ตอนที่ 117 เมืองไจซิง

รถม้าเคลื่อนผ่านไป ชาวบ้านที่หลบออกไปยืนอยู่ริมสองฝั่งถนนกลับมาสัญจรตามปกติ มีคนไม่น้อยที่ลอบชี้ไม้ชี้มือไปทางหยวนกัง

คู่สามีภรรยาเจ้าของแผงลอยอุ้มบุตรสาวไว้พลางแสดงความขอบคุณหยวนกังซ้ำๆ แต่มองออกชัดเจนว่าความรู้สึกหวาดกลัวมีมากกว่าซาบซึ้งใจ

หยวนกังเองก็ไม่ได้พูดจาทำนองว่าไม่ต้องขอบคุณอันใด นั่งลงหน้าแผงลอยแล้วกินอาหารต่อ ก่อนจะได้ยินคำว่า ‘จวนผู้ว่าการ’ แว่วมาจากกลุ่มชาวบ้านที่พูดคุยซิบกัน คล้ายกำลังคุยกันว่าขบวนรถม้าที่ผ่านไปเมื่อครู่นั้นเป็นคนของจวนผู้ว่าการมณฑล ทำให้หยวนกังมองไปตามทิศทางที่รถม้าหายลับไป

หยวนกังเป็นคนกินจุเสมอมา หลังจากกินจนอิ่มหนำสำราญแล้วก็เรียกเก็บเงิน แต่คู่สามีภรรยาเจ้าของร้านกลับไม่ยอมรับเงินไว้

หยวนกังไม่ได้พยายามยื้อยุดกับคู่สามีภรรยาเจ้าของแผง เพียงโยนเหรียญเงินทิ้งไว้หนึ่งเหรียญ จากนั้นขี่ม้าจากไปพร้อมเว่ยตัว

ทั้งสองสอบถามชาวบ้านไปตลอดทาง ในที่สุดก็หาจวนผู้ว่าการมณฑลพบ แน่นอนว่าย่อมถูกขวางไว้ด้านนอกจวน

ความจริงแล้วไห่หรูเยวี่ยก็เพิ่งกลับมาจากการตรวจตราภายในเมืองเช่นกัน นางเพิ่งจะพักผ่อนได้เพียงไม่นานนัก สาวใช้นางหนึ่งประคองกล่องเครื่องประดับที่เพิ่งส่งเข้ามาใหม่ใบหนึ่งเอาไว้ กำลังให้นางเลือกดู

พ่อบ้านจูซุ่นเข้ามารายงานว่า “ฮูหยิน หยวนกังมาแล้วขอรับ”

ไห่หรูเยวี่ยร้องโอ้คำหนึ่ง “ไปหยิบจดหมายที่หนิวโหย่วเต้าทิ้งไว้ให้มา”

แต่จูซุ่นมิได้รีบร้อนจากไป กลับยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่มีคนเห็นหยวนกังแล้วมารายงานบ่าวเป็นการเฉพาะ บอกว่าหยวนกังคนนี้คือคนที่ปะทะกับขบวนรถม้าของฮูหยินกลางถนนเมื่อครู่นี้ขอรับ ”

“เขาหรือ?” ไห่หรูเยวี่ยเงยหน้าด้วยความแปลกใจ วางเครื่องประดับในมือกลับลงกล่อง “เขาก็คือหยวนกังอย่างนั้นหรือ?”

จูซุ่นส่ายหน้าพร้อมเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้บ่าวไม่ได้ติดตามไปด้วย จึงไม่เห็นเหตุการณ์นั้น ก็เลยไม่ทราบแน่ชัดขอรับ”

ไห่หรูเยวี่ยจุ๊ปาก เอ่ยด้วยความรู้สึกสนใจ “คนประเภทเดียวกันย่อมอยู่ด้วยกันสินะ ต่างเป็นคนที่ไม่ธรรมดา จากที่คนของเจ้าไปสืบสถานการณ์มา หยวนกังคนนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับหนิวโหย่วเต้า?”

จูซุ่นตอบว่า “ทั้งสองแทบจะไม่ปรากฏตัวอยู่ข้างนอกเลยขอรับ คนทางนั้นก็สืบไม่พบข้อมูลใดๆ เช่นกัน แต่ยืนยันได้ว่าเขามักจะติดตามอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า คาดว่าน่าจะเป็นลูกน้องคนสนิทขอรับ”

ไห่หรูเยวี่ยโบกมือพลางเอ่ยสั่ง “ไปเชิญเข้ามา”

“ขอรับ!” จูซุ่นเดินออกไปที่ปากประตูแล้วสั่งการบ่าวรับใช้ต่อ

หยวนกังและเว่ยตัวที่ถูกขวางไว้นอกจวนจึงถูกปล่อยตัวเข้าไป แต่ยังคงถูกตรวจค้นร่างกายตามกฎระเบียบ กระบี่พกของเว่ยตัวและมีดสั้นประจำตัวของหยวนกังล้วนถูกยึดไว้ ซ้ำยังถูกลงผนึกลมปราณบนร่างด้วย

ทั้งสองถูกนำทางไปรอที่โถงรับแขก

รออยู่ครู่หนึ่ง ไห่หรูเยวี่ยก็มาถึงพร้อมกับจูซุ่น เจ้าบ้านได้พบหน้าแขก

หลังจากทราบสถานะของกันและกันแล้ว หยวนกังค่อนข้างแปลกใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่านายหญิงแห่งมณฑลจินโจวจะมาพบเขาด้วยตัวเอง

หยวนกังไม่ชินกับการประสานมือคำนับยามพบปะคนอื่น ต่อให้พบซางเฉาจงกับซางซูชิง เขาก็ไม่ทำเช่นกัน เขามองพิจารณาอีกฝ่ายหัวจรดเท้าเล็กน้อย จากนั้นถามว่า “หนิวโหย่วเต้าอยู่ที่ใด?”

ไห่หรูเยวี่ยก็พินิจดูเขาเช่นกัน รู้สึกว่าคนผู้นี้ค่อนข้างน่าสนใจ เนื่องจากการกระทำของหยวนกังบนท้องถนนก่อนหน้านี้ ทำให้นางสังเกตเห็นว่าหยวนกังคล้ายจะไม่มีแนวคิดเรื่องระบบชนชั้นเลย

สำหรับผู้คนในโลกนี้แล้ว คนจะถูกแบ่งชนชั้นไปตามศักดิ์ฐานะ ขุนนางก็คือขุนนาง ชาวบ้านก็คือชาวบ้าน หยวนกังไม่เห็นขุนนางอยู่ในสายตา แต่กลับให้ค่าชาวบ้านตัวเล็กๆ อีกทั้งยังเข้าขัดขวางกลางถนน ในมุมมองของไห่หรูเยวี่ยแล้ว นางไม่ค่อยเข้าใจพฤติกรรมของหยวนกังสักเท่าไร

ไห่หรูเยวี่ยที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานเอ่ยอย่างเรียบเฉย “หนิวโหย่วเต้าไปแล้ว”

หยวนกังขมวดคิ้ว เอ่ยถาม “ไปที่ใด?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ ก็ถามต่ออีกประโยคหนึ่ง “หอหิมะเหมันต์กระมัง”

ไห่หรูเยวี่ยหัวเราะพลางกล่าวว่า “ดูเหมือนเจ้าจะรู้ไม่น้อยเลยนะ”

“รบกวนแล้ว ขอลา!” หยวนกังกล่าวลาเตรียมจากไป

ไห่หรูเยวี่ยทั้งฉุนทั้งขบขัน พบว่าคนผู้นี้ไม่เห็นตนอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อยจริงๆ นางตวาดออกไป “หยุดนะ! จวนของข้าใช่สถานที่ที่เจ้าอยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไปอย่างนั้นเรอะ?”

หยวนกังชะงักเท้า ค่อยๆ หันกลับมาแล้วกล่าวว่า “ข้ากับองค์หญิงใหญ่ไม่มีความแค้นต่อกัน!”

ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยไปว่า “รั้งอยู่ที่มณฑลจินโจวชั่วคราวเถอะ” จากนั้นก็เอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “นี่คือเรื่องที่หนิวโหย่วเต้าฝากฝังข้าไว้ก่อนออกเดินทาง” นางผงกศีรษะส่งสัญญาณเล็กน้อย

จูซุ่นล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เดินเข้ามามอบให้หยวนกัง

อันที่จริงทางนี้ก็ไม่ได้รักษามารยาทอันใดเลย แกะจดหมายฉบับนี้อ่านตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าอ่านไปก็มึนงงอยู่บ้าง เนื่องจากอ่านไม่รู้เรื่อง ครุ่นคิดกลับไปกลับมาอยู่นานก็ยังอ่านไม่รู้เรื่อง

หยวนกังดึงกระดาษจดหมายด้านในออกมาอ่านครู่เดียวก็รู้แล้วว่าเป็นจดหมายที่หนิวโหย่วเต้าทิ้งไว้จริงๆ เนื้อความด้านในเขียนแบบจีนตัวย่อ รูปแบบอักษรก็เป็นตามแบบฉบับของหนิวโหย่วเต้า

จดหมายนี้ไม่มีอะไรให้ใช้อ้างอิงและไม่มีหลักเกณฑ์ให้ยึดตาม หากคิดจะถอดความออกมาโดยอาศัยเพียงเนื้อความในจดหมาย คาดว่าไม่มีทางเป็นไปได้

ความหมายอย่างคร่าวๆ ของเนื้อหาในจดหมายคือหนิวโหย่วเต้าคาดเดาได้ว่าหลังจากทราบข่าวเขาจะตามมาแน่ ต้องการให้เขาอยู่ที่มณฑลจินโจว รอคอยหนิวโหย่วเต้ากลับมา อย่าวิ่งเพ่นพ่านวุ่นวาย

นี่เป็นความตั้งใจของหนิวโหย่วเต้าเช่นกัน ทราบว่าเมื่อเรื่องทางนี้ได้ข้อสรุป ทางจังหวัดชิงซานจะเกิดศึกใหญ่ขึ้น ถ้าหยวนกังติดตามฝ่ายซางเฉาจง เป็นไปได้มากว่าเขาจะเข้าร่วมสงครามด้วย อารมณ์ในบางด้านของหยวนกังรุนแรงเกินไป มีความจริงใจสูง ไม่กลัวความตาย หากเข้าร่วมสงครามเกรงว่าจะเอาชีวิตไปเสี่ยงตาย

หนิวโหย่วเต้าไม่คิดว่างานใหญ่ของสองพี่น้องสกุลซางจะมีค่าพอให้เอาชีวิตหยวนกังเข้าไปเสี่ยง

ส่วนหนึ่งที่หนิวโหย่วเต้าให้ทางซางเฉาจงประกาศตัดความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันก็เพื่อเป้าหมายนี้ ทราบดีว่าหยวนกังต้องมาหาเขาแน่นอน จึงฉวยโอกาสดึงตัวหยวนกังออกมาจากจังหวัดชิงซาน รอให้สถานการณ์ทางจังหวัดชิงซานสงบมั่นคงแล้วค่อยว่ากัน หากพี่น้องสกุลซางประสบความสำเร็จ หยวนกังค่อยกลับไปก็ได้ หากว่าสองพี่น้องสกุลซางพ่ายศึก พื้นที่ถูกคนอื่นเข้ายึดครอง ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปอีก

สรุปแล้วก็คือ เขาไม่มีทางปล่อยให้หยวนกังเอาตัวเข้าไปเสี่ยงโดยไม่สนใจไยดีได้

เหตุผลที่เขาทำตามสัญญา ไปขอผลตะวันชาดอะไรนั่นจากหอหิมะเหมันต์มาให้ไห่หรูเยวี่ย นั่นก็เพื่อซื้อใจไห่หรูเยวี่ยเอาไว้ ก็เหมือนที่กล่าวกับหยวนฟางไป เขาเตรียมมณฑลจินโจวไว้เป็นทางหนีทีไล่ เรื่องราวในอนาคตไม่มีผู้ใดรู้ได้ว่าจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยๆ ตอนนี้ก็ต้องทำให้หยวนกังมีสถานที่ปลอดภัยสำหรับปักหลักก่อน

ทว่าพอหยวนกังได้อ่านเนื้อความในจดหมาย ก็ตระหนักได้ทันทีว่าเต้าเหยี่ยไปครานี้เสี่ยงอันตราย มิเช่นนั้นไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะห้ามไม่ให้ตนตามไป

“ลาก่อน!” หยวนกังเอ่ยทิ้งท้ายไว้ หันหลังเดินออกไปอีกครั้ง

ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรสองคนปรากฏตัวขึ้นหน้าประตู สกัดทางคนทั้งสองไว้

ไห่หรูเยวี่ยสั่งเสียงเรียบ “จัดให้เข้าพักที่เรือนสุคนธา!”

…..

ว่าด้วยปฏิทินรัชศกอู่!

แม้ว่าแคว้นต่างๆ จะมีการผลักดันให้ใช้ปฏิทินตามรัชศก แต่ทุกแคว้นล้วนมีรากฐานต้นตอมาจากราชวงศ์อู่ เมื่อแต่ละแคว้นต่างฝ่ายต่างใช้ปฏิทินรัชศกของตนมาติดต่อสื่อสารกัน จึงทำให้ค่อนข้างวุ่นวาย ด้วยเหตุนี้ปฏิทินที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและง่ายต่อการคำนวณวันเดือนปีโดยทั่วไปแล้วยังคงใช้ปฏิทินรัชศกอู่อยู่ดี

จุดนี้ทำให้ผู้ครองแคว้นต่างๆ รู้สึกเสียใจ ราชวงศ์อู่ล่มสลายไปแล้ว ผู้มีจิตใจทะเยอทะยานล้วนมีความปรารถนาว่าสักวันจะทำให้ทุกแคว้นใช้ปฏิทินรัชศกเดียวกันทั้งหมดให้ได้ วันใดที่ความปรารถนาเป็นจริง นั่นย่อมแปลว่ารวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้แล้ว

รัชศกอู่ปีที่ห้าร้อยยี่สิบสาม

ซ่งหลงราชทูตแคว้นเยี่ยนถูกลอบสังหารในมณฑลจินโจว มณฑลจินโจวตรวจสอบพบว่าซ่งหลงมองข้ามกฎระเบียบของมณฑลจินโจวเพราะความแค้นส่วนตัว ประพฤติตัวกำเริบเสิบสานในมณฑลจินโจวโดยพลการ เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ ต้องการคำอธิบายจากแคว้นเยี่ยน แต่เนื่องจากแคว้นและมณฑลไม่ได้อยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกัน แคว้นเยี่ยนจึงปฏิเสธที่จะเจรจา ต้องการติดต่อกับทางราชสำนักแคว้นจ้าวเท่านั้น ผู้ว่าการมณฑลจินโจวโกรธา ระดมกำลังทหารโดยมีเป้าหมายคือมณฑลหนานโจวของแคว้นเยี่ยน ท่าทางพร้อมจะเข้าโจมตีได้ทุกเมื่อ

การกระทำนี้ทำให้ราชสำนักแคว้นเยี่ยนที่มีปัญหารุมเร้าทั้งนอกในกระวนกระวายขึ้นมา โจวโส่วเสียนผู้ว่าการมณฑลหนานโจวเรียกระดมกำลังทหารเข้ามาป้องการมณฑลหนานโจวเป็นการด่วน แต่ราชสำนักแคว้นเยี่ยนต้องระแวดระวังเหล่าเจ้าศักดินา แล้วก็ต้องเฝ้าระวังศัตรูต่างแคว้นที่จ้องตะครุบตาเป็นมัน จึงให้ความช่วยเหลือโจวโส่วเสียนได้ไม่มากนัก

ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิในปีเดียวกัน การป้องกันภายในมณฑลหนานโจวเกิดช่องโหว่ขึ้น ยงผิงจวิ้นอ๋องซางเฉาจงบุตรชายหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งแคว้นเยี่ยนกล่าวอ้างว่าจากการตรวจสอบเรื่องการลอบสังหารก่อนหน้านี้ พบว่าเป็นฝีมือของโจวโส่วเสียนผู้บัญชาการมณฑลหนานโจว เขาส่งหนังสือแจ้งราชสำนักให้ลงโทษโจวโส่วเสียนอย่างหนัก แต่ทางราชสำนักบอกปัดด้วยเหตุผลว่าไม่มีหลักฐานชัดเจน ด้วยความโกรธซางเฉาจงจึงหยิบยืมทหารชั้นยอดห้าหมื่นนายจากเฟิ่งหลิงปอผู้เป็นพ่อตา กรีฑาทัพเข้าจัดการโจวโส่วเสียน โจมตีเมืองต่างๆ ไปตลอดทาง บุกตะลุยอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ สร้างความตกตะลึงให้ทั่วทั้งแคว้นเยี่ยน

……

ณ เขตทะเลทรายไพศาล กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

ยามที่เทือกเขาเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ ในทัศนวิสัย หยวนฟางชี้มือออกไปพลางเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “เต้าเหยี่ย ถึงแล้วขอรับ เมืองไจซิงอยู่ข้างหน้าแล้วขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าที่โยกไหวไปมาอย่างเอ้อระเหยอยู่บนหลังอาชาทอดสายตามองออกไป จากนั้นกล่าวว่า “เหมือนจะใกล้แต่ความจริงยังอีกไกล คาดว่ากว่าจะถึงฟ้าก็คงมืดแล้ว”

เมืองไจซิงเป็นเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่ง ร่ำลือกันว่าในอดีตเป็นที่ตั้งเมืองหลวงของแคว้นแคว้นหนึ่ง ต่อมาถูกซางซ่งฮ่องเต้ราชวงศ์อู่บุกทำลาย ปัจจุบันนี้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่รวมตัวติดต่อซื้อขายของคนในวิถีบำเพ็ญเพียร

แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นสถานที่ไร้ซึ่งผู้ปกครอง ผู้ปกครองที่อยู่เบื้องหลังเมืองไจซิงคือหนึ่งในยอดฝีมือระดับจิตทารกที่มีอยู่เพียงไม่กี่คนในโลกบำเพ็ญเพียร สถานการณ์ก็คล้ายคลึงกับหอหิมะเหมันต์และยอดเขาภูตมาร อย่างเช่นหอหิมะเหมันต์ก็มีแม่เฒ่าเสวี่ยอยู่เบื้องหลังนั่นเอง

เป้าหมายในการมาที่นี่คือถือโอกาสเปิดหูเปิดตาดูสักหน่อย ส่วนเรื่องไปขอผลตะวันชาดจากหอหิมะเหมันต์ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน สิ่งที่แม้แต่กลุ่มอำนาจของไห่หรูเยวี่ยยังขอมาไม่ได้ หนิวโหย่วเต้าก็ไม่คิดเช่นกันว่าตนจะขอได้ในทันทีที่ไปถึง เรื่องบางเรื่องไม่อาจรีบร้อนได้ ทำความเข้าใจสถานการณ์บางอย่างของโลกบำเพ็ญเพียรให้กระจ่างก่อนอาจจะมีประโยชน์มากกว่า

เหตุผลที่หยวนฟางตื่นเต้น ก็เป็นเพราะไม่เคยมาเยือน เป็นเพราะได้ยินมาจากปากหนิวโหย่วเต้า เขาถึงได้ทราบว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่ด้วย

แดนทะเลทรายรกร้าง ทว่าไม่ได้เปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน มองเห็นม้าเร็วควบผ่านไปเป็นพักๆ

เป็นไปตามที่หนิวโหย่วเต้าคาดการณ์ไว้ ยามที่ทั้งสองมาถึงเชิงเขา ฟ้าก็มืดแล้ว

บนภูเขาของที่นี่ไม่มีป่าไม้ แห้งแล้งจนแทบจะไม่มีหญ้างอกแม้แต่ต้นเดียว

ทั้งสองไม่อาจควบม้าขึ้นเขาไปได้ ทว่าที่เชิงเขามีลานพักม้าแห่งหนึ่ง มีม้าอยู่ที่นี่ไม่น้อย

พอสอบถามจึงทราบความว่าที่นี่คือจุดฝากม้าแห่งหนึ่ง ม้าที่ฝากไว้ที่นี่จะมีคนช่วยดูแลให้อาหาร แต่ค่าบริการไม่เบาเลย หนึ่งเหรียญทองต่อวัน

ทั้งสองจำเป็นต้องฝากม้าไว้ที่นี่ จากนั้นก็เหินทะยานขึ้นเขาไป

ทั้งสองมาถึงยอดเขา ทว่ายังคงมิใช่จุดหมายปลายทาง สถานที่ที่มีแสงโคมส่องสว่างตรงเบื้องหน้าต่างหากถึงจะเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเขา

เดินทางขึ้นเขาข้ามยอดผามาตลอดทาง ในที่สุดก็มองเห็นเมืองโบราณสภาพเก่าแก่ทรุดโทรมแห่งหนึ่ง

ทั้งสองเข้าไปในเมือง ในเมืองมีคนสัญจรไปมาอยู่ไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสิ้น พอถึงช่วงเวลากลางคืน แสงไฟภายในเมืองไม่ค่อยสว่างไสวเท่าไรนัก ต่างอยู่บ้านใครบ้านมัน ได้ยินว่ามีเพียงร้านค้าเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์จุดโคมไฟส่องสว่างไว้หน้าประตู ด้วนเหตุนี้คนส่วนใหญ่จึงมีผีเสื้อที่เปล่งแสงสว่างบินอยู่เหนือศีรษะ

สถานที่แห่งนี้มีคนที่ไม่ทราบประวัติความเป็นมาอยู่เยอะแยะมากมาย ซึ่งนั่นหมายความว่ามีอันตรายที่ไม่อาจทราบได้แฝงอยู่ ทั้งสองจึงมุ่งหน้าตรงไปยังโรงเตี๊ยมเชิญเดือนที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเมืองแห่งนี้ ได้ยินว่าเป็นกิจการที่เปิดโดยผู้ปกครองของที่นี่ อิทธิพลที่หนุนหลังแข็งแกร่ง มั่นใจในความปลอดภัยได้ ทั้งสองไม่รู้จักคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ ย่อมต้องเลือกความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง

ที่ตั้งของโรงเตี๊ยมเชิญเดือนตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ค่อนข้างสูง อยู่ตรงบริเวณไหล่เขาของยอดเขาหลัก ทำเลดียิ่ง มองเห็นได้ทั่วเมือง ซ้ำยังเป็นโรงเตี๊ยมเพียงแห่งเดียวที่ได้สิทธิ์เปิดกิจการในพื้นที่ตรงนี้ด้วย จะเห็นได้เลยว่าอิทธิพลที่หนุนหลังอยู่เป็นอย่างไร ได้ยินว่าเดิมทีตำแหน่งที่ตั้งของโรงเตี๊ยมเชิญเดือนคือพระราชวังของเมืองโบราณในสมัยอดีต หลังจากมาถึง หนิวโหย่วเต้าถึงได้เชื่อว่าเป็นความจริง ขนาดของโรงเตี๊ยมแห่งนี้มันคือวังหลวงชัดๆ

ขณะที่เดินขึ้นบันไดตรงประตูทางเข้าของโรงเตี๊ยม จู่ๆ ฝีเท้าของหนิวโหย่วเต้าพลันหงุดชะงัก ศีรษะหันขวับกลับไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว สังเกตเห็นว่ากลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ด้านนอกโรงเตี๊ยมกำลังจ้องมองพวกเขาทั้งสองคนอยู่ สายตานั้นราวกับมองเห็นเนื้อติดมันสองก้อนอย่างไรอย่างนั้น

แต่เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้ไม่กล้ามาก่อเรื่องที่นี่ ทำได้เพียงยืนมองอยู่ด้านล่างบันได

หลังจากทั้งสองเข้ามาในโรงเตี๊ยม ก็รับรู้ได้ถึงความวิจิตรตระการตาของโรงเตี๊ยมเชิญเดือนแห่งนี้ โถงใหญ่กว้างขวางสว่างไสว ระดับความหรูหราของที่นี่ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง มีเสี่ยวเอ้อเข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น หลังจากยืนยันแล้วว่าจะเข้าพัก ก็นำทางทั้งสองไปลงทะเบียน

ทั้งสองต้องการห้องพักหนึ่งห้อง ค่าห้องสิบเหรียญทองต่อวัน แพงเป็นอย่างยิ่ง

แต่เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกล่าวว่า แขกที่พักอยู่ในโรงเตี๊ยมเชิญเดือน ขอเพียงเข้าพักหนึ่งวัน ก็รับประกันความปลอดในเมืองไจซิงให้หนึ่งวัน หากถือป้ายห้องพักของโรงเตี๊ยมเชิญเดือนไว้ ไม่มีผู้ใดในเมืองไจซิงกล้ามาหาเรื่องแน่นอน

………………………………………………………..