แต่เงาร่างของชายชรานั้นค่อย ๆ จางหายไปแล้ว ชิงอวี่หมายจะพุ่งตัวตามไป หากแต่พื้นดินเบื้องล่างกลับแยกออกเป็นสองส่วน ทำให้นางไม่อาจไล่ตามไปได้
ชิงอวี่ยั้งฝีเท้าไว้ทันท่วงที ใบหน้านางทะมึนลง กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างดุดันยิ่ง นางยังคงท่ากึ่งหมอบอยู่ที่ริมเหว สายตามองลงไปยังหุบเหวลึกเบื้องล่างไม่เอ่ยคำใด
มู่ไหลเห็นแล้วก็รู้สึกเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นชิงอวี่เป็นเช่นนี้ ใบหน้างามไร้ซึ่งแววยิ้ม มีเพียงลมพายุที่กำลังจะโหมกระหน่ำเท่านั้น มองแล้วนางพลันรู้สึกเย็นเยียบไปด้วย
ยามที่คนที่มีรอยยิ้มประดับใบหน้าอยู่ตลอดเปลี่ยนใบหน้าเป็นเคร่งขรึมโดยฉับพลันจะดูน่ากลัวนัก
“ชิงอวี่ เป็นอะไรหรือไม่?” มู่ไหลเอ่ยถามเสียงเบา ดึงมือนางมากุมไว้อย่างระมัดระวัง
โหลวจวินเหยาที่อยู่ด้านหลังค่อย ๆ เดินตรงเข้ามา แขนเรียวยื่นเข้ามาดึงตัวเด็กสาวให้ถอยห่างออกจากขอบเหว “คนผู้นั้นเอ่ยคำใดเจ้าจึงมีท่าทีเช่นนี้ได้?”
นัยน์ตาทะมึนของชิงอวี่ค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมทีละน้อย นางกะพริบตาคราหนึ่งแล้วยกมือขึ้นนวดขมับตน “ไม่มีอะไร บางทีข้าอาจจะฟังผิดไป”
โหลวจวินเหยาไม่คิดปล่อยนางไปโดยไร้คำอธิบาย เอ่ยตอบคำนางขึ้นช้า ๆ “เขาต้องรู้เรื่องบางอย่างที่เจ้าต้องการรู้มานานเป็นแน่”
“พอแล้ว” นัยน์ตาชิงอวี่พลันเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นเล็กน้อย “ข้าจะจัดการเรื่องของข้าเอง”
เดิมทีนางไม่ได้สงสัยเรื่องเจ้าของร่างเดิมของนางมากนัก แต่ด้วยมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นมากเกินไปจนรบกวนจิตใจนาง ดังนั้นนางจึงต้องออกตามหาคำตอบให้แน่ชัด
แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องส่วนตัวของนาง อีกทั้งยังเกี่ยวพันกับชาติกำเนิดของตัวนางเอง ดังนั้นนางจึงไม่อยากให้มีหลายคนล่วงรู้
“ข้าช่วยเจ้าได้” โหลวจวินเหยาเห็นว่าท่าทางนางแปรเปลี่ยนเป็นแข็งขืนก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สีหน้าไม่พอใจอยู่ในที
จิ้งจอกน้อยผู้นี้เปลี่ยนหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ ยามนางเผยรอยยิ้มบางก็คล้ายกับธารน้ำเรียบเรื่อย แต่ยามนางเย็นชา ธารน้ำเรียบเรื่อยก็กลายเป็นธารน้ำแข็งที่คมดั่งใบมีด ทิ่มแทงจิตใจคนได้อย่างเจ็บแสบนัก
ชิงอวี่ได้ยินแล้วหลุบตาลงต่ำ “ขอบคุณท่าน แต่ไม่จำเป็น”
พูดจบก็หันไปทางไป๋จือเยี่ยนและชายหนุ่มชุดเทา “ข้าขอบคุณพวกเจ้าสองคนมาก อีกไม่กี่วันข้าจะส่งยาระดับสูงไปให้แทนคำขอบคุณ”
สิ้นคำแล้วนางก็เดินจากไปพร้อมกับมู่ไหล
แม้นางจะไม่รู้ว่าเหตุใดชิงอวี่จึงมีท่าทีเย็นชาเช่นนี้ขึ้นมา แต่มู่ไหลก็ยังเป็นห่วงนางไม่คลาย นางพยักหน้าขอบคุณทุกคนจากนั้นก็เดินตามชิงอวี่ไป
“แม่นางน้อยทำสิ่งใดต้องคิดคำนวณไปเสียทุกอย่างเลยหรือ? ให้พวกเราช่วยก็ไม่ได้กินแรงอันใดมากมายนัก แต่นางกลับมีท่าทีเช่นนั้นไปได้” ไป๋จือเยี่ยนพูดพลางส่ายหัวไม่รู้จะทำอย่างไร ในหัวก็คิดว่าการจะเกลี้ยกล่อมให้นางไปแดนเมฆาสวรรค์กับพวกตนคงยากเย็นเป็นแน่แท้
“แต่เหตุใดท่าทีนางจึงเปลี่ยนไปเช่นนั้นได้? ก่อนจากไปชายชราผู้นั้นเอ่ยคำใดกับนางกัน? ชิงเอ๋อร์?” ไป๋จือเยี่ยนลูบคางตนสีหน้าครุ่นคิด “หรือจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับชาติกำเนิดของแม่นางน้อยกัน?”
“นางเป็นธิดาจากนางบำเรอในจวนหย่งอันอ๋องไม่ใช่หรือ? จะมีความลับเบื้องหลังชาติกำเนิดใดได้อีก??” ชายหนุ่มชุดเทาเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย
“เจ้าทึ่มหรือไร?” ไป๋จือเยี่ยนกลอกตาใส่อีกฝ่าย “หากเทียบกับเด็กสาวคนอื่น ๆ บนแดนเมฆาสวรรค์แล้ว เจ้าว่าแม่นางน้อยเหล่านั้นเทียบกับนางได้หรือไม่? ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่นเลย เจ้าเห็นไฟโลหิตของนางหรือไม่? มันแกร่งกว่าไฟโลหิตของข้าเสียอีก เจ้าคิดว่าบนดินแดนระดับต่ำเช่นนี้มีฮวงจุ้ยดีถึงขั้นที่สามารถให้กำเนิดคนที่มีความสามารถดั่งปีศาจเช่นนางได้งั้นหรือ?”
“มีความเป็นไปได้อยู่สองประการ หากนางไม่ใช่ยายปีศาจหนังเหนียวที่มีพลังบำเพ็ญสูงส่งมาเกิดใหม่ในร่างอื่น เช่นนั้นนางก็คงมาจากตระกูลที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา บิดามารดาคงจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อย่างไร้ข้อกังขา และนางสืบทอดความสามารถเหล่านั้นมาจากพวกเขา”
ชายหนุ่มชุดเทาได้ยินแล้วก็พยักหน้าราวกำเพิ่งจะเข้าใจเรื่องราว “เป็นไปได้ไหมว่าบิดามารดาของแม่นางน้อยจะเป็นคนจากแดนเมฆาสวรรค์?”
ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยเสียงดูถูก “ข้าเห็นนางครั้งแรกก็คิดเช่นนั้นได้แล้ว”
หากไม่ใช่เช่นนั้นแล้วนางเป็นเพียงแม่นางน้อยธรรมดาคนหนึ่งที่มาจากดินแดนระดับต่ำ แต่กลับมีวิชาแพทย์เหนือกว่าเขาได้ละก็ เช่นนั้นเขาที่เป็นประมุขน้อยแห่งสำนักเซียนแพทย์จะยังกล้าออกมาพบหน้าผู้คนได้อีกหรือ?
“ฮ้าว~” ชายหนุ่มชุดเทาหาวเสียงง่วงออกมา “คืนนี้เหนื่อยนัก ข้าเมื่อยล้าไปหมด รีบกลับไปนอนเถอะ!”
“ไปเถอะจวินเหยา” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยกับคนด้านข้าง หากแต่ทันใดนั้นกลับรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างขึ้น เหตุใดพอแม่นางน้อยจากไปแล้วเจ้าหมอนี่จึงเงียบไปเลยเล่า?
เขาโกรธหรือ?
ไป๋จือเยี่ยนเคลื่อนสายตาไปมองคนด้านข้างด้วยความระมัดระวัง แต่กลับเห็นใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนเป็นสีแดง ทำให้ใบหน้าที่ดูเย็นชาอยู่ตลอดยิ่งดูน่ามองยิ่งขึ้น
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” ไป๋จือเยี่ยนเดินเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่ง ตอนที่กำลังจะลงมือตรวจอาการอีกฝ่ายก็พบว่าร่างของอีกฝ่ายแผ่ไอร้อนออกมา นัยน์ตาดอกท้อของไป๋จือเยี่ยนเบิกกว้างขึ้นในพลัน “เหตุใดเจ้าจึงตัวร้อนเป็นไฟเช่นนี้!?”
นัยน์ตาสีม่วงของโหลวจวินเหยาหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนเขาจะยื่นแขนขวาออกมา ที่ฝ่ามือมีรอยแผลยาวแห่งหนึ่งปรากฏอยู่ มันไม่ลึกมาก แต่ก็มีเลือดซึมออกมา
ชายหนุ่มชุดเทาก็เบิกตาโตมองแผลนั่นเช่นกัน หมดสิ้นซึ่งความเซื่องซึมเมื่อครู่ “ท่านบาดเจ็บนี่! สวรรค์! ไปได้แผลมาจากที่ใดกัน!?”
โทษที่เขาตกใจมากมายเช่นนี้ไม่ได้ เป็นเพราะเขารับใช้นายท่านมานานหลายร้อยปี หากนายท่านซัดพลังออกไปก็ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต ไม่ต้องกล่าวเรื่องทำให้เขาบาดเจ็บได้ ไม่เคยมีใครได้แตะแม้แต่ปลายผมเขาสักเส้นมาก่อนเสียด้วยซ้ำ!
เพราะฉะนั้นแม้จะเห็นเลือดเพียงเล็กน้อย แต่ก็นับว่าเป็นภาพที่น่าตกใจมากแล้ว
“หุบปาก” เมื่อเห็นชายหนุ่มชุดเทาโวยวายเช่นนั้น ไป๋จือเยี่ยนก็อดยกขาเตะอีกฝ่ายไม่ได้ “สมองเจ้าทึบเหมือนหมูหรือ? เช่นนี้ยังต้องถามอีก!? ตัวร้อนเป็นไฟเช่นนี้ ไม่ว่าใครมองแวบเดียวก็รู้ทั้งนั้นว่าเป็นแผลที่ได้จากวิญญาณเพลิงโลหิตเมื่อก่อนหน้า”
ทั้งถูกดุและถูกเตะบั้นท้ายเช่นนี้ ชายหนุ่มชุดเทาก็ได้แต่ตีหน้าเศร้าเอ่ยเสียงเบาถามขึ้น “ก่อนหน้านี้นายท่านก็ยังดูเป็นปกติอยู่เลยไม่ใช่หรือไร?”
อีกทั้งก่อนหน้านี้แม่นางน้อยก็ลูบคลำหาแผลเขาไปทั่วแล้วด้วย
“เจ้าไร้สมองหรือไร? หากแม่นางน้อยรู้เรื่องนี้เข้า นางก็ยิ่งรู้สึกติดค้างเรา ยิ่งห่างเหินกับเรายิ่งขึ้นอีก! เช่นนั้นจวินเหยาจะให้นางรู้ได้อย่างไร!?” ไป๋จือเยี่ยนยังคงดุด่าอีกฝ่ายต่อไป
ชายหนุ่มชุดเทาเริ่มรู้สึกว่าตนไม่มีค่าให้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป เหตุใดจึงต้องชี้หน้าด่าเขาว่าไร้สมองกัน? เขาทำความผิดอันใดร้ายแรงถึงเพียงนั้น?
ดุคนเสร็จ ไป๋จือเยี่ยนก็หันมาขมวดคิ้วเป็นห่วงคนได้แผล “แล้วเจ้าปล่อยให้ตนเองบาดเจ็บได้อย่างไรกัน? เจ้าไม่รู้หรือว่าตนเองมีร่างกายไม่เหมือนคนอื่น จะปล่อยให้บาดเจ็บไม่ได้? หากติดเชื้อขึ้นมาจะทำอย่างไร? เจ้านี่มันทำตัวน่าเป็นห่วงจริง ๆ!”
ไป๋จือเยี่ยนและโหลวจวินเหยานั้นเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก อยู่ด้วยกันมานานนัก แม่จะถูกวาจาอาบพิษของโหลวจวินเหยาทำร้ายจนเจ็บแสบอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็เป็นคนที่เป็นห่วงโหลวจวินเหยามากที่สุด เป็นเพราะไม่มีใครรู้จักโหลวจวินเหยาดีไปกว่าเขาแล้ว รู้ว่าอีกฝ่ายต้องพบเจอกับความเจ็บปวดมาเกินพอแล้ว
โหลวจวินเหยาเห็นไป๋จือเยี่ยนจ้องแผลบนฝ่ามือเขาด้วยใบหน้าเจ็บปวดแล้วก็หัวเราะเสียงเบา “ก็แค่แผลเล็ก ๆ เท่านั้น เจ้าต้องทำหน้าเช่นนั้นด้วยหรือ? อะไรกัน? ดูท่าฝีมือประมุขน้อยสำนักเซียนแพทย์จะด้อยลงอีกแล้วกระมัง”
“ชิ! ใครจะไปมีอารมณ์ขันกับเจ้ากัน?” ไป๋จือเยี่ยนไม่ได้อารมณ์ดีขึ้นเลย “บาดแผลเล็กเท่านี้ก็พอจะทำให้เจ้าทรมานแสนสาหัสแล้ว ถูกวิญญาณเพลิงโลหิตโจมตีจนได้แผลแล้วเจ้ายังไม่เห็นเป็นสิ่งใด ไข้ขึ้นหนึ่งวันหนึ่งคืนยังน้อยไปด้วยซ้ำ”
ไป๋จือเยี่ยนพูดไปโกรธไป ทันใดนั้นก็หยุดเสียงลง นัยน์ตาดอกท้องามหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยขึ้นเสียงเบา “จวินเหยา ข้าจริงจัง ครั้งหน้าอย่าทำเช่นนี้อีก”
“อะไรของเจ้า?” โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วขึ้นสูง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไรกันแน่
“ตอนนั้นเจ้าจะหลบโดยไม่ได้แผลก็ทำได้ไม่ใช่หรือ? แต่เพราะไม่อยากให้แม่นางน้อยได้รับอันตรายจึงตอบสนองช้าเกินควร สุดท้ายจึงเปิดช่องว่าง ถูกวิญญาณเพลิงโลหิตโจมตีจนได้แผล ใช่หรือไม่?”
ใบหน้าหล่อเหลาของไป๋จือเยี่ยนไร้แววขี้เล่นดังเคย แต่กลับเป็นสีหน้าจริงจังอย่างยิ่งยวด “แม่นางน้อยมีฝีมือ ต้องมีไพ่ตายซุกซ่อนไว้ในมือมากเป็นแน่ ข้าเห็นด้วยว่าเมื่อนางเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นแล้ว หากได้นางมาอยู่ฝ่ายเรา พวกเราย่อมแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่เจ้าไม่ต้องทำเพื่อนางมากมายถึงเพียงนั้นก็ได้ มากจนถึงขั้นที่เจ้ายอมบาดเจ็บเพื่อนาง เจ้าเป็นราชาแคว้นมาร หากเจ้าปลอดภัยแคว้นมารจึงจะคงแข็งแกร่งต่อไปได้ หากศิษย์แคว้นมารยังคงไว้ซึ่งศรัทธาและความเด็ดเดี่ยว ต่อไปวันหนึ่งต้องขึ้นเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนเมฆาสวรรค์ได้แน่ ดังนั้นเพื่อทุกคนในแคว้นมารแล้ว เจ้าจึงต้องปกป้องตนเองให้ดี”
อาจกล่าวได้ว่าโหลวจวินเหยาถูกคนแคว้นมารเอาใจจนเคยตัว ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจกฎเกณฑ์ใดและมีความเย่อหยิ่งทะนงตัวสูง
ไม่ว่าเขาจะเอ่ยหรือทำสิ่งใด ทุกคนก็จะโอนอ่อนผ่อนตามเขาโดยตลอด ทั้งยังทำตามโดยไร้คำถาม แม้อารมณ์ของชายหนุ่มจะเอาแน่เอานอนไม่ได้ยิ่งนัก อารมณ์ไม่ดีแล้วก็ลงกับลูกน้องอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่มีใครปริปากบ่นอย่างแท้จริงออกมาสักคนเดียว ถึงขั้นที่ว่าหากถูกเฆี่ยนร้อยครั้งแล้วท่านจอมมารมีความสุขได้พวกเขาก็ยอม
คนเช่นเขามีแรงดึงดูดลึกล้ำซุกซ่อนอยู่ในตัว เป็นแรงดึงดูดที่ทำให้ผู้อื่นยอมมอบชีวิตให้อย่างสมบูรณ์ ยามใดที่เขาสุขใจแล้วยกยิ้มขึ้นมาเพียงนิด เท่านั้นทุกคนก็ยอมสละทุกสิ่งอย่างได้
กระทั่งเมื่อตอนไป๋จือเยี่ยนยังเด็กนัก ก็ถูกคำพูดเพียงหนึ่งประโยคจากโหลวจวินเหยาหลอกลวงไปได้ “พอมีเจ้าอยู่ด้วย ข้าก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป”
เพียงแค่คำพูดประโยคนั้นที่ทำให้ไป๋จือเยี่ยนเลือกที่จะยืนหยัดอยู่เคียงข้างคนผู้นี้อย่างแน่วแน่ โหลวจวินเหยาเป็นเพียงคนผู้หนึ่งที่โดดเดี่ยวเกินไปคนหนึ่งเท่านั้น กระทั่งไม่รู้จักอารมณ์เศร้าหรือทุกข์ใจ ทั้งยังร้องไห้ไม่เป็น
นัยน์ตาสีม่วงคู่นั้นเจือรอยยิ้มอยู่ตลอดราวกับมีดวงดาวลอยเด่นอยู่ภายใน ยามโกรธเขายิ้ม ยามเศร้าเขายิ้ม ยามทุกข์ทนเขากลับยิ้ม กระทั่งตอนที่เขาบุกไปสังหารหมู่ตระกูลที่สังหารบิดามารดาของเขา ฆ่ากระทั่งทารกตัวน้อยอายุไม่กี่เดือนที่ร่ำไห้ไม่หยุดด้วยมือของเขาเอง เขาก็ยังคงรอยยิ้มนั้นไว้ตลอดเวลา
เขากำมือรอบลำคอเปราะบางของทารกน้อยไว้ จากเสียงร่ำไห้เสียงดังจนใบหน้าเล็กแดงก่ำค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นสีเขียว จนกระทั่งเด็กน้อยหยุดหายใจไปในที่สุด ตลอดเวลานั้นโหลวจวินเหยาพึมพำออกมาคล้ายกับพูดกับตนเอง คำแต่ละคำนั้นฟังดูโศกเศร้าสิ้นหวังยิ่งนัก
เขาเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าจึงร้องไห้ได้อย่างอิสระแต่ข้ากลับทำไม่ได้”
“เหตุใดเจ้าจึงสามารถร้องไห้อย่างทุกข์ทรมานยามเห็นบิดามารดาตนถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดได้แต่ข้ากลับทำไม่ได้”
“เหตุใดข้าจึงต้องมีชีวิตอยู่เยี่ยงมัจจุราชยกยิ้มที่อยู่เหนือผู้อื่น แต่กลับไม่อาจหัวเราะยามสุข ไม่อาจเสียน้ำตายามเศร้าได้?”
“เหตุใดข้าจึงเป็นผู้ที่ไร้หัวใจ เลือดเย็น อีกทั้งยังเป็นคนไร้น้ำตา ที่ชะตาลิขิตมาตั้งแต่คราที่ลืมตาดูโลกให้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้”
คำถามมากมายเอ่ยออกจากปาก ทว่าท่ามกลางซากศพที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วกลับไม่มีใครให้คำตอบแก่เขาได้เลย
สุดท้ายเขาก็ก้มหน้าลงต่ำแล้วหัวเราะเสียงเบากับตนเอง เอ่ยคำออกมาราวกับเสียสติไป “หากโชคชะตากำหนดชีวิตข้าให้เป็นเช่นนั้น ข้าก็คงทำได้เพียง….. พลิกลิขิตที่สวรรค์ชั้นฟ้ามอบให้เท่านั้น!”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ราชาแห่งแคว้นมารก็กลายเป็นตัวตนที่ไม่อาจมีใครไม่รู้จัก มีนิสัยเย่อหยิ่งเย็นชา ผู้ใดเดินตามเขามีแต่ความสำเร็จ ผู้ใดต่อต้านย่อมไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ เมื่อครั้งนั้นไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขา ยามได้ยินชื่อเขาสีหน้าก็พลันเปลี่ยน
คนผู้นั้นคือจอมมารผู้ครองแดนเมฆาสวรรค์ ผู้ซึ่งมีพลังบำเพ็ญลึกล้ำ ไม่อาจมีใครล่วงรู้ถึงสถานที่อยู่ของเขาได้ อีกทั้งยังมีกลุ่มคนที่จงรักภักดี มีลูกน้องฝีมือสูงส่งที่คอยทำตามคำสั่ง นับเป็นตัวตนที่สูงส่งไม่น้อย
เขาครองแดนเมฆาสวรรค์ยาวนานเกือบห้าร้อยปี และอาจเพราะมีคนที่ไม่อาจทนเขาไหวอีกต่อไป ทำให้หันไปจับมือกับคนชั่วเหล่านั้น เป็นเพราะตอนนั้นเขาทระนงในศักดิ์ศรีมากไปจึงตกหลุมพรางของคนพวกนั้น
จากนั้นเป็นต้นมา โหลวจวินเหยาจึงพยายามเก็บอารมณ์ ไม่อารมณ์ร้ายเอาแต่ใจตนจนเกินไปอีก กลายเป็นคนอารมณ์ค่อนข้างมั่นคงผู้หนึ่ง อีกทั้งยังมีจิตใจเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม ไม่อาจมีผู้ใดหรือสิ่งใดสั่นสะท้านมันได้อีก ทำให้ไป๋จือเยี่ยนที่คอยอยู่ข้างกายเขาตลอดคลายกังวลลงได้มาก
แต่สถานการณ์เบื้องหน้าเขาตอนนี้ เขาเห็นว่าเรื่องราวกำลังดำเนินไปอย่างไม่ค่อยดีนัก
มีตัวแปรหนึ่งปรากฏขึ้น และเป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงจิตใจของชายหนุ่มเสียด้วย
เป็นตัวแปรที่ทำให้เขายอมฝืนหลักการตน ทำในสิ่งที่ตัวเขาในตอนนี้ไม่ควรทำลงไป
โหลวจวินเหยามองสีหน้าเป็นกังวลของไป๋จือเยี่ยนแล้วก็พลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะขบขัน “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า และข้าเองก็ซาบซึ้งนัก แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมากมายอันใด เรื่องนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุ ทั้งยังเป็นเพียงแผลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก”
“จวินเหยา เจ้าไม่ต้องทำสิ่งใดให้แม่นางน้อยอีกต่อไปแล้ว แม้นางจะเคยช่วยชีวิตเจ้าไว้ แต่เจ้าก็เคยช่วยชีวิตนางไว้เช่นกัน จริง ๆ แล้วก็เป็นอย่างที่นางเคยพูดไว้ พวกเจ้าเสมอกันแล้ว”
โหลวจวินเหยารู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าเจ้าชื่นชมนางอยู่พอตัวหรือ?”
“เรื่องนั้นมันต่างกัน” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยเสียงขรึม “หากการที่ข้าชื่นชมนางทำให้เจ้าต้องเสี่ยงภัยบาดเจ็บ เช่นนั้นข้าก็ขอละทิ้งมันไปเสียยังดีกว่า”
โหลวจวินเหยาสายตาทะมึนลง ไม่เอ่ยคำใดอีก
ทันใดนั้น ชายหนุ่มชุดเทาที่สงบเสงี่ยมไม่พูดไม่จา หลบอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดก็พลันเอ่ยขึ้น “ข้าจะขอพูดอะไรบางอย่าง แต่ห้ามโกรธข้านะ…..”
ชายหนุ่มทั้งสองจึงหันมามองเขาราวกับนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดเรื่องน่าโมโหอันใด
“ข้ารู้สึกมาตลอดว่า….. ไป๋จือเยี่ยน จริง ๆ แล้วหลายปีที่ผ่านมา เจ้าชอบนายท่านมาโดยตลอดใช่หรือไม่?” ชายหนุ่มชุดเทาไตร่ตรองเรื่องนี้มานานก่อนจะหาญกล้าเอ่ยคำถามที่ชวนให้อยากสังหารคนเช่นนี้ขึ้นมาได้