สวีกว่างกลับเพียงใช้สายตาแบบมองคนธรรมดาทั่วไปมองมายังเฟิ่งชิงหัว ในความรู้สึกของเขานั้นแฝงไว้ด้วยความมั่นใจ: “นั่นเป็นเพราะห้วงเวลาของเขาได้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เมื่อก่อนเขาไม่สนใจต่ออะไรทั้งนั้น ดังนั้นจึงใช้ชีวิตตามใจตัวเอง แต่ภายใต้ความบังเอิญครั้งหนึ่ง เขาหลุดพ้นออกมาจากข้อจำกัดของกาลเวลาได้อย่างสบาย เวลาของเขา ในที่สุดก็เริ่มขับเคลื่อน”
“ฟังไปแล้วก็ดูเหมือนว่าจะมีเหตุผลอยู่บ้างเช่นนั้น ดังนั้นล่ะ?” เฟิ่งชิงหัวหัวเราะแล้วก็มองมาที่จ้านถิงเฟิง: “องค์รัชทายาท ยินดีด้วยที่ลูกน้องของท่านมีคนที่มีความสามารถเหนือคนเช่นนี้”
จ้านถิงเฟิงจะฟังไม่ออกที่ไหนกันว่านี่กำลังเยาะเย้ยเขาอยู่ จึงเดินเข้าไปสองสามก้าว เตะสวีกว่างพลิกลงไปกับพื้นเลย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโหว่า: “เจ้าบื้อ! ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเชื่อคนที่เที่ยวหลอกลวงต้มตุ๋นพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย”
“องค์ท่าน เขาเป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่งจริงๆ” สวีกว่างพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมาแล้วก็คุกเข่ากล่าวอย่างรีบร้อนต่อหน้าของจ้านถิงเฟิง
“คนมีความสามารถอะไร ข้าว่าเจ้าบ้าไปแล้วจริงๆ”
“องค์ท่าน เป็นเรื่องจริง เขารู้เบาะแสของเซียวโร่สุ่ยผู้นี้อย่างละเอียด และก็อธิบายถึงวิธีการตายของนางอย่างละเอียด อีกทั้งยังบอกว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับบ่าวด้วย ตอนนั้นบ่าวก็ไม่เชื่อ เพียงแค่คิดว่าเขาพูดไร้สาระไปเท่านั้น แต่ว่าหลายเดือนต่อมา เมื่อเซียวโร่สุ่ยผู้นั้นได้ยืมมือของบ่าวเพื่อให้ได้เข้าใกล้องค์ท่าน และตอนที่หยิบเอาแหวนหยกวงนั้นออกมา บ่าวก็เลยเชื่อขึ้นมาจริงๆ เลย ไม่เพียงเท่านี้ เหตุการณ์มากมายล้วนเกิดเป็นจริงขึ้นหลังจากที่เขาพูดไว้ ท่านยังจำการสอบคัดเลือกรอบนั้นเมื่อ 3 เดือนก่อนได้ไหม เขาเคยบอกว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งคนที่ไม่อยู่ในสายตาที่สุดคนหนึ่งเป็นจองหยวนกฎทองคำ ยังเคยพูดไว้อีกว่าในวังจะเกิดข่าวฉาวโฉ่วขึ้นรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับฮองเฮาเหนียงเหนียง ตอนนั้นบ่าวก็เลยมีความคิดว่าจะแบกความน่าเชื่อถือที่มีทั้งหมดรั้งเขาเอาไว้ เหตุการณ์ต่อมาองค์ท่านก็รับทราบหมดแล้ว พวกนี้ต่างเป็นเรื่องจริงแม้แน่นอน” ในตอนนี้สวีกว่างก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนใจว่าด้านข้างยังมีคนอื่นด้วย ก็เลยพูดเรื่องพวกนี้ที่ไม่อาจให้คนนอกได้รับรู้ออกมาทั้งหมด
ตอนแรกเฟิ่งชิงหัวก็ไม่ได้คิดว่ามันจะน่าแปลกอะไรเสียหน่อย แต่ว่าเมื่อพูดถึงตอนที่ในวังมีข่าวฉาวโฉ่วขึ้นมา สีหน้ากลับค่อยๆ เปลี่ยนไป
หากพูดถึงเรื่องข่าวฉาวที่เกี่ยวกับฮองเฮาก็มีเพียงการตายของสนมที่ชี้ชัดว่าเกี่ยวพันกับฮองเฮาเท่านั้น คนผู้นี้ไม่ก็เป็นอะไรที่มีความสามารถเหนือคนจริงๆ ไม่ก็สามารถบอกได้ว่าเรื่องนี้จุดเริ่มต้นก็มีความเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้หรือกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังของเขา ไม่ว่าแบบไหน คนคนนี้เป็นคนที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง
เฟิ่งชิงหัวมองมายังจ้านเป่ยเซียวที่มีสีตาที่หนักใจ
จ้านถิงเฟิงนิ่งไปพักหนึ่งแล้วก็เลยกล่าวออกมาว่า: “คนผู้นี้ตอนนี้อยู่ที่ใด?”
“เขาเอายาส่งมอบให้บ่าวแล้วก็ออกไปยังตีนเขาแล้ว เขาบอกว่าเพียงแค่ข้าสามารถที่จะรอดพ้นความผิดในครั้งนี้ไปได้ อนาคตที่สดใสก็จะรออยู่ ยังบอกว่าองค์ท่านถึงจะเป็นคนที่สืบทอดรุ่นต่อไป ให้บ่าวไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องอื่น”
“งั้นเหรอ? งั้นก็ต้องยินดีกับองค์รัชทายาทด้วยจริงๆ ได้คนที่มีความสามารถดีเช่นนี้ สามารถล่วงรู้อนาคตได้ กระหม่อมอยากจะพบหน้าจริงๆ เลย ข้าคิดว่าท่านอ๋องก็น่าจะอยากพอหน้าสักหน่อยเช่นกัน” เฟิ่งชิงหัวยิ้มมาทางจ้านถิงเฟิง
จ้านถิงเฟิงจ้องไปยังสวีกว่างที่อยู่บนพื้นอย่างโหดร้าย คราวนี้อยากจะจัดการเขาให้ตายไปเลยอย่างไม่อาจทนได้ ที่ไปหาเรื่องยุ่งยากวุ่นวายมากเช่นนี้มาให้ตน
“เสด็จพี่เชื่อคำพูดบ้าบอพวกนี้เหรอ?” จ้านถิงเฟิงมองมายังคนที่ไม่ได้พูดมาโดยตลอด
จ้านเป่ยเซียวปัดฝุ่นที่ไม่ได้มีอยู่บนตัวครู่หนึ่ง กล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่า: “ไม่พูดถึงเรื่องอื่นๆ ก่อน เอาตัวสวีกว่างไปขังไว้ก่อนแล้วรอลงอาญา สำหรับคนนั้นที่เขากล่าวออกมานั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่มีความสามารถหรือไม่ คดีฆาตกรรมก่อนหน้านี้เกรงว่าจะต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจนด้วย”
ความหมายในคำพูดนี้ของเขาพูดได้ชัดเจนมาก คนที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์คนของราชวงศ์จะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด
ดวงตาของจ้านถิงเฟิงเคร่งขรึม: “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะส่งคนไปจับตัวมาเดี๋ยวนี้แหละ”
“ไม่ต้องหรอก” จ้านเป่ยเซียวกล่าว
จ้านถิงเฟิงสงสัย กำลังจะเอ่ยถาม ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นเสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาด้านในว่า: “นายท่าน ข้าน้อยจับคนลับๆ ล่อๆ ที่ตีนเขามาได้คนหนึ่ง”
“พาเข้ามาเถอะ”
ประตูห้องถูกเปิดออก ร่างร่างหนึ่งถูกผลักให้เข้ามาในประตูทันที ประเดี๋ยวเดียวก็ล้มนั่งอยู่บนพื้น ดูจนตรอกอย่างยิ่งยวด
“คุณชาย?” สวีกว่างเห็นคนที่มาอย่างชัดเจน กล่าวออกมาด้วยความตกใจ แล้วก็รีบจะเข้าไปประคอง
คนผู้นั้นกลับจัดแจงชายเสื้อผ้าด้านล่างแล้วก็ลุกขึ้นยืน กล่าวออกมาด้วยท่าทีที่แฝงไว้ด้วยความเฉื่อยชา: “ท่านอ๋องเจ็ด นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร จะเชื้อเชิญคนมาก็ไม่เห็นจะต้องหยาบกระด้างเช่นนี้ก็ได้”
เฟิ่งชิงหัวสังเกตผู้ที่มาตั้งแต่หัวจรดเท้า ชุดยาวสีเขียวหม่นทั้งตัว บนศีรษะมีผ้าโพกศีรษะเอาไว้ ดูไปแล้วอายุอานามราวยี่สิบกว่าปีได้ ไว้เคราแพะอยู่หนึ่งกระจุก ดุไปแล้วก็นับว่ามีรสนิยมอยู่บ้าง แต่รูปลักษณ์น่ะเหรอ กลับเป็นรูปลักษณ์ที่โยนเข้าไปกองรวมกับฝูงชนก็จะแยกไม่ออกเลย
“ล่วงรู้อนาคต?” เฟิ่งชิงหัวหยอกเย้าขึ้น
คนผู้นั้นสังเกตมาที่นางตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็เก็บสายตากลับไปแล้วกล่าวออกมาอย่างมั่นใจว่า: “ข้าเป็นเพียงแค่ผู้เห็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์แค่นั้น ตามประสบการณ์ที่ผ่านมาพันปี เป็นผู้ส่งสารแห่งกาลเวลา”
“ฮ่า คุณชายช่างไม่ถ่อมตัวเลยจริงๆ นะ งั้นคุณชายก็ช่วยดูข้าหน่อย มองออกได้หรือไม่ว่าต่อไปข้าจะมีอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้า?” คนผู้นั้นเพ่งไปยังเฟิ่งชิงหัวอย่างละเอียดและเชื่องช้าครู่หนึ่งพร้อมกับส่ายหัว: “ข้าดูไม่ออก”
“งั้น……”
“ที่ข้ามองไม่ออกไม่ใช่เพราะเหตุผลของข้า แต่ว่าเดิมแล้วเจ้าก็เป็นคนที่ไม่ได้สำคัญอะไรคนหนึ่ง ข้าที่เป็นผู้มีประสบการณ์ข้ามผ่านมาพันปี เป็นไปไม่ได้ที่คนที่เป็นคนไม่สำคัญอะไรตัวเล็กๆ ทุกคนจะสามารถจดจำได้อย่างชัดเจน คนเช่นนี้อย่างเจ้า ก็เป็นเพียงแค่จุดดำเล็กๆ จุดหนึ่งเท่านั้น แม้แต่หมากตัวหนึ่งยังเป็นไม่ได้เลย”
“อ่อ” เฟิ่งชิงหัวลากเสียงพูดยาวออกมา: “งั้นผู้น้อยอันที่จริงก็เป็นคนที่ฐานะต่ำต้อยไม่มีใครสนใจ งั้นเชิญคุณชายดูท่านอ๋องเจ็ดหน่อยว่าเป็นอย่างไร?”
ในขณะที่พูดอยู่ มือก็มุ่งไปทางที่จ้านเป่ยเซียวนั่งอยู่
คนผู้นั้นเมื่อเห็นจ้านเป่ยเซียวก็ส่าหัวแล้วกล่าวว่า: “น่าเสียดาย น่าสงสาร น่าถอดถอนใจ”
“ว่ายังไงนะ?” ท่าทางของเฟิ่งชิงหัวเปี่ยมไปด้วยการต้องการคำอธิบายอย่างถ่อมตน
“ที่ข้าบอกว่าท่านอ๋องเจ็ดน่าเสียดาย เป็นเพราะเขาอายุน้อยและปราดเปรื่อง แต่ขาทั้งสองข้างกลับพิการ ก็เลยกลายเป็นว่าเสียอนาคตทิ้งไปเลย ที่กล่าวว่าเขาน่าสงสาร เป็นเพราะว่าเขาโดดเดี่ยวมาชั่วชีวิต ไม่มีภรรยาไม่มีลูกในชีวิตเลย ส่วนที่ทอดถอนใจนั้นเป็นเพราะชะตากรรมของเขา ตอนวัยเยาว์ร่าเริงเอาแต่ใจให้มาก อายุมากขึ้นก็จะมีความเปล่าเปลี่ยวเสื่อมโทรมมาก” ในขณะที่พูดอยู่ บนใบหน้ายังมีท่าทีแสดงออกมาถึงความรู้สึกหดหู่ใจต่อความไม่ยุติธรรมบนโลกใบนี้ เหมือนกับเทพพวกนั้นที่อยู่ในลัทธิเต๋าอย่างยิ่งยวด
ด้านในห้องเข้าสู่ห้วงแห่งความสงัดแน่นิ่ง สวีกว่างมองไปยังฝ่ายชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างเคารพบูชา ราวกับว่าเป็นศิษย์ที่ซื่อสัตย์ที่สุดก็ไม่ปาน แต่จ้านถิงเฟิงนั้นหลังจากที่ได้ฟังถึงจุดจบของจ้านเป่ยเซียวแล้ว ใบหน้าทั้งหน้าต่างเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดอย่างมากไปเลย อยากจะหัวเราะแต่ก็ต้องสะกดอารมณ์เอาไว้สุดขีด สุดท้ายก็เลยกลายเป็นแปลกประหลาดบิดเบี้ยวไปหมด
องค์รัชทายาทในอนาคตก็ย่อมจะต้องสืบทอดราชบัลลังก์ ท่านอ๋องเจ็ดในอนาคตโดดเดี่ยวขมขื่นชั่วชีวิต โชคชะตาของทั้งสองคนช่างแบ่งแยกออกจากกันเป็นสองฝั่งจริงๆ โทษไม่ได้ที่เขาจะร่าเริงเบิกบาน พอนึกถึงว่าจุดจบของศัตรูน่าเวทนาเช่นนี้ แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องจริง แค่ได้ฟังก็มีความสุขมากแล้ว
สำหรับจ้านเป่ยเซียว บนใบหน้าที่สวมหน้ากากเอาไว้มองสีหน้าไม่ออก ได้เพียงจ้องไปที่ผู้ที่มานั้นด้วยดวงตาที่เย็นเยือกทั้งสองข้าง
จวบจนเสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้นมาทำลายบรรยากาศอึมครึม ก็คือเฟิ่งชิงหัวนั่นเอง
“จริงเหรอ? แต่ทำไมข้าได้ยินมาว่าท่านอ๋องเพิ่งจะอภิเษกพระชายามาคนหนึ่ง สามีภรรยารักกันหวานชื่น สามัคคีกลมเกลียวกัน? คุณชายท่านนี้ ท่านจะเที่ยวหลอกลวงต้มตุ๋น ก็น่าจะต้องสืบหาข้อมูลใกล้ๆ นี้มาให้ดีกว่านี้หน่อยนะ?”
ได้ยินดังนั้น ผู้ล่วงรู้ท่านนั้นก็ตะเบ็งออกมาด้วยเสียงเย็นชาว่า: “ไม่รู้ โง่เขลา! เจ้าจะเข้าใจอะไร พระชายาผู้นั้นก่อนหน้านี้เคยเป็นว่าที่ชายาขององค์รัชทายาท ข้าจะไม่ทราบได้อย่างไรกัน นางผูกใจเอาไว้กับองค์รัชทายาทมาตลอด หลังจากอภิเษกเข้าไปในจวนอ๋องแล้วไม่นานก็ดูหดหู่และเงียบหายไป บัดนี้เกรงว่าก็คงจะนอนติดเตียงลุกไม่ได้แล้ว โรคภัยรัดตัวแล้วล่ะ”