เฉินลั่วคงความนิ่งเงียบยามอยู่ต่อหน้าบิดา
ท่าทีนี้ของเขาทำให้เฉินอวี๋ไม่พอใจมากขึ้น ถึงขั้นที่ความโกรธพุ่งทะยาน บอกให้เฉินลั่วเข้าวังไปปฏิเสธตำแหน่งนี้เสีย ยังสั่งสอนเขาว่า “ข้าเห็นเจ้าอาศัยความโปรดปรานของฮ่องเต้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งไร้เหตุผล เจ้ารู้หรือไม่ว่าทั้งในและนอกราชสำนักมีคนคอยจับจ้องจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเราอยู่มากมายเพียงใด มีคนเท่าไรที่ตั้งตารอให้จวนเจิ้นกั๋วกงตกลงมาจากอำนาจ ข้ากับพี่ชายใหญ่ของเจ้าระมัดระวังอย่างยิ่งยวดประหนึ่งย่ำอยู่บนผิวน้ำแข็งบางทุกวัน ด้วยกลัวจะถูกผู้อื่นแต่งเรื่องแล้วเอาไปพูดให้ร้ายต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ เจ้ากลับดีเหลือเกิน ทำอะไรอหังการ ขาดความระมัดระวัง เริ่มขอยศขอตำแหน่งจากฮ่องเต้ตั้งแต่เป็นเด็ก ข้าสอนสั่งเจ้าเช่นนี้หรือ เจ้าอยากเห็นจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเราล่มสลายก่อนถึงจะเรียนรู้ว่าอะไรคือพูดอย่างรอบคอบกระทำอย่างระมัดระวังใช่หรือไม่”
การที่ถูกเขาเฆี่ยนตีมานับครั้งไม่ถ้วนทำให้เฉินลั่วรู้จักวิธีรับมือกับความเดือดดาลของบิดา
เขารู้ว่า ขอเพียงเขาก้มศีรษะลงยอมรับผิด แสดงออกว่าเขายอมจำนน และรับปากว่าจะให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและอนาคตของจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นหลัก ถึงบิดาของเขาจะต่อว่าเขาต่อไปอีกสองสามประโยค ทว่าก็เปลี่ยนจากเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็ก จากเรื่องเล็กเป็นไม่มีเรื่องได้ ส่วนเขานั้น เพียงยอมรับปากเปล่าเท่านั้น เมื่อหมุนกายกลับไปสมควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น อย่างมากคราวหน้าหากบิดาของเขาจับได้อีกครั้ง เขาค่อยรับปากอีกรอบเหมือนครั้งก่อนหน้าก็พอ
แต่ครั้งนี้ คำพูดของเฉินอวี๋กลับทำให้เฉินลั่วรู้สึกว่าฟังอย่างไรก็ให้รู้สึกอึดอัด
ระมัดระวังอย่างยิ่งยวดประหนึ่งย่ำอยู่บนผิวน้ำแข็งบาง บุรุษใหญ่มีอำนาจอยู่ในมือกลับสั่นคลอนง่ายเช่นนี้ มิใช่เป็นเพราะบิดาของเขาไร้ความสามารถหรอกหรือ
จวนเจิ้นกั๋วกงล่มสลาย แม้แต่ซื่อจื่อตนก็มิใช่ ต่อให้จวนเจิ้นกั๋วกงล่มสลาย ก็มิใช่ความรับผิดชอบของเขา เหตุใดเขาต้องเป็นแพะรับบาปด้วย?
ข้าสอนสั่งเจ้าเช่นนี้หรือ เขาเคยสอนสั่งตนเมื่อใดกัน ทุกครั้งที่เขาเจอหน้าตนล้วนมีท่าทีหงุดหงิดรำคาญ ไม่พอใจอยู่ตลอด พูดอะไรไม่เข้าหูเพียงสองประโยคก็เริ่มตำหนิเขาแล้ว สิ่งที่ปฏิบัติกับเขากับที่ปฏิบัติกับเฉินเจวี๋ยต่างกันราวฟ้ากับเหว เขาเอาอะไรมาวิพากษ์วิจารณ์ตนเช่นนี้?
ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งๆ ที่เฉินลั่วรู้ดีว่าควรรับมือกับบิดาของเขาอย่างไร แต่ครั้งนี้เขากลับไม่คิดเช่นนั้น ฉับพลันนั้นรู้สึกตื่นเต้นเหมือนตอนเขาอายุแปดถึงเก้าขวบ เชิดคางขึ้นแสยะยิ้มเย็นให้บิดาของเขาครั้งหนึ่ง คำพูดดุจมีดคมเสียดแทงใส่เฉินอวี๋ “ถ้าหากท่านพ่อรู้สึกว่าการนั่งอยู่ในตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงเหมือนนั่งอยู่บนเบาะผ้าสักหลาดฝังเข็ม มิสู้ไปกราบทูลฮ่องเต้ขอลาออกจากตำแหน่ง พวกข้าสองพี่น้องก็จะได้ตามท่านพ่อไปเด็ดเบญจมาศที่ภูเขาทักษิณ ใช้ชีวิตอิสรเสรีเยี่ยงชาวนาชนบท แต่จะให้ข้าไปปฏิเสธความรักความปรารถนาดีของเสด็จลุงนั้น ข้าคงไปไม่ได้ หากต้องไป ก็ต้องเป็นท่านพ่อไปหารือกับเสด็จลุง ให้เด็กหนุ่มที่ยังไม่สวมกวนอย่างข้าเข้าวังไปคุยกับฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสในบ้านไปอยู่ที่ใดกันหมด?…
…ท่านดูฮ่องเต้ก็รู้แล้ว อยากเลื่อนตำแหน่งให้ข้า ไม่เรียกข้าไปย้ำกำชับ กลับเรียกท่านพ่อเข้าไปหารือแทน ก็ไม่แปลกที่ท่านพ่อจะดำรงตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวดประหนึ่งย่ำอยู่บนผิวน้ำแข็งบาง!”
เฉินอวี๋เดือดดาล
เฉินอิงก็เหมือนกับเมื่อก่อน ก้าวออกไปขวางบิดาไว้ได้อย่างถูกจังหวะ ขอร้องอ้อนวอนว่า “ท่านพ่อคลายความโกรธลงก่อน น้องชายยังเด็ก ค่อยๆ สอนกันไปก็ได้แล้ว ท่านอย่าถือสาเขาเลย นายทหารยศขั้นหนึ่งล่างที่ยังไม่สวมกวน รัชสมัยนี้ไม่เคยมีมาก่อน น้องชายก็แค่ออกนอกลู่นอกทางไปชั่วขณะ เห็นแต่ความสวยงามของดอกไม้บนผ้าทอ ไม่เห็นอันตรายที่ซ่อนอยู่ด้านหลังของมัน”
เฉินลั่วแสยะยิ้มเย็น
เขามิใช่เฉินลั่วตอนเป็นเด็กผู้นั้นอีกแล้ว สำหรับพี่ชายไร้ค่าของตัวเองผู้นี้ เขาโยนทิ้งไปนานแล้ว
เฉินลั่วทำตามที่ใจตัวเองปรารถนา ขณะที่เฉินอิงกำลัง ‘ขอความเมตตา’ ให้ตนอยู่นั้นเขาคว่ำโต๊ะแล้วสะบัดแขนเสื้อจากมา เมื่อกลับถึงเรือนเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยก็ไปตามนัดของหวังซี
เขาปีนกำแพงข้ามไป เห็นสวนร่มหลิวที่อุดมไปด้วยดอกไม้ต้นไม้ ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ไม่รู้ว่าโบยบินมาจากที่ใด พริบตานั้นอารมณ์ก็สงบลงมา
ตอนนั้นเฉินลั่วคิดว่า บางทีสาเหตุที่วันนี้เขารู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้ เป็นเพราะเขาไม่อยากให้การนัดพบในครั้งนี้ต้องล่าช้า
กระทั่งเขานั่งลง ละเลียดชิมขนมดอกหอมหมื่นลี้ที่ตระกูลหวังส่งมาให้ จิบชาโบตั๋นขาวที่หวังซีแนะนำให้เขา เขาก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรแล้ว
ตกลงเขาทนท่าทีเสแสร้งของบิดาและพี่ชายใหญ่ที่แสดงต่อหน้าเขาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว หรือเป็นเพราะทนเสด็จลุงไม่ได้กันแน่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบิดาเป็นอย่างไร ทว่าก็ยังเอาแต่คาดหวังให้เขาคืนดีกับบิดา ทุกครั้งที่เกิดเรื่องใหญ่กับคนของเขามักจะข้ามเขาไปปรึกษากับบิดาโดยตรง
เฉินลั่วดื่มชาและกินขนมเสร็จแล้ว ร่างกายผ่อนคลาย ความง่วงงุนเริ่มคืบคลานเข้ามา
เขามิใช่คนปล่อยตัวเองให้ลำบาก เอนตัวนอนอยู่บนเตียงอย่างที่ใจปรารถนา หลับตาลง ร่างกายต้องการนอนแล้ว ทว่าสมองกลับไม่ยอมพักผ่อน ขบคิดไปมาไม่หยุด
ผู้ช่วยสองคนที่หลงจู๊ใหญ่หวังแนะนำมาให้เขานั้นมาได้ทันเวลาจริงๆ เขาไปพบทั้งสองคนมาแล้ว คนที่อายุน้อยกว่าค่อนข้างหยิ่งผยอง ไม่รอเขาเอ่ยปากก็ประกาศอย่างชัดเจนว่าที่ตัวเองยินดีเป็นผู้ช่วยของเขาก็เพื่อรอลงสนามสอบขุนนางครั้งถัดไป อย่างมากสุดก็สองปี ไม่อยู่กับเขานาน
ส่วนคนที่อายุมากกว่าดูสงบ แต่เอาแต่พูดว่าอยากอยู่กับเขาจนแก่เฒ่า ช่วยเขาดูเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวัน หากอยากให้เขาให้คำปรึกษาคิดแผนการนั้น เกรงว่าคงต้องให้เวลาเขาคิดสักหน่อย
ทั้งสองคนยังไม่ค่อยถูกใจเขานัก
เพราะเหตุนี้ วันนี้เขาควรจะบอกหวังซีไปตามตรง ให้ตระกูลหวังแนะนำคนให้เขาใหม่ หรือไม่ก็ปฏิเสธตระกูลหวังไปตามตรง ทว่าเขากลับเอาแต่ฟังหวังซีเจื้อยแจ้วจนลืมพูดเรื่องนี้กับนาง
บางทีอาจมีส่วนสัมพันธ์กับความเคยชินของเขาที่เวลาเจอเรื่องอะไรก็มักจะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ก็เลยไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
แต่เขาก็ต้องการผู้ช่วยสักคนหนึ่งจริงๆ อย่างน้อยก็ช่วยเขารับมือกับบิดาและพี่ชาย
เขาไม่ได้กลัวการทะเลาะ ก็แค่รู้สึกขยะแขยง หากไม่เจอกันได้ก็อย่าเจอเลยดีกว่า
ยังมีทางด้านฮ่องเต้อีก
เขากำลังเตรียมเส้นทางในอนาคตให้องค์ชายเจ็ดอยู่ใช่หรือไม่ ขณะเดียวกันก็กำลังเตรียมเส้นทางในอนาคตให้เขาด้วย มองเขาเป็นลูกหลาน มิใช่แค่หลานชายต่างนามสกุล
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินลั่วลุกขึ้นมานั่งในทันใด
ความผิดปกติทั้งหมดของฮ่องเต้เริ่มต้นมาจากตอนที่พระองค์มีอาการใจสั่น เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาการป่วยของฮ่องเต้จะร้ายแรงกว่าที่เขาคิด? บางทีอาจถึงขั้นที่พระองค์ต้องเริ่มเตรียมการเรื่องในอนาคตแล้ว?
เฉินลั่วไหนเลยจะหลับตาลงได้
ถึงแม้ร่างกายจะคำรามว่าต้องการพักผ่อน เขากลับลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สั่งการเฉินอวี้ที่ถูกปลุกขึ้นมาว่า “พวกเรา…”
เปล่งเสียงออกมาให้ได้สองพยางค์ ชั่วขณะนั้นกลับไม่รู้ว่าจะไปหาใครเพื่อพูดคุยด้วยดี
ไปหามารดา? เกรงว่าเมื่อนางได้ยินแล้วคงตกใจจนแน่นิ่ง จากนั้นก็คงรีบแต่งตัว ร่ำไห้เข้าวังไปจับมือฮ่องเต้เอาไว้ ต้องการให้ฮ่องเต้เรียกหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงมาตรวจอาการ
ไปหาบิดา? นั่นเป็นไปไม่ได้ หากเขาไม่ใช้อาการประชวรของฮ่องเต้มาเป็นเครื่องมือ กดทับตนกับมารดา วางแผนอนาคตให้เฉินอิงก็นับว่าดีแล้ว เรื่องเสนอความคิดให้ตนนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
ไปหาฮ่องเต้? ฮ่องเต้สัมพันธ์กับความปลอดภัยของแผ่นดิน ต่อให้ในใจพระองค์รู้สึกกระวนกระวาย ก็ไม่มีทางเปิดเผยให้ตนเห็นต่อหน้า ฮ่องเต้อาจไปปรึกษาใต้เท้าอวี๋ อาจไปหารือใต้เท้าเซี่ย แต่ไม่มีทางมาขอความเห็นเขาแน่นอน
ไปหาบิดาของเฉินอวี้? เรื่องการค้าเขายังพอไหว แต่เรื่องใหญ่ระดับประเทศเช่นนี้ เขามีแต่จะตัวสั่นงันงก ไม่ตกใจจนขาทั้งสองข้างสั่นระริกก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังคิดจะให้เขาเสนอความคิดเห็นอะไรให้ได้!
เฉินลั่วล้มตัวลงบนเตียงอย่างสลดหดหู่
กล่าวไปกล่าวมา เป็นเพราะเขาอ่อนแอเกินไป ยามเกิดเรื่องเขาไม่อาจจัดการได้เพียงลำพัง ข้างกายก็ไม่มีคนให้ไว้วางใจได้แม้แต่คนเดียว
ขณะที่เขาคิดอยู่นั้น ในหัวพลันปรากฏภาพของหวังซีขึ้นมา
เด็กสาวผู้นี้พึ่งพาไม่ค่อยได้ แต่ดีตรงที่แม้จะดูเป็นคนชอบเจื้อยแจ้ว ทว่าปากไม่สว่าง เก็บความลับเป็น ทำให้คนวางใจได้
นอกจากนี้เรื่องของผู้ช่วยนั้น เขาก็ต้องคุยกับเด็กสาวจริงๆ
เฉินลั่วตรึกตรอง นึกถึงลานบ้านที่เงียบสงบของสวนร่มหลิวและกิริยามารยาทของบรรดาบ่าวไพร่ที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีขึ้นมา ในใจก็ยิ่งร้อนรนมากขึ้น
เขาสั่งการเฉินอวี้ “พวกเราไปดูสวนร่มหลิวกัน”
เวลานี้?
เฉินอวี้สงสัยว่าตัวเองอาจฟังผิด กล่าวขึ้นว่า “ใต้เท้า เวลานี้ล่วงเลยยามจื่อ[1] อีกสองชั่วยามก็ถึงยามอิ๋น[2]แล้ว หลายวันมานี้ท่านไม่ค่อยได้พักผ่อนดีๆ พรุ่งนี้เช้าข้าจะวิ่งไปที่นั่นสักครั้งหรือไม่ก็นำความไปแจ้งคุณหนูหวังให้ท่านดีหรือไม่”
ยามอิ๋นบรรดาขุนนางทั้งหลายต้องเริ่มตื่นเพื่อเตรียมตัวไปประชุมเช้ากันแล้ว
เฉินลั่วส่ายศีรษะ รู้สึกว่ารอต่อไปไม่ได้แม้แต่เค่อเดียว
เขาต้องจัดการเรื่องให้เสร็จ ไม่อย่างนั้นเขาคงนอนไม่หลับ
เฉินอวี้จำต้องปรนนิบัติเฉินลั่วผลัดเปลี่ยนอาภรณ์
เขาไม่ได้คิดว่าที่เฉินลั่วนัดพบหวังซีกลางดึกเป็นเพราะมีสัมพันธ์ส่วนตัวอะไร ใต้เท้าของพวกเขาหยิ่งยโสเป็นที่สุด อีกทั้งเพราะหน้าตาหล่อเหลาเกินไป ข้างกายจึงมักมีสตรีหลากหลายรูปแบบชอบหาข้ออ้างเข้าใกล้เขาอยู่เสมอ ทำเอาเฉินลั่วรังเกียจเหตุการณ์เช่นนี้เป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นคนที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายจึงล้วนแล้วแต่เป็นบ่าวและผู้ติดตามชายทั้งสิ้น ไม่มีสาวใช้ปรนนิบัติอยู่ใกล้ตัวแม้แต่คนเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นระยะนี้ตระกูลหวังก็ช่วยเหลือเฉินลั่วไว้ไม่น้อยเลยจริงๆ ช่วงนี้นอกจากทำงานแล้ว เฉินลั่วยังยุ่งอยู่กับการสืบเรื่องของพระตำหนักเฉียนชิงอย่างลับๆ อีกด้วย
และช่วงก่อนใต้เท้าของพวกเขาก็เคยไปวัดเจินอู่พร้อมกับคุณหนูสกุลหวังมาแล้ว
***
ตอนที่หวังซีถูกปลุกให้ตื่นนั้นอยากจะตะโกนด่าดังๆ เหลือเกิน
การถูกปลุกให้ตื่นกลางดึก ก็เหมือนกับเจ้ากำลังกินอาหารหรูหราอยู่ทว่าถูกคนแย่งชามข้าวไป
เรื่องประเภทนี้เป็นอะไรที่นางยอมรับไม่ได้
นางลุกขึ้นมานั่งอย่างสะลึมสะลือ กล่าวเสียงแหวว่า “ให้เขารอไป ข้าตื่นเมื่อไรค่อยพบเขาเมื่อนั้น!”
ไป๋กั่วได้แต่ใช้ผ้าเปียกหมาดเช็ดหน้าให้หวังซี กล่าวหลอกล่อเสียงอบอุ่นว่า “เป็นใต้เท้าเฉินจากศาลากวางร้องข้างๆ เจ้าค่ะ กลางดึกค่อนคืนเช่นนี้ กลัวแต่ว่าจะมีเรื่องเร่งด่วนอะไรต้องจัดการ คุณหนูไปพบสักหน่อยเถิด หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องใหญ่”
มีคนตายหรือว่ามีเพลิงไหม้? นอกเหนือไปจากนี้จะมีเรื่องใหญ่อะไรได้อีก?
หวังซีระบายความขุ่นเคืองอย่างเอาแต่ใจ ลุกขึ้นมาแล้วก็ยังตื่นไม่เต็มที่ เดินตาปรือออกมาจากห้องชั้นใน
เฉินลั่วยืนอยู่ใต้ซุ้มองุ่นในลานหลักของสวนร่มหลิว มองโต๊ะหินที่เขาเพิ่งจากไปไม่กี่ชั่วยามทว่าเปียกชื้นไปด้วยน้ำค้าง ก้มหน้าลูบจมูก เพิ่งรู้สึกถึงความไม่เหมาะสมแก่เวลา
เพียงแต่ว่าเขามาถึงแล้ว คนที่ไม่สมควรปลุกก็ปลุกตื่นแล้ว จำต้องทำใจดีเข้าสู้รอต่อไป
โชคดีที่หวังซีไม่ปล่อยให้เขาต้องรอนาน ล้างหน้าล้างตาง่ายๆ ครั้งหนึ่งเสร็จแล้วก็ออกมาพบเขาเลย
เขารู้สึกประหม่า ชั่วขณะนั้นไม่รู้จะพูดอะไรดี เป็นหวังซีที่ถามเขาอย่างอบอุ่น เขาถึงได้เริ่มต้นด้วยเรื่องผู้ช่วยสองคนนั้นอย่างกระดากอาย พูดถึงสิ่งที่เขาคาดเดาขึ้นมา “…เกรงว่าคงต้องขอให้ท่านหมอเฝิงออกหน้า ช่วยแอบไปดูอาการให้ฮ่องเต้สักหน่อยว่าตกลงเป็นอะไรกันแน่ถึงจะทำให้คนสบายใจได้”
ประเดี๋ยวต้องการให้ท่านหมอเฝิงช่วยแนะนำหมอผู้หนึ่งไปหยั่งเชิงฮ่องเต้ ประเดี๋ยวก็ต้องการให้ท่านหมอเฝิงลงมือด้วยตัวเอง ประเดี๋ยวตัดสินใจเชิญผู้ช่วยสักคนมาช่วยเขาจัดการเรื่องทั่วไป ประเดี๋ยวก็อยากให้ผู้อื่นเป็นที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ ไม่ดูบ้างเลยว่าสถานการณ์ของตัวเองเป็นอย่างไร หากเป็นบัณฑิตมีความสามารถในแผ่นดินอันสงบสุข เหตุใดผู้อื่นไม่ขายตัวให้ราชวงศ์ ต้องขายตัวให้บุตรชายคนรองของเจิ้นกั๋วกงที่ไม่ได้เป็นแม้แต่ซื่อจื่ออย่างเจ้าด้วย?
หวังซีกำลังหลับอย่างเป็นสุขกลับถูกปลุกขึ้นมา ยังต้องมาจัดการกับเรื่องยุ่งเหยิงเช่นนี้อีก คุณหนูใหญ่อย่างนางก็มีน้ำโหขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ได้ยินแล้วกล่าวอย่างกรุ่นโกรธว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดธุระของพวกเราถึงไม่มีความคืบหน้า ก็เป็นเพราะเจ้าชักช้าลีลามากเกินไป! ความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิกับขุนนางใต้บังคับบัญชานั้น แม้แต่องค์ชายรองที่เป็นโอรสแท้ๆ ยังรู้เลยว่าเป็นจักรพรรดิกับขุนนางใต้บังคับบัญชาก่อน จากนั้นถึงเป็นพ่อกับลูก เจ้ากลับดีเหลือเกิน คำพูดเพียงไม่กี่คำ ยังไม่ได้เห็นพระพักตร์ฮ่องเต้ด้วยซ้ำ แค่คาดเดาว่าฮ่องเต้อาจประชวร เจ้าก็ตุปัดตุเป๋ สับสนอลหม่านไปหมด หากข้าเป็นเจ้า ก็คิดว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าทูลถามฮ่องเต้ไปตามตรงว่าธูปหอมในพระตำหนักเฉียนชิงได้มาจากที่ใด ดูว่าฮ่องเต้จะบอกเจ้าหรือไม่”
………………………………………………………………………………
[1] ยามจื่อ 23.00-01.00 นาฬิกา
[2] ยามอิ๋น 03.00-05.00 นาฬิกา
ตอนต่อไป