นั้นได้ยินก็โมโหขึ้นมาเล็กน้อยทันที “เชิญพวกท่านไปทำพิธีพวกท่านกลับไม่ยินดี!? อย่าลืมไปล่ะว่าพวกท่านรับเงินกันแล้ว!”

“จริงอยู่ที่รับเงินมาแล้ว…พวกเราเอาคืนพวกท่านก็ได้…อีกอย่าง ตอนที่พวกท่านมาหาพวกเราก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องของหมู่บ้านสือโถวนี่…บอกท่านตามตรง หมู่บ้านสือโถว พวกเรารู้เรื่องแล้ว มีคนเคยไปทำพิธีแล้วเช่นกัน และนักบวชผู้นั้นก็เสียชีวิตด้วยละ…”

ซ่งอิงเอียงหูฟัง

ผีปีศาจ?

โลกพิลึกพิลั่นไปแล้วหรือ

คิดไม่ถึงว่าถึงขั้นทำให้คนตาย ฟังดูแล้วช่างน่ากลัวจริงๆ

“ที่พวกเขาพูดหมายถึงอะไรหรือ หมู่บ้านสือโถวเกิดอะไรขึ้นหรือ” ข้างๆ มีคนอื่นผ่านทางมาอดถามขึ้นไม่ได้

“เรื่องนี้จะว่าไปก็แปลกจริงๆ…พวกท่านยังไม่รู้กันอีกหรือ หมู่บ้านสือโถวแห่งนั้นมีคนตายต่อเนื่องสิบสองคนแล้ว ลำพังสองสามวันนี้ก็ตายไปถึงสามคน!”

[1] กีบลาดำ ในยุคจีนโบราณ คนจีนมีความเชื่อตามคำกล่าวโบราณเชิงลึกเกี่ยวกับเท้าหรือที่เรียกว่ากีบของสัตว์ ตัวอย่างเช่น กีบหมู กีบวัว กีบหมี แม้แต่ตีนไก่ อุ้งเท้าเป็ด… โดยเชื่อว่าสัตว์ทุกชนิดมีพลังไสยศาสตร์มาก ถือว่าพวกมันเป็นยาครอบจักรวาลและอาหารรสเลิศกินเพื่อให้อายุยืนยาว