ตอนที่ 8 ลานประลองเป็นตาย 1

ครึ่งเดือนต่อมา

ปัป! ปัป! ปัป!

ณ หุบเขาวายุเหมันต์ ชายหนุ่มชุดเขียวยืนอยู่หน้าโขดหินใหญ่พร้อมแทงกิ่งไม้ในมือขนาดเมตรกว่าไปข้างหน้า ฟาดแนวทแยง ฟันเป็นแนวตั้ง ตวัดแนวนอน ทุกจังหวะที่ชายหนุ่มเหวี่ยงกิ่งไม้ มันเกิดเสียงตัดลมเป็นจังหวะทุกครั้ง ยิ่งกว่านั้น ชายหนุ่มยังเพิ่มความเร็วในทุกกระบวนท่า เสียงลมที่กระทบดังก้องขึ้นราวกับกระทบหินขนาดใหญ่

เมื่อถึงจุดหนึ่ง ดวงตาของชายหนุ่มจ้องเขม็งก่อนจะขว้างกิ่งไม้ในมือใส่ต้นไม้ใหญ่ข้างหน้า กิ่งไม้พุ่งลอยไปอย่างรวดเร็ว เกิดเสียงตัดลมดังก้องทุกที่ที่มันพาดผ่าน มันใช้เวลาสองชั่วอึดใจในระยะสิบเมตรก่อนจะกระทบต้นไม้ใหญ่

ปั้ง!

กิ่งไม้ทะลุช่วงล่างของต้นไม้ใหญ่ที่ขนาดกว้างถึงสามคนโอบล้อม จากนั้นมันทะลุต้นที่สองจนทะลุถึงต้นที่ห้า กิ่งไม้ก็หยุดลงเมื่อถึงต้นที่หก

ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาขณะมองผ่านหลุมเล็กในต้นไม้เหล่านั้น “ด้วยอานุภาพของหินพลังปราณและหินเกราะพลังปราณจากผู้อาวุโสเชียน ควบคู่ไปกับการโคจรพลังปราณทองคำ ร่างกายเราแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก! ช่างน่าเสียดายที่กินยาเม็ดทั้งหมดไปแล้ว”

ชายหนุ่มผู้นี้คือหยางเย่ ในเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมา เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน เขาบ่มเพาะพลังกว่ายี่สิบชั่วโมง ภายใต้การฝึกฝนอย่างหนัก ยามนี้จึงเข้าสู่ระดับหกขั้นปราณมนุษย์เรียบร้อย แม้กระทั่งวิชาดาบพื้นฐานของสำนักก็ถูกฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ

วิชาดาบพื้นฐานของสำนักดาบราชันไม่ใช่สิ่งที่หายากเท่าไหร่ บรรดาศิษย์นอกสำนักล้วนได้รับทุกคน นอกจากหยางเย่ก็ไม่ผู้ใดที่ยังไม่ใช่ศิษย์นอกสำนักฝึกฝนวิชานี้ได้ แต่ไม่ว่าร้ายกาจเพียงใด มันจะเทียบกับวิชาดาบขั้นสูงเหล่านั้นได้หรือ?

ในอดีต หยางเย่คิดเช่นนั้น แต่เมื่อถูกลดขั้นสู่ศิษย์ชั้นแรงงาน เขามีเพียงทางเลือกเดียวคือการฝึกแค่วิชาดาบพื้นฐาน หลังจากบ่มเพาะพลังเป็นเวลาสองปี ทั้งยังฝึกฝนกำลังกายอย่างหนักหน่วง เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาดาบพื้นฐานอย่างเชี่ยวชาญ และหยางเย่รู้สึกว่าวิชาดาบพื้นฐานไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่ผู้อื่นคิด

วิชาดาบเหล่านี้รวมพื้นฐานทุกท่าของการใช้ดาบทั้งแทง ปาด กวาด ฟัน และตวัดขึ้น จากการฝึกหนักต่อเนื่องเป็นระยะเวลาสองปี การเคลื่อนไหวธรรมดาเหล่านี้กลับไม่ธรรมดาอีกต่อไป อย่างเช่นฉากการใช้ดาบก่อนหน้า ทุกครั้งที่เหวี่ยงดาบจะก่อให้เกิดเสียงตัดลมดังขึ้น ผลของมันคือสิ่งที่วิชาดาบขั้นสีเหลืองแห่งสำนักดาบราชันยังไม่สามารถทำได้

ดังนั้น หยางเย่จึงลงมือฝึกอย่างต่อเนื่อง เขาต้องการเห็นว่าวิชาดาบพื้นฐานสามารถแข็งแกร่งได้มากสุดแค่ไหน!

หยางเย่เงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าเพื่อดูเวลา เขาเห็นว่ามันเที่ยงตรงแล้ว หยางเย่ประกบมือเข้าด้วยกัน “วันนี้เราต้องสร้างยันต์ให้สำเร็จ!”

ในคัมภีร์วิชาปลุกยันต์ห้าธาตุที่เปาเอ๋อมอบให้ มีวิธีสร้างยันต์เสริมกำลังที่ไม่ซับซ้อนเกินไปอยู่ มันเป็นเพียงยันต์พื้นฐาน แต่มือใหม่แบบหยางเย่ที่เพิ่งเรียนรู้เกี่ยวกับยันต์และไร้ซึ่งผู้ให้คำแนะนำ มันจึงค่อนข้างซับซ้อนอย่างยิ่ง ในช่วงครึ่งเดือนนี้ เขายังไม่สามารถสร้างได้สักแผ่น เหตุผลหลักก็เพราะ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ค่อยอดทนที่จะทำเรื่องพวกนี้

ด้วยประสบการณ์ที่สืบมาจากความผิดพลาดในแต่ละครั้ง หยางเย่เริ่มเก่งขึ้นมาก ในสัปดาห์ก่อนหน้า เขาไม่ได้สร้างยันต์เสริมกำลัง แต่กลับศึกษามันตลอดเวลาแทน เขามุ่งเน้นจดจำวิถีทางยันต์และส่วนที่สำคัญของยันต์เสริมกำลัง

หยางเย่ทวนรายละเอียดของยันต์เสริมกำลัง ไม่นานจึงขึ้นไปนั่งไขว้ขาบนโขดหินและนำกระดาษยันต์ พู่กัน เลือดสัตว์อสูรทมิฬและสมุนไพรวิญญาณของเปาเอ๋อออกมา เมื่อเตรียมพร้อมแล้ว หยางเย่เปลี่ยนท่านั่งเป็นนั่งโน้มตัวไปข้างหน้า และเริ่มสูดลมหายใจตั้งสมาธิ

ต่อจากนั้น พลังปราณทองคำในร่างกายไหลเข้าสู่พู่กัน เขาเริ่มวาดตามรูปแบบวิธีสร้างยันต์ที่อยู่ในหัว

ขณะถือพู่กันเขียนยันต์ หยางเย่วาดอย่างระมัดระวังบนกระดาษ เส้นใยปราณทองคำในตัวไหลเข้าสู่กระดาษยันต์ผ่านพู่กัน หลังจากปราณทองคำมากมายไหลเข้าไปบนกระดาษ เส้นเหล่านั้นเลื้อยคลานราวกับหนอน เมื่อเห็นสิ่งนี้ หยางเย่รีบใช้พู่กันยันต์นำทางพวกมันเป็นลวดลายประหลาด

ระหว่างการสร้างยันต์ หยางเย่ไม่กล้าหายใจแรงและเพ่งสมาธิไปยังพู่กันบนกระดาษ สิบห้านาทีต่อมา เปลวไฟเส้นสีทองปรากฏขึ้นบนกระดาษยันต์ อีกสิบห้านาทีหลังจากนั้น หยางเย่ยกพู่กันออกจากเปลวไฟสีทองที่ปรากฏขึ้นบนกระดาษยันต์

หยางเย่สูดลมหายใจลึกเมื่อเห็นเปลวไฟก่อตัวขึ้น ท่าทางเขาเริ่มผ่อนคลาย แน่นอนว่ามันยังไม่เสร็จ มันเป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น ยังมีขั้นตอนต่อไปและยังเป็นขั้นตอนสำคัญ การปลูกฝังจิตวิญญาณเข้าสู่ยันต์!

กระบวนการปลูกฝังจิตวิญญาณเข้าสู่ยันต์ต้องฝังสมุนไพรวิญญาณและเลือดสัตว์อสูรทมิฬเข้าไป การผสมทั้งสองสิ่งลงไปต้องใช้พลังปราณแห่งสวรรค์และปฐพีเพื่อให้ยันต์มีจิตวิญญาณ

ขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่ยากที่สุดและเขาล้มเหลวเมื่อเดือนก่อน เพราะต้องวาดเปลวไฟอีกครั้งขณะที่ใช้เลือดสัตว์อสูรทมิฬ สมุนไพรวิญญาณ และพลังปราณทองคำพร้อมกัน

หากเขาล้มเหลวในขั้นตอนนี้ การปลุกยันต์ก็ล้มเหลวเช่นกัน!

หยางเย่สูดหายใจลึกและพยายามทำใจให้เย็นลง จากนั้นจึงหยิบขวดหยกขาวและเทมันลงไปยังกระดาษยันต์ เพียงชั่วครู่เขารีบหยิบอีกขวดเพื่อเทเลือดสัตว์อสูรทมิฬลงไป

ของเหลวสองอย่างผสมกันอย่างง่ายดายภายใต้ผลของพลังปราณทองคำ เขารีบหยิบพู่กันวาดลวดลายของเหลวตามทางลายไฟ

ขั้นตอนนี้จะยากที่สุดเพราะหยางเย่ต้องใช้พลังปราณล้ำลึกห่อหุ้มของเหลวทั้งสองระหว่างสร้างยันต์ มันเป็นการลำบากอย่างมากในการควบคุมพลังปราณวิญญาณและปราณล้ำลึก ในระหว่างขั้นตอน หากประมาทเพียงนิดเดียวหรือไม่มีความสามารถพอในการปลุกพลัง การสร้างยันต์ก็จะล้มเหลวได้!

เพราะครั้งหนึ่งเลือดสัตว์อสูรทมิฬและสมุนไพรวิญญาณไม่ถูกหุ้มโดยพลังปราณล้ำลึก เป็นผลให้พวกมันแยกออกจากกัน เมื่อมันแยกจากกัน เปลวไฟบนยันต์จะไม่ทำงาน กระนั้น ทุกอย่างที่หยางเย่ทำมาทั้งหมดจึงไร้ค่าทันที

หน้าผากเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นที่ไหลย้อยออกมา แต่หยางเย่ก็ไม่กล้ากระพริบตา เขากลัวรูปวาดจะบิดเบี้ยวหากกระพริบตา

กระบวนการยังดำเนินเรื่อยมาหลังจากวาดได้เกือบสามสิบนาที รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้าหยางเย่ ความตื่นเต้นที่แสดงออกมาไม่สามารถปกปิดได้ หลังจากนั้นอีกสิบห้านาที หยางเย่ยกพู่กันขึ้นทันที เมื่อนำพู่กันออกจากกระดาษ เปลวไฟบนกระดาษเปล่งแสงสีทองราวกับเปลวไฟจริง มันราวกับมีชีวิตอยู่และดูเหมือนของจริงอย่างเหลือเชื่อเมื่อมันอยู่บนกระดาษยันต์