ตอนที่ 206 อู๋เหวยเข้าอาราม ตอนที่ 207

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 206 อู๋เหวยเข้าอาราม / ตอนที่ 207 อาจารย์ปู้ฉิวไม่ได้เก่งเพียงสองอย่าง

ตอนที่ 206 อู๋เหวยเข้าอาราม

ครึ่งเซียนเถี่ยคิดไม่ถึงว่าฉินหลิวซีจะชวนเขาไปเป็นนักพรตในอารามชิงผิง เอ่ยตามตรง ความสามารถที่เขามี เป็นเพราะร่ำเรียนมาจากการติดตามนักพรตเต๋าผู้หนึ่ง เรียกว่าเรียนรู้ลัทธิเต๋าไปครึ่งทางก็ยังไม่ได้

เขาเชี่ยวชาญการทำพิธีศพเพราะติดตามไปบ่อยครั้ง อาศัยสังเกตการณ์และการหลอกลวงเป็นหลัก บางครั้งเขาก็ไม่แน่ใจกับการทำนายนัก

ครึ่งเซียนเถี่ยไม่คิดว่าตนเองเป็นนักพรตเต๋าด้วยซ้ำ ต่อมาเมื่อนักพรตเต๋าจากไปแล้ว เขาก็อยู่ตัวคนเดียว กลายเป็นนักพรตเต๋าเร่ร่อน ไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง

เขาย่อมรู้จักอารามชิงผิง ช่วงนี้ยังได้ยินมาว่าเครื่องรางอยู่เย็นเป็นสุขของอารามชิงผิงนั้นได้ผล ดังนั้นจึงมีความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ เขายังตั้งแผงลอยอยู่ด้านล่างอารามชิงผิง ขายยันต์อยู่เย็นเป็นสุขอันสองอัน

แน่นอน เขาขายออกไปได้เพราะอาศัยบารมีของอารามชองผิง เพราะเขาวาดเหมือนกับของอารามชิงผิงทุกประการ

เอ่ยตามตรงก็คือการหลอกลวง

ยามนี้นักพรตเต๋าอารามชิงผิงมายืนอยู่ตรงหน้า ยังเชิญเขาไปลงนามที่วัด เอ่ยตามตรง ครึ่งเซียนเถี่ยเกิดรู้สึกละอายใจขึ้นมา ไม่กล้ามองหน้าฉินหลิวซี กลัวอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงเรื่องที่ตนเคยทำ

“ข้าเป็นเพียงนักตุ้มตุ๋น ไปเข้าตาท่านเจินเหรินได้เยี่ยงไรกัน” ครึ่งเซียนเถี่ยกลัวว่าฉินหลิวซีจะแกล้งเขา ดังนั้นเขาจึงพยายามทดสอบและระแวดระวังไปด้วย

ฉินหลิวซีเอ่ย “หนึ่งเจ้ายากจน สองร่ำเรียนไม่แตกฉาน ไม่เข้าตาข้าเลยจริงๆ”

ครึ่งเซียนเถี่ย “!”

อย่าทำร้ายกันเยี่ยงนี้เลย

“ทำพิธีได้ก็พอแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ย “ไปเถิด ขึ้นเขาไปด้วยกัน”

ครึ่งเซียนเถี่ยอยากปฏิเสธ แต่คิดดูตนเองก็ไม่มีที่ไป อีกทั้งชื่อเสียงของอารามชิงผิงก็ดี ไปลองดูสักหน่อยดีหรือไม่

เมื่อไปครั้งนี้แล้ว เขาก็ไม่อาจจากไปที่ใดได้อีก

หลังจากฉินหลิวซีฝังโกศเถ้ากระดูกของผู้เฒ่ากวนแล้ว จึงเข้าไปในอาราม เขียนป้ายวิญญาณหนึ่งแผ่น รวบรวมป้ายเหล่านั้นที่เขาเคยวางเอาไว้ที่ร้านขายโลงศพ นำมายังห้องโถงหลังความตาย

“ครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา โชคดีและน่าเสียดาย” นางมองป้ายเหล่านั้น ถอนหายใจออกมา จุดธูปและปักลงไป

ครึ่งเซียนเถี่ยมองห้องโถงหลังความตาย มีป้ายมากมายวางอยู่บนชั้น เฉินผีอธิบายอยู่ด้านข้างว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ตายจากไปแล้วไม่มีผู้คอยสักการะ อารามเต๋าจึงคอยจุดธูปสักการะให้

อารามชิงผิงมีเมตตาเพียงนี้

ครึ่งเซียนเถี่ยคิดอยากนำแผ่นป้ายของนักพรตชรามาไว้ที่นี่ หลังจากนี้นับว่ามีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งแล้ว

ฉินหลิวซีพาครึ่งเซียนเถี่ยไปหาชิงหย่วน ชิงหย่วนกำลังยุ่ง เมื่อเห็นนางมา ราวกับมองเห็นตัวช่วยมือดี

“ศิษย์พี่มาได้เวลาพอดี ที่โถงใหญ่มีแขกมาขอ…เอ๋ นักพรตผู้นี้คือใครหรือ” ชิงหย่วนมองเห็นครึ่งเซียนเถี่ย กวาดตามองขึ้นลงหนึ่งรอบ เอ่ย “นักพรตเต๋าเช่นกันหรือ”

ครึ่งเซียนเถี่ยยิ้มเขินอาย “นักพรตที่มีน้ำอยู่ครึ่งถัง ศิษย์พี่มีมารยาทแล้ว”

“เมื่อวานเจอนักต้มตุ๋นคนหนึ่งเข้ามาหลอกข้า” ฉินหลิวซีเล่าถึงที่มาที่ไปของครึ่งเซียนเถี่ย “เขาทำพิธีได้ ต่อไปหากมีเรื่องเหล่านี้ ส่งเขาไป แต่ละวันก็เรียกเขามาช่วยได้”

ชิงหย่วนได้ยินว่าครึ่งเซียนเถี่ยหลอกฉินหลิวซีก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมา ไม่มีตาจริงๆ ถูกบรรพบุรุษตัวน้อยของเขาจับได้เสียแล้ว

ครึ่งเซียนเถี่ย “…”

“เจ้าชื่ออะไร” ฉินหลิวซีเอ่ยถามเขาอีกครั้งโนเวลพีดีเอฟ

ครึ่งเซียนเถี่ยเอ่ย “ชื่อจริงนามว่า เถี่ยโหย่วเฉิง ติดตามนักพรตเร่ร่อนเพื่อศึกษาลัทธิเต๋า เขาตั้งฉายาในลัทธิเต๋าให้ข้าว่า อู๋เหวย”

เฉินผีที่อยู่ด้านข้างได้ยิน จึงเอ่ยอย่างเหยียดหยาม “มีนามว่าอู๋เหวย เช่นนั้นไยเจ้ายังเรียกครึ่งเซียนอยู่เล่า”

ครึ่งเซียนเถี่ยหัวเราะเบาๆ “เรื่องนี้ท่านไม่เข้าใจแล้ว ก็ไม่ใช่เพราะง่ายต่อการหลอกลวงหรือ เอ่อ ไม่ๆ มันง่ายต่อการท่องยุทธภพน่ะ น่าเกรงขามและลึกลับ ได้รับความไว้วางใจได้ง่ายด้วย”

เฉินผี ดูเอาเถิด เจ้ายังมองเห็นตาดำๆ ของข้าอยู่บ้างหรือไม่

ตอนที่ 207 อาจารย์ปู้ฉิวไม่ได้เก่งเพียงสองอย่าง

ครึ่งเซียนเถี่ย ไม่สิ นับจากนี้ควรเรียกว่าอู๋เหวย เขาจึงได้อาศัยอยู่ในอารามชิงผิงด้วยประการนี้ ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ มีผู้แสวงบุญมาจุดธูปขอพรจำนวนมาก เป็นเวลาที่กำลังต้องการนักพรตพอดี ชิงหย่วนก็ไม่ได้คาดหวังให้อู๋เหวยทำได้ตั้งแต่ครั้งแรก หยิบชุดคลุมเต๋าออกมาจากกระเป๋าของตนให้อู๋เหวยเปลี่ยน แนะนำโถงต่างๆ อย่างง่ายๆ ให้อู๋เหวยรู้จัก จากนั้นจึงพาเขาไปต้อนรับผู้มาแสวงบุญ

ส่วนฉินหลิวซี นางที่ไม่ได้นอนทั้งคืนก็ไม่ได้กลับเข้าเมืองทันที พักอยู่ในเรือนพักเต๋าของตนเอง ยังนอนได้ไม่ถึงสองชั่วยามดี พอใกล้เวลาเที่ยงก็ถูกคนปลุกขึ้นมาแล้ว

“อาจารย์อาปู้ฉิว เชิญมาที่ห้องโถงใหญ่หน่อยเถิด มีคนดีคนหนึ่งมาพร้อมกับเด็กในอ้อมแขนของเขา เขาบอกว่ามีมารร้ายสิงสู่ขอรับ อาจารย์อาชิงหย่วนเชิญท่านไปดูสักหน่อยเถิดขอรับ” นักพรตน้อยเอ่ยอย่างนอบน้อม

ฉินหลิวซีหาว หยิบน้ำบริสุทธิ์ขึ้นมาหนึ่งถัง หยิบถุงเข็มเงินติดตัวขึ้นมา เดินออกไปเชื่องช้า

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงวัน ผู้แสวงบุญมาจุดธูปน้อยลงแล้ว หญิงคนหนึ่งมีผ้าพันผมกำลังอุ้มเด็กร้องไห้อยู่ที่ลานเล็กๆ หน้าห้องโถงใหญ่ เหล่าผู้แสวงบุญมาห้อมล้อมชี้ไม้ชี้มือ “ท่านอย่าเพิ่งร้องไห้ ศิษย์พี่ปู้ฉิวกำลังมาแล้ว”

“ท่านนักพรต ท่านนักพรตต้องช่วยลูกของข้านะเจ้าคะ เขาคือชีวิตของข้า หากเป็นบ้า แม่สามีและบุรุษผู้นั้นต้องตีข้าตายอย่างแน่นอน” สตรีผู้นั้นร้องห่มร้องไห้ตบปากตนเอง เอ่ย “ต้องโทษข้า พาเขาไปเก็บเห็ดอะไรนั่นที่ป่าวั่นไหว ทำให้ลูกของข้ามีมารร้ายมาสิงสู่”

บางทีนางอาจเป็นชาวนาที่ทำงานมาตลอดหลายปีจึงมีแรงมาก เมื่อนางตบปากตนเอง ใบหน้านางจึงแดงเถือกและบวมเป่งขึ้นมา ผู้คนที่อยู่รอบข้างอ้าปากค้างด้วยความตกใจ

อู๋เหวยยังรู้สึกว่าแก้มของตนเจ็บไม่เบา คิดว่าสตรีนางนี้โหดร้ายกับตนเองมากจริงๆ

แต่ก็ถูก คนเป็นมารดา ไหนเลยจะไม่สนใจลูกของตน นั่นยังนับว่ามีความรับผิดชอบ หากเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ ตระกูลของสามีจะไม่เอาชีวิตนางจริงๆ หรือ

ครอบครัวชาวนา เด็กสาวไร้เดียงสานั้นไร้ค่า แต่ลูกน้อย นั่นกลับเป็นดั่งชีวิต

เมื่อมองดูเด็กอีกครั้ง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง น้ำลายหยดลงมาจากมุมปาก ส่งเสียงหัวเราะแปลกๆ เป็นครั้งคราว ดูน่ากลัวนัก

คล้ายกับถูกมารร้ายสิงสู่อยู่

“ศิษย์พี่ มีมารสิงสู่จริงหรือ” อู๋เหวยกระซิบ “ป่าวั่นไหวก็ไม่ใช่สถานที่ที่มีไอชั่วร้ายนัก ไม่ลองไปเอาขี้เถ้าที่กระถางธูปตรงหน้าท่านปรมาจารย์ลัทธิเต๋าผสมน้ำแล้วดื่มดูเล่า ท่องคาถาปัดเป่าวิญญาณสักหน่อย ไม่แน่อาจจะได้ผลก็เป็นได้”

ชิงหย่วนแทบจะสำลักตายกับคำพูดเหล่านี้ จ้องมองเขาแล้วดุ “อย่าเอ่ยเรื่องไร้สาระ เรายังไม่ถึงจุดนั้น ศิษย์พี่ปู้ฉิวมาก็พอแล้ว”

อู๋เหวยหดคอ คิดในใจว่าศิษย์พี่ปู้ฉิวผู้นั้นเยี่ยมยอดนักหรืออย่างไร เขามาก็ได้แล้ว เพียงชั่วครู่ก็สามารถไล่มารร้ายนี้ออกไปได้อย่างนั้นหรือ

เขาเองก็ยุ่งมาครึ่งค่อนวันแล้ว นักพรตชรา หรือนักพรต นักพรตน้อยต่างก็ได้เห็นแล้ว แต่กลับไม่เห็นศิษย์พี่ปู้ฉิวผู้นั้นเลย กำลังฝึกชาญสมาธิหรืออย่างไร

“ท่านนักพรต หากมารร้ายสิงสู่ พวกท่านไม่อาจช่วยกำจัดมารนี้หรือ ยังต้องรอนักพรตท่านอื่นหรือ” ในบรรดาคนที่เฝ้าดูอยู่โดยรอบ มีเสียงสตรีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ว่ากันว่ายันต์อยู่เย็นเป็นสุขของพวกท่านได้ผลไม่ใช่หรอกหรือ นี่ยังรักษาไม่ได้ หรือเป็นเพียงชื่อเสียงจอมปลอมกันเล่า”

น้ำเสียงในคำถามนี้ มีความสงสัยในความสามารถของอารามชิงผิง

แน่นอน สตรีมีอายุผู้นี้เอ่ยขึ้น ผู้คนรอบข้างก็เริ่มส่งเสียงฮือฮา ดังขึ้นเรื่อยๆ ทุกขณะ

ชิงหย่วนลอบคิดว่าแย่แล้วอยู่ในใจ นี่กำลังส่งผลกระทบไปถึงชื่อเสียงของอารามชิงผิงที่กำลังดีขึ้นมากในช่วงนี้

เขากระแอมไอ เอ่ย “มิใช่ว่าเขากำจัดมิได้ แต่เพราะพลังหยางของเด็กผู้นี้อ่อนแอ ทั้งยังเข้าไปในป่าวั่นไหวอีก ที่นั่นเป็นป่าลึก แสงแดดน้อย พลังหยินมีมาก เด็กผู้นี้มีพลังหยางไม่เพียงพอยังจะถูกพลังหยินเข้าแทรก จึงมีอาการวิกลจริต สำหรับอาการนี้ศิษย์พี่ปู้ฉิวมีวิธีรับมือได้ดีกว่า พอดีเขาก็อยู่ในอารามจึงจะให้เขาเป็นคนรักษา”

“ปู้ฉิว ที่บอกว่าเขาทำนายแม่นผู้นั้นน่ะหรือ การรักษาที่ท่านบอก เขารู้วิธีการรักษาด้วยหรือ” สตรีมีอายุผู้นั้นเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

อู๋เหวยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ปรายตามองไป เห็นสตรีแม้จะอยู่ในชุดธรรมดา ทว่ามือสองข้างกลับไม่หยาบกระด้าง หูทั้งสองข้างสวมต่างหูเงิน กระโปรงยังมีลายปัก ใบหน้ากลมกลึงดูมีน้ำมีนวล

น้ำเสียงนี้ก็ช่างเป็นที่น่าดึงดูดหัวใจให้โอนอ่อนได้เป็นอย่างดี

อู๋เหวยเอ่ยกับชิงหย่วน “ศิษย์พี่ชิงหย่วน สตรีผู้นี้เกรงว่าคงมาสร้างเรื่อง ระวังอย่าตกหลุมพรางเล่า”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

ชิวหย่วนเหลือบมองเขาเล็กน้อย มองท่าทางของสตรีผู้นั้นอย่างละเอียด เอ่ย “เกรงว่าคงจะเป็นสาวใช้จากตระกูลร่ำรวยสักตระกูล”

เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มใจเย็น “นักพรตสิบคนเป็นหมอเก้าคน อารามชิงผิงยังมีหมอรักษาในแบบเต๋า วิชาการแพทย์ไม่เลว เดี๋ยวพวกท่านก็จะได้เห็นแล้ว”

ฉินหลิวซีที่เพิ่งมาถึงมีหูตาแหลมคม ได้ยินคำของชิงหย่วนก็ซวนเซแทบหันหลังกลับ

ชิงหย่วนเจ้าคนชั่ว ยกยอนางขึ้นสูง ยังคิดจะให้นางต้องเหนื่อยจนตาย

เดี๋ยวตบให้หัวกระเด็นเลย

ชิงหย่วนเองก็มองเห็นนางจึงเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ปู้ฉิวมาแล้ว”

อู๋เหวยมองตามไป เห็นฉินหลิวซีใบหน้าทะมึน เดินเข้ามาราวกับตัวร้าย เขาเผลอหดคอลงทันที อะไรกัน อีกฝ่ายคือศิษย์พี่ปู้ฉิวหรือ

พวกเขาแทบเป็นพ่อนางได้แล้วกระมัง ยังต้องมาเรียกนางว่าศิษย์พี่ เหอะ

ให้ตาย เขาติดกับดักแล้วจริงๆ

“ศิษย์พี่ ท่านรีบดูเด็กผู้นี้ ไปป่าวั่นไหวมา สูญเสียไอหยางจนมารสิงสู่” ชิงหย่วนทำเป็นไม่เห็นสายตาดุจคมมีดของฉินหลิวซี ชี้ไปยังสองแม่ลูก

“ท่านนักพรตปู้ฉิว อายุน้อยเพียงนี้หรือ ทำได้หรือ” สตรีมีอายุผู้นั้นมองเห็นฉินหลิวซีก็ชะงักไปเล็กน้อย นึกสงสัยขึ้นมา

ฉินหลิวซีไม่ได้นอน ยังตื่นไม่เต็มตา มาถึงที่นี่ยังถูกชิงหย่วนยกยอขึ้นสูง กำลังหงุดหงิดอยู่ภายในใจ ได้ยินคำนี้ จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก “ได้หรือไม่ก็ต้องรักษา ไม่รักษาก็เข้าเมืองไปหาหมอ”

โอ้โห นักพรตน้อยผู้นี้ช่างเสียงแข็งยิ่งนัก

เหล่าฝูงชนผู้แสวงธรรมมีเสียงพึมพำ

สตรีมีอายุผู้นั้นก็คอหดด้วยความกลัว หมอในเมือง รักษามารสิงสู่ได้หรือ

นางจึงไม่กล้าต่อล้อต่อเถียง กลัวทำให้ล่าช้าไปกว่าเดิม ทำให้เด็กชายกลายเป็นบ้าไปจริงๆ จึงกัดฟันพลางเอ่ย “รักษา รักษา ขอท่านนักพรตช่วยลูกข้าด้วย”

ฉินหลิวซีส่งเสียงหึเบาๆ เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา คุกเข่าลง มองดูใบหน้าของเด็ก จับชีพจร ใช้มือกดจุดลมปราณแล้วนวดเบาๆ เพียงชั่วครู่ เด็กคนนั้นก็ไม่มีน้ำลายไหลแล้ว

“น้ำลายไม่ไหลแล้ว ไม่หัวเราะคิกคักแล้วด้วย” มีนักแสวงบุญร้องอุทานขึ้น สตรีเจ้าปัญหาเองก็จับจ้องเขาไม่วางตา

ฉินหลิวซีหยิบถุงเข็มเงินที่นางถือติดตัวออกมา ให้สตรีผู้นั้นวางเด็กลง เมื่อเปิดถุงออกแล้วหยิบเข็มเงินออกมา จากนั้นก็แทงเข็มแต่ละเล่มอย่างเอียงๆ ไปยังจุดกลางเส้าซัง ต้าหลิง ทิ่มแทงจากตื้นไปลึกเสมอโดยยกและบิดซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง ก่อนจะฝังเข็มลงในจุดใหม่

ผู้คนแปลกใจ การฝังเข็มมิใช่หมอถึงจะทำได้หรือ เด็กถูกมารร้ายสิงสู่ยังใช้การฝังเข็มได้ด้วยหรือ เป็นไปได้หรือ

สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจมากที่สุดก็คือ การฝังเข็มของนักพรตปู้ฉิวทั้งนิ่งสงบและแม่นยำ แต่เขายังคงหาวอยู่เลย มือข้างหนึ่งฝังเข็ม มืออีกข้างยังเคลื่อนไหวเคล็ดวิชาที่พวกเขาไม่เข้าใจ

เขาดูไม่ใส่ใจแต่เด็กก็เงียบลงไม่น้อย

อู๋เหวยเองก็ตกตะลึงเช่นกัน ที่แท้เทพอสูรน้อยก็ไม่ได้เก่งเพียงสองอย่าง แต่ทำได้หลายอย่าง

************************