ตอนที่ 122 ชีวิตนี้มีเพียงเจ้าผู้เดียว (1)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 122 ชีวิตนี้มีเพียงเจ้าผู้เดียว (1)

“หุบปาก หุบปากเจ้าเดี๋ยวนี้…” ไม่มีผู้ใดขึ้นไปปิดปากของฟางเถาเอ๋อร์ แต่กลับมีคนเข้าไปปิดปากของหลี่ไคสือแทน

“เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาโทษข้า ข้าไม่หุบปากหรอก พี่เกินเป่าจึงจะเป็นชายอย่างแท้จริง ในวันนั้นข้าเพียงแค่ชายตามอง ตรงนั้นของเขาก็เกิดปฏิกิริยาขึ้น จากนั้นก็ได้ทำศึกอยู่บนรถม้ากับข้าอยู่ห้าหกหน เจ้าทำได้เช่นเขาหรือไม่ เจ้ามันก็ทำได้เพียงแค่ระบายอารมณ์บ่นร่างกายข้า ทำให้ข้าเขียวช้ำไปทั้งตัว ทรมานข้าดุจดั่งราชสีห์จอมปลอม ท้ายที่สุดแล้วเจ้าเองก็ทำอะไรไม่ได้…”

ขณะที่ฟางเถาเอ๋อร์กล่าวสิ่งเหล่านั้นออกมา ใบหน้าของนางดูหมกมุ่นยิ่งนัก

ไม่มีผู้ใดสนใจว่าประโยคเมื่อครู่ของนางจะหน้าด้านสักเพียงไร แต่ละคนคิดเพียงว่านางยังอายุน้อยเช่นนี้ก็ต้องถูกนำไปถ่วงน้ำ ต่างพากันแสดงสีหน้าท่าทางเห็นอกเห็นใจออกมา

“นางแพศยา เจ้ามันหน้าด้านหน้าทน…มายั่วยวนสามีของข้า เจ้าไม่ตายดีแน่…” อาซ้อจางไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป สีหน้าของนางทั้งเกลียดโกรธและริษยาหึงหวง

“อาซ้อจาง เจ้าโกรธเกลียดข้า แต่ข้าจะไปโกรธเกลียดผู้ใดได้ ข้าแต่งงานกับชายผู้ไร้ประโยชน์ แต่ว่าเจ้าเล่า เจ้าต่างหากที่น่าโมโห เจ้ามีสามีแต่ตัวเจ้าเองกลับไม่สามารถทำให้เขาพึงพอใจได้ หากหลี่ไคสือเป็นขยะในหมู่บุรุษ เจ้าก็คงเป็นขยะในหมู่สตรี”

บัดนี้ฟางเถาเอ๋อร์เฉกเช่นสุนัขบ้าตัวหนึ่งที่แว้งกัดไปทั่ว

“เจ้า… เจ้า… เจ้ากล่าวไร้สาระสิ่งใด”

“ข้ากล่าวไร้สาระหรือไม่มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่รู้ดี”

“หุบปาก! หุบปากของเจ้าบัดเดี๋ยวนี้…ไม่เช่นนั้นข้าจะเข้าไปตบปากเจ้า”

ฟางเถาเอ๋อร์ไม่ได้หันไปมองอาซ้อจางอีก นางกล่าวออกมาพึมพำว่า

“ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ตรงส่วนนั้นของเจ้าก็ไม่มีน้ำหล่อลื่นแล้วใช่หรือไม่ ทั้งแห้งทั้งฝืด ทำให้พี่เกินเป่าของข้าไม่อาจจะสอดใส่เข้าไปได้ ท้ายที่สุดแล้วถึงแม้พยายามสอดใส่เข้าไป แต่ก็ทำให้พี่เกินเป่าของข้าเจ็บปวดยิ่งนัก และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่พี่เกินเป่ารู้สึกอึดอัดจนแทบทนไม่ไหว จึงได้ใส่เข้าไปอย่างดื้อรั้น จนทำให้พี่เกินเป่าหนังถลอกเสียจนเลือดไหลออกมามากมาย นับแต่นั้นเป็นต้นไปพี่เกินเป่าก็ไม่กล้าแตะต้องเจ้าอีกหลายปี”

ตรงนั้นไม่มีน้ำหล่อลื่น? นางเป็นโรคนางนารีเวชหรือเป็นเพราะสมรรถภาพทางเพศถดถอย มั่วเชียนเสวี่ยที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนได้แต่คิดไปมากมาย

“ที่แท้… ที่อาซ้อจางมักหวาดระแวงว่าสามีของตนจะไปมีหญิงอื่นที่ด้านนอก ที่แท้เป็นเพราะตัวนางไม่อาจทำเรื่องนั้นได้นี่เอง”

“ที่จริงแล้วอาซ้อจางก็น่าสงสารเหมือนกัน อายุยังไม่มากแท้ๆ แต่กลับเป็นเช่นนี้”

“ข้าเคยได้ยินมาว่าชายบางคนทำเรื่องนั้นไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าสตรีก็มีเหตุการณ์เช่นนี้ด้วย…”

“ไร้สาระ เจ้าพูดซี้ซั้ว…” อาซ้อจางตะโกนออกมาเสียงดัง

ฟางเถาเอ๋อร์เอาแต่หัวเราะออกมาโดยไม่สนใจผู้ใด ก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ว่ากันว่าสตรีนั้นทำมาจากน้ำ แต่ที่ตรงนั้นของเจ้าไม่มีน้ำสักนิด เจ้าว่า เจ้ายังเป็นสตรีอยู่หรือไม่ เจ้ากล้าโทษคนอื่นได้อย่างไร”

“เจ้า… หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้” อาซ้อจางยกมือขึ้นปิดหูของตนเองเอาไว้ ก่อนจะตะโกนออกไปทางฟางเถาเอ๋อร์ด้วยเสียงอันแหลม และหันกลับไปทางจางเกินเป่า “จางเกินเป่า เจ้าเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่”

“พวกเจ้าไม่ใช่มนุษย์ พวกเจ้ามันไม่ใช่มนุษย์…” อาซ้อจางอ้าปากค้างมองไปมา ท่ามกลางผู้คนมากมายเช่นนี้กับเรื่องอันน่าอับอาย ฟางเถาเอ๋อร์กลับกล่าวออกมาได้ดุจดั่งเรื่องตลก

ก่อนหน้านี้แม้นางจะปากร้าย แต่ก็ไม่เคยรู้สึกย่ำแย่ถึงเพียงนี้ ซึ่งบัดนี้นางดูกระสับกระส่ายเป็นที่สุด นางคิดไม่ถึงว่าเรื่องส่วนตัวเช่นนี้สามีของนางจะเอาไปบอกกับฟางเถาเอ๋อร์…นางหญิงสารเลวนั่น

จางเกินเป่าได้ยินว่าฟางเถาเอ๋อร์จะถูกจับขังกรงหมูแล้วถ่วงน้ำ หัวใจดวงนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก บัดนี้เขาเพิ่งอายุได้สามสิบปี และต้องรู้สึกอัดอั้นเก็บกดมาหลายปี ระยะเวลาครึ่งเดือนนี้เพิ่งจะได้กลับมาสัมผัสรสของสตรีอีกครั้ง ในสายตาของคนทั่วไปอาจจะรู้สึกว่าฟางเถาเอ๋อร์ไม่ดี แต่ในสายตาของเขานั้นนางดียิ่งนัก และเนื่องด้วยเหตุนี้เอง ตัวเขาที่เดิมที่เชื่อฟังคำสั่งของอาซ้อจาง เมื่อพบว่าอาซ้อจางจะเข้าไปตบนาง เขาจึงได้ลงไม้ลงมือกับอาซ้อจางเป็นครั้งแรก

จางเกินเป่าอดทนอดกลั้นมาหลายปี ประกอบกับฟางเถาเอ๋อร์มีความเร่าร้อนในเรื่องอย่างว่าดุจไฟ ทุกครั้งที่ทั้งสองคนพบหน้ากันก็เหนื่อยหอบหายใจแทบไม่ทัน ทุกครั้งหลังเสร็จกิจ จางเกินเป่าก็รู้สึกพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรือแม้แต่มีความคิดอยากจะหย่าร้างกับภรรยาขึ้นมา

แต่ติดตรงที่ว่าฟางเถาเอ๋อร์มีสามีแล้วจึงไม่อาจแต่งเข้ามาได้ จึงทำให้เขาต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป

บัดนี้ เมื่อนางในดวงใจจะถูกจับถ่วงน้ำ เขาจึงได้ออกตัวว่า “นังแก่หน้าเหี่ยว เจ้าว่าผู้ใดไม่ใช่มนุษย์ ข้าอดทนมาจนบัดนี้ก็เพราะเพื่อเถี่ยจู้ แล้วเจ้าเล่า เจ้าไม่อาจให้ความสุขกับข้าได้ แต่ก็ยังบีบข้าดั่งลูกไก่ในกำมือ หลายปีมานี้ข้าใช้ชีวิตอย่างไร ไม่แตกต่างกับนักบวชที่ถือศีลกินเจเลย ข้าไม่หย่ากับเจ้านับว่าข้านั้นมีความเมตตากรุณาอย่างยิ่งแล้ว แต่เจ้ากับไม่รู้สำนึก ต้องทำเรื่องให้ใหญ่โตจนได้ บัดนี้เจ้าทำร้ายเถาเอ๋อร์ ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าเด็ดขาด…”

“เจ้า…” อาซ้อจางถูกสามีตำหนิต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้น ร่างกายนางก็อ่อนระทวยลงไปกองที่พื้น ไม่ว่าผลสุดท้ายแล้วจะเป็นเช่นไร แต่ดูจากสถานการณ์นางคงไม่อาจบากหน้าอยู่ในหมู่บ้านหวังจยาแห่งนี้ได้อีกต่อไป เนื่องจากเรื่องราวถูกเปิดเผย จางเกินเป่าก็อับอายขายหน้า ในขณะนี้คาดว่าเขาคงจะหย่ากับนางจริงๆ เรี่ยวแรงที่มีอยู่หายไปจนสิ้น นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในครั้งนี้ที่นางจับชู้ได้คาหนังคาเขา ท้ายที่สุดแล้ว คนที่พ่ายแพ้จะเป็นนางเอง

ค่ำคืนนั้น ฟางเถาเอ๋อร์ถูกจับถ่วงน้ำ

ในค่ำคืนนั้น จางเกินเป่าถูกขังอยู่ในหอบรรพชนและคุกเข่าให้สำนึก

ในค่ำคืนนั้น ภรรยาหลี่ปาผมร่วงเสียจนหมดสิ้น ภรรยาฟางอู่ร้องไห้ออกมาเสียจนตาแทบบอด นางเอาแต่ทิ่มแทงหุ่นปั้นดินตลอดทั้งคืน

ในค่ำคืนนั้น อาซ้อจางได้ทำการจัดเก็บของ ซักเสื้อผ้าและซ่อมแซมของใช้ภายในเรือน

ในค่ำคืนนั้นมีทั้งคนรู้สึกตื่นเต้นยินดี มีทั้งเสียงทอดถอนหายใจ และบางคนก็ได้รวบรวมสมาชิกในตระกูลมานั่งอบรมสั่งสอน กล่าวแก่บรรดาสตรีในเรือนว่าอย่าออกไปด้านนอกโดยพลการ และกำชับกับชายในเรือนว่าจงมีสติเตือนตนเองให้ดี…

ในค่ำคืนนั้น มีหลายต่อหลายคนที่นอนไม่หลับรวมถึงมั่วเชียนเสวี่ยด้วย

มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกหดหู่กับสตรีในสมัยโบราณที่มีชีวิตค่อนข้างบอบบาง ต้องเผชิญกับโชคชะตาอันไม่ยุติธรรม ทั้งสองต่างแอบคบชู้สู่สม แต่ท้ายที่สุดแล้วมีเพียงสตรีที่จะต้องถูกนำไปถ่วงน้ำ ส่วนฝ่ายชายถูกลงโทษเพียงคุกเข่าให้สำนึกอยู่ในหอบรรพชน

มั่วเชียนเสวี่ยนอนอยู่บนเตียง นางพลิกร่างกายไปมา

ประโยคนั้นของฟางเถาเอ๋อร์ยังวนเวียนอยู่ในหัวของนางจนแทบจะระเบิด

‘เจ้าไม่มีแม่สื่อ ไม่มีสินสอด…’

‘ไม่เคยคารวะฟ้าดินกับหนิงเซียนเซิง ไม่เคยเข้าคารวะบิดามารดาของหนิงเซียนเซิง ไม่เคยให้กำเนิดบุตรหญิงชายแก่หนิงเซียนเซิง…’

‘น่าขำเสียจริงที่เจ้ายังคิดว่าตนเป็นภรรยาเอกอย่างถูกต้องของเขา…’

ยิ่งพลิกตัวไปมา นางก็ยิ่งรู้สึกว่าประโยคเหล่านั้นดูชัดเจนมากยิ่งขึ้น

อ๊าก! นางไม่ใช่ภรรยาที่ถูกต้องของเขาหรือ นางเป็นดั่งที่โบราณว่าเป็นพวกไร้แม่สื่อแม่ชักหรือ!

หนิงเซ่าชิงรู้สึกว่ามั่วเชียนเสวี่ยมีเรื่องคับข้องใจ คิดว่านางรู้สึกกลัวกับการที่ในวันนี้ฟางเถาเอ๋อร์ถูกจับถ่วงน้ำ จึงได้เอื้อมมือไปแล้วโอบนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะกอดนางแน่นเพื่อให้ความอบอุ่นแก่นาง

“อย่าได้กลัวไปเลย ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป”

น้ำเสียงอันอบอุ่น อ่อนโยนดังเช่นดนตรีบรรเลง แผ่ซ่านเข้ามาในหูของมั่วเชียนเสวี่ยจนทำให้รู้สึกจั๊กจี้ แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่ได้หลงใหลในเสียงนั้น นางพยายามลุกขึ้นแล้วกล่าวออกมาว่า “ข้าจะแยกห้องนอนกับท่าน”

“ด้วยเหตุใด” หนิงเซ่าชิงยิ้มแล้วลุกขึ้นนั่งเช่นกัน เนื่องจากอากาศหนาวเย็น เขาเกรงว่านางจะรู้สึกหนาว จึงได้หยิบเสื้อขึ้นมาตัวหนึ่งห่อหุ้มไปที่ร่างกายของมั่วเชียนเสวี่ยแล้วกอดนางแน่น เขาเข้าใจว่านางคิดมากเรื่องนั้นอีกแล้ว “อย่างมาก นับจากนี้ไปข้าไม่ถอดเสื้อผ้าเจ้าก็ได้”

แต่มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีอารมณ์มาหยอกล้อกับเขา นางกล่าวว่า “ข้าไม่มีแม่สื่อ ไม่มีสินสอด ไม่ได้ไหว้ฟ้าดิน ไม่เคยเข้าคารวะบิดามารดาของท่าน การอาศัยอยู่ด้วยกันเช่นนี้เกรงว่าไม่เหมาะสมนัก”

หนิงเซ่าชิงสัมผัสได้ถึงความขุ่นหมองของมั่วเชียนเสวี่ย จึงได้รู้สึกว่าปัญหานี้ค่อนข้างร้ายแรง