บทที่ 94 หนังสือฉบับเด็ก

เจ้าของร้านพิศวง

หลินเจี๋ยไม่รู้เลยว่าเพื่อนบ้านตนแทบจะเป็นบ้าถึงกับตามหาผู้เชี่ยวชาญมาช่วยในการ ‘ขับไล่วิญญาณ’

แต่ต่อให้เขารู้ หลินเจี๋ยก็คงขำขันแบบผ่าน ๆ และอาจแนะนำให้อีกฝ่ายอย่าเสียเงินไปกับเรื่องไร้สาระ ในขณะเดียวกันก็ใจะช้คำพูดอันอบอุ่นพร้อมกับท่าทางพึ่งพาได้เพื่อตีโต้ความเข้าใจผิดทุกอย่างที่เพื่อนบ้านอาจจะมีต่อเขา

ปัจจุบัน หลินเจี๋ยกำลังใช้เลื่อยไฟฟ้ามาตัดไม้ที่เขาเอาขึ้นมาจากห้องใต้ดินเพื่อทำเตียงให้ตัวเอง

ต่อให้เรียกว่าเตียงก็เถอะ แต่ความจริงแล้วก็เป็นแค่ไม้กระดานไม่กี่อันมาตอกตะปูจนเป็นโครงไม้ ดูเรียบง่ายและหยาบนัก

โชคดีที่หลินเจี๋ยเคยเลือกคอร์สเรียนช่างเทคนิคมาบ้าง และงานฝีมือเขาโดยรวมก็ไม่ได้แย่อะไร ห้องใต้ดินเองก็มีอุปกรณ์พร้อมด้วย ไม่อย่างนั้นหลินเจี๋ยคงไม่สามารถทำเตียงแบบนี้ได้…

หลินเจี๋ยใช้เวลาไปแบบนี้ถึงสามชั่วโมงเต็ม และตอนนี้แสงก็สว่างพอจนเห็นถนนทั้งสายได้แล้ว

แม้ว่าสภาพอากาศยังคงหม่นเล็กน้อย แต่สายฝนมัวหมองที่ตกหนักตลอดถึงหนึ่งเดือนก็หยุดลงเสียที

การตัดไม้กระดานเป็นแค่จุดเริ่มต้น การต่อเตียงก็ไม่ต่างกับการทดสอบแรงกายเลยสักนิด

“ฟู่วว… เสร็จสักที” หลินเจี๋ยพึมพำพลางยืดแขนขณะที่มองไปยังผลงานที่สำเร็จด้วยความภูมิใจ

“เหนื่อยกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย”

หลินเจี๋ยอยากจะยกมือลูบคางตามนิสัย แต่ก็รู้ตัวดีว่ามือของตัวเองตอนนี้คลุกฝุ่นจากเลื่อยไม้จนหมด ดังนั้นจึงต้องถูมือปัดฝุ่นแทน ก่อนจะถอนหายใจยาวเมื่อก้มมองความเละเทะบนพื้น “เฮ้อ… นี่ยังต้องทำความสะอาดเองอีกสินะเนี่ย…”

“ให้ช่วยไหมคะ”

หลินเจี๋ยหันไปทางเสียงของเด็กสาว และเห็นมูเอนแอบมองจากราวบันได

“หืม? ทำได้เหรอครับ… มูเอน?”

การรับผู้ช่วยมาก็เพื่อลดภาระงานของหลินเจี๋ยก็จริง แต่ผู้ช่วยใหม่คนนี้เพิ่งจะได้รับความช่วยเหลือมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนและอาจกำลังอ่อนแอ หลินเจี๋ยเป็นห่วงว่าเขาอาจจะต้องเก็บกวาดอย่างอื่นพร้อมขี้เลื่อยไปด้วยนี่สิ

มูเอนพยักหน้า ใช้เวลาคิดพักหนึ่งก่อนจะยกแขนขึ้นเพื่อทำท่า ‘อวดกล้ามไบเซ็ปแขน’ โชว์

สภาพแขนผอมบางแถมยังมีผ้าพันแผลพันไว้อยู่กลับทำให้ดูน่าเวทนาเสียมากกว่า

เมื่อรวมเข้ากับสีหน้า ‘ไม่เห็นเป็นอะไรเลย’ ของเธอแล้ว มันก็ดูตลกอย่างน่าประหลาด

หลินเจี๋ยแนะนำกลั้วหัวเราะ “ได้เลยครับ บางทีเธออาจช่วยผมทำความสะอาดฝุ่นบนพื้นนี่ได้อยู่ ไม้กวาด ที่โกยผงกับถุงขยะอยู่ในตู้ด้านหลังครับ ระวังด้วยนะ อย่า…”

“หนูไม่ทำอะไรแตกหรอกค่ะ” มูเอนรับปากทันควัน

หลินเจี๋ยกุมขมับพลางถอนหายใจ “ผมเชื่อว่าเธอไม่ทำหรอกครับ ที่ผมหมายถึงคือระวังอย่าให้แผลเปิดต่างหาก เธอต้องเอาความเป็นอยู่ของตัวเองเป็นที่หนึ่งเสมอนะครับเข้าใจไหม”

“ไม้กวาดหักไปก็หาใหม่ได้ไม่รู้จบ แต่ตัวเธอมีแค่คนเดียวนะ”

มูเอนเอามือลงและอยากจะตอบโต้ด้วยคำพูดที่นักวิจัยเอ่ยเหลือเกิน…ว่าตัวเธอเป็นสิ่งที่ผลิตจำนวนมากได้ ทว่าเมื่อเห็นแววตาจริงจังของอีกฝ่าย เธอก็ตระหนักขึ้นมาว่าความหมายของทั้งสองอย่างนั้นมันต่างกันโดยสิ้นเชิง

มันต่างกันมากเลย… เด็กสาวรู้สึกอธิบายไม่ถูก แต่มันเป็นราวกับว่าเธอได้รับความอบอุ่นอีกครั้ง หลังจากที่เธอรู้สึกตอนอยู่บนหลังของหลินเจี๋ย

ความอบอุ่นของมนุษย์…

มูเอนพยักหน้าช้า ๆ พลางมองหลินเจี๋ยตรวจสอบเตียงใหม่สักพักก่อนย้ายมันขึ้นไปชั้นบน

คนนี้แปลกจัง น่ากลัวก็จริง แต่เวลาปกติแบบนี้ดันดูเป็นคนปกติธรรมดาซะได้ เหมือนที่มูเอนตัดสินแต่แรกเริ่มเลย

ทว่าเด็กสาวไม่เชื่อในความเข้าใจผิดนี้แน่

มูเอนค่อย ๆ เดินไปยังตู้ด้านหลัง

เธอเหลือบมองชั้นวางหนังสือที่มอบความหนาวสันหลังอันยากจะบรรยายอย่างระแวดระวัง ก่อนจะหยิบเครื่องมือทำความสะอาดจากตู้ออกมา

มูเอนคอยสังเกตหน่วยทำความสะอาดในห้องทดลองใช้เครื่องมือแบบนี้มาก่อน จึงรู้ได้ว่าของพวกนี้ใช้อย่างไร

แม้จะเงอะงะไปบ้างในช่วงแรก แต่ก็ค่อย ๆ ปรับตัวได้ในที่สุด

เมื่อโครงเตียงขึ้นไปครึ่งทางบันไดแล้ว หลินเจี๋ยก็เอ่ยขึ้นมา “หลังจากนี้จะเรียกผมว่าหัวหน้าหรือผู้จัดการร้านก็ได้นะครับ”

“หัวหน้า” มูเอนเรียกอย่างว่าง่าย

เมื่อหลินเจี๋ยวางโครงเตียงในห้อง เขาก็พบว่าผ้าคลุมและผ้าห่มบนเตียงเดิมถูกพับเก็บเสียเรียบร้อย

เฮ้ออ… เด็กนี่ฉลาดดีแฮะ

เมื่อเตรียมการวางฟูกนอนเสร็จ หลินเจี๋ยก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พลางจ้องมองแสงแดดเปล่งประกายจากทางหน้าต่าง และรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น

หลังจากนั้น หลินเจี๋ยก็ลงไปช่วยมูเอนทำความสะอาด ก่อนจะนำทางเธอไปดูร้านหนังสือ สุดท้าย เขาก็ไปอาบน้ำก่อนเปิดประตูเพื่อเตรียมรับลูกค้า

“วันนี้ดูไม่น่าจะมีลูกค้านะเนี่ย” หลินเจี๋ยพึมพำพลางเปิดสมุดลงทะเบียนบนที่นั่งปกติบนเคาน์เตอร์เขา

“อ้อใช่ หลังจากนี้เธอต้องจดชื่อลูกค้าประจำ เวลายืมหนังสือ แล้วก็ชื่อหนังสือนะ ลองเอาไปดูสิจะได้ชิน” หลินเจี๋ยว่าพลางยื่นสมุดลงทะเบียนให้มูเอน

เด็กสาวรับมาทั้งตัวแข็งทื่อ และทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ? ถ้ามีคำถามอะไรก็บอกผมได้นะ”

หลินเจี๋ยเตรียมตัวสอนเด็กสาวโดยที่ยังไม่รู้ว่าต้นตอของปัญหามันอยู่ตรงไหนเลยด้วยซ้ำ

หลังจากชายหนุ่มเอ่ยสอนอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้นแหละ จึงเข้าใจในที่สุดว่าผู้ช่วยใหม่คนนี้ความจริงขาดความรู้สำคัญทุกด้าน

พูดให้ถูก เธอไม่ได้รับการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการ

สิ่งที่เธอเข้าใจนั้นมาจากการ ‘มอง’ คนอื่น แต่ยังขาดการเรียนอย่างเป็นระบบอยู่นั่นเอง

ประเด็นใหม่เพิ่มขึ้นมาจากการเฝ้าสังเกตคือเด็กสาวอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่กลับเข้าใจเรื่องปรัชญาหรือคอนเซปต์การคำนวณอย่างง่ายเสียอย่างนั้น

หลินเจี๋ยนวดหว่างคิ้ว สัมผัสได้เลยว่าเรื่องนี้คงปวดหัวน่าดู

เฮ้อ… เด็กนี่โตมาด้วยสภาพแวดล้อมยังไงเนี่ย

มูเอนเห็นสีหน้าเขาดังนั้นจึงเผยอริมฝีปากขึ้นมา “หนูเรียนได้ค่ะ”

หลินเจี๋ยสัมผัสได้ว่าเด็กสาวเองก็พยายามดิ้นรน จึงรีบจัดแจงสีหน้าตัวเองใหม่เสีย “การอยากเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดีครับ เธอน่ะฉลาดมาก และผมเชื่อว่าคุณจะเรียนรู้ทุกอย่างได้ในไม่ช้าแน่นอน” หลินเจี๋ยปลอบเธอ

“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนครับ ตอนเรียนรู้ได้หมดนี่ แผลของเธอก็คงหายหมดแล้วละครับ ถึงตอนนั้นค่อยมาช่วยผมก็ได้

“ลองแบบนี้เป็นไงครับ? อ่านหนังสืออื่นไปก่อน แล้วพยายามเชื่อมโยงกับสิ่งที่เธอเรียนรู้มาก่อนเป็นไง ถ้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจละก็ มาถามผมได้เลยครับ”

หลินเจี๋ยลุกขึ้น และหลังคุ้ยไปสักพักก็ดึงสารานุกรมสัทศาสตร์ฉบับเด็ก และพจนานุกรมสำหรับเด็กออกมาแล้วยื่นทั้งคู่ให้มูเอน

เด็กสาวมนุษย์เทียมผงะไปเมื่อเห็นชื่อหนังสือ ‘กุญแจสู่ประตู : พื้นฐานแห่งปัญญาและสัญลักษณ์’

หลินเจี๋ยเห็นปฏิกิริยาเล็กน้อยของเด็กสาว จึงก้มมองหนังสือในมือด้วยความงุนงง

อืม ก็เอามาถูกเล่มนี่นา…

ตอนนั้นเองที่เขาคิดว่าหนังสือ ‘ฉบับเด็ก’ นี่อาจจะทำร้ายความภาคภูมิใจของเด็กสาวเข้า ดังนั้นเขาจึงคลี่ยิ้มอ่อนโยนและเอ่ยจากใจจริง “คนเราควรจะรู้วิธีเดินก่อนจะวิ่งได้นะครับ อย่าบึ้งตึงกับหนังสือสำหรับเด็กสองเล่มนี้เลย ของพวกนี้เป็นความรู้พื้นฐานเท่านั้น ยังมีอีกเยอะให้เรียนรู้เลยนะครับ”