ตอนที่ 91 การแสดงละครของมู่เฟยหลวน (4)

หวนคืนชะตาแค้น

“กล่าวว่า…หากหม่อมฉันไม่บอกกับพระองค์ตรงๆ พระองค์จะสังหารพี่ใหญ่เจ้าค่ะ!” ทันใดนั้น มู่ชิงอีก็แสดงความหวาดกลัวและกังวลออกมา ดวงตาของนางแดงก่ำ เอ่ยเสียงเบาราวกับกระซิบ “แต่หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ แม้ว่าหม่อมฉันจะมีสมบัติอยู่บ้าง แต่เหตุใดสิ่งนั้นถึงต้องอยู่ที่หม่อมฉันด้วยเพคะ”

มู่หรงอวี้จ้องไปที่นางแล้วเอ่ย “ท้ายที่สุดแล้วหนิงอ๋องนำสิ่งใดไปจากเจ้ากันแน่”

แววตาของมู่ชิงอีมีความแปลกใจ นางกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “มันเป็น…กล่องที่ท่านแม่ของหม่อมฉันทิ้งไว้ ข้างในมีหรูอี้สั่วที่มอบให้หม่อมฉันเมื่อยังเยาว์วัย ซึ่งไม่มีค่าอะไรมากเลยเพคะ หนิงอ๋องทรงถามหม่อมฉันว่าท่านแม่ของหม่อมฉันทิ้งสิ่งใดไว้ให้อีกหรือไม่ แต่สิ่งที่ท่านแม่ทิ้งไว้ก็คือ หม่อม…หม่อมฉันเพียงผู้เดียวเพคะ”

มู่หรงอวี้มองไปที่มู่ฉังหมิง มู่ฉังหมิงจึงกระแอมช้าๆ ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา มู่ชิงอีไม่ได้รับการเอาใจใส่อย่างจริงจังเลย แม้แต่เรือนที่นางอาศัยอยู่แต่เดิมก็หายไป นับประสาอะไรกับสิ่งที่สะใภ้จังหลงเหลือไว้ มู่หรงอวี้เคยได้ยินเกี่ยวกับสถานการณ์ของมู่ชิงอีในจวน จึงเข้าใจว่าเหตุใดมู่ฉังหมิงจึงเกิดอับอายขึ้นมา เขาขมวดคิ้วขณะฟังคำบอกของมู่ชิงอีอย่างครุ่นคิด พบว่าไร้ซึ่งข้อบกพร่อง คิ้วเรียวดุจกระบี่ยิ่งขมวดแน่นขึ้นอีก

มู่หรงอวี้เป็นคนรอบคอบช่างคิด ทว่ามู่ชิงอีย่อมที่จะคิดมาแล้วเช่นกัน แม้ว่าจะไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้หลายๆ อย่างมาก่อนหน้านี้แล้ว ในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับมู่หรงอวี้ มู่ชิงอีก็ยังคงคิดทบทวนอย่างคร่าวๆ ขณะบอกกล่าวอยู่ดีว่าแผนการนั้นมีข้อบกพร่องหรือไม่ หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าคงไม่มีปัญหาใหญ่อะไร นางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย สีหน้าจึงมั่นคงมากขึ้น

หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินมู่หรงอวี้เอ่ยถามว่า “เจ้ารู้จักกู้หลิวอวิ๋นหรือไม่”

“กู้หลิวอวิ๋นหรือเพคะ” มู่ชิงอีผงะไป ดูเหมือนว่าต้องใช้เวลาครู่หนึ่งจึงจะตอบสนองได้ กล่าวอย่างลังเลว่า “ท่านอ๋องทรงหมายถึง…พี่รองหรือเพคะ” กู้หลิวอวิ๋นอายุน้อยกว่ากู้อวิ๋นเกอสองปี แต่แก่กว่ามู่ชิงอีหนึ่งปี ตอนที่กู้หลิวอวิ๋นจากไป มู่ชิงอีมีอายุเพียงหกปีครึ่งถึงเจ็ดปีเท่านั้น มีความสับสนปรากฏในสายตาของมู่ชิงอี ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ชิงอี…จดจำพี่รองไม่ค่อยได้แล้ว” เด็กอายุหกปีคงไม่สามารถจดจำผู้ที่ไม่สนิทสนมกันได้

ในห้องโถงเงียบงันอยู่สักพัก ในที่สุดมู่หรงอวี้ก็เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ข้าแค่อยากจะถามคุณหนูสี่เกี่ยวกับบางสิ่งเท่านั้น เชิญคุณหนูสี่กลับไปพักผ่อนเถิด”

“ชิงอีทูลลาเพคะ” เมื่อพบว่ามู่ชิงอียืนขึ้นและกล่าวลาอย่างเชื่อฟังทั้งๆ ที่นางยังคงมีสีหน้าสับสนอยู่ มู่หรงอวี้ก็พลันขมวดคิ้ว

“ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้นหรือ เหตุใดพระองค์ทรงเอ่ยถึงกู้หลิวอวิ๋นขึ้นมาเล่า” มู่ฉังหมิงยังคงจำได้และยังมีความประทับใจเล็กน้อยต่อเด็กที่มีพรสวรรค์ของตระกูลกู้ซึ่งสิ้นชีพไปตั้งแต่เมื่อยังเยาว์วัย เขาแปลกใจที่กงอ๋องเอ่ยถึงเด็กคนนั้นในยามนี้

มู่หรงอวี้กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “หมิงเยียนพูดว่าผู้ที่ลักพาตัวนางไปเรียกตัวเองว่ากู้หลิวอวิ๋น”

“เป็นไปไม่ได้!” มู่ฉังหมิงอุทานขึ้นมา “ในเวลานั้นกระหม่อมเฝ้าดูการฝังศพของกู้หลิวอวิ๋นด้วยตาของกระหม่อมเอง ยิ่งกว่านั้นตระกูลกู้ไร้เหตุผลที่จะกุเรื่องว่าเด็กอายุแปดปีได้ตายจากไปเช่นนั้น” จวนซู่เฉิงโหวและตระกูลกู้ถือว่าเป็นญาติผ่านการเกี่ยวดองทางการสมรส มู่ฉังหมิงเป็นบุตรเขยคนที่สองของตระกูลกู้จึงอยู่ที่นั่นด้วยตอนที่กู้หลิวอวิ๋นสิ้นชีพ เขากับสะใภ้จังยังไปดูร่างศพของกู้หลิวอวิ๋นด้วยตาตัวเอง แล้วจะยังมีชีวิตอยู่ได้เช่นไรกัน

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่จะมีผู้ใดบางคนยืมชื่อของกู้หลิวอวิ๋นมาใช้ แต่คำโกหกนี้ก็ดูจะโง่งมไปหน่อย” มู่ฉังหมิงกล่าว

มู่หรงอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้ายังมีเรื่องสำคัญบางอย่าง เช่นนั้นข้าจะไปก่อน”

มู่ฉังหมิงมีหรือจะกล้าหยุดเขาไว้ รีบลุกขึ้นเพื่อส่งแขก “เวยเฉิน เจ้าออกไปส่งท่านอ๋อง”

หลังจากออกจากจวนซู่เฉิงโหวแล้ว องครักษ์จวนกงอ๋องที่รออยู่ข้างนอกก็เอ่ยปากทันที “ท่านอ๋อง”

มู่หรงอวี้หันศีรษะชำเลืองมองไปที่จวนซู่เฉิงโหวอันงดงามที่อยู่ข้างหลังแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ลุ่มลึกว่า “ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาได้ตรวจสอบที่อยู่ของมู่ชิงอีหรือไม่” องครักษ์พยักหน้าตอบแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เรียนท่านอ๋อง ในช่วงสองสามวันนี้คุณหนูสี่ไม่ได้ออกจากจวน นอกจากนี้ใบหน้าของนางที่เป็นเช่นนี้…ดูเหมือนว่าจะเป็นฝีมือของคุณหนูสามพ่ะย่ะค่ะ”

มู่หรงอวี้พึมพำแล้วกล่าวว่า “หญิงสาวที่โง่งมพวกนี้ ไม่ต้องไปสนใจ” เขาแค่ต้องการให้แน่ใจว่ามู่ชิงอีไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยจริงๆ หากผู้ใดทำร้ายนางมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย

มู่ชิงอีกลับไปที่ห้องของนาง อิ๋งเอ๋อร์รีบเอ่ยถามด้วยความห่วงใย “คุณหนู กงอ๋องสงสัยท่านหรือไม่เจ้าคะ เราย้ายคุณชายใหญ่ออกไปจากเมืองก่อนดีหรือไม่”

มู่ชิงอีส่ายศีรษะแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็น “แค่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องของมู่หรงอาน เราไม่สามารถซ่อนเรื่องที่มู่หรงอานมาหาข้าได้ ถ้าหากมู่หรงอวี้ไม่แม้แต่จะมาเอ่ยถามนั่นก็คงแปลกประหลาดเกินไป เจ้าไม่ต้องกังวลไป เขาไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ย่อมจะไม่ลงมือโดยพลการ แล้วก็…ข้าไม่คิดว่าเขาจะสงสัยว่าข้าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง” อย่างมากที่สุดมู่หรงอวี้ก็คงแค่สงสัยว่านางมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ความสงสัยเช่นนี้นั้นย่อมมีข้อจำกัดอยู่บ้าง คงไม่มีผู้ใดเชื่อว่าหญิงสาวที่อยู่แต่ในเรือน อีกทั้งยังออกไปที่ไหนไม่ได้จะกระทำสิ่งเหล่านี้ ยิ่งเมื่อเทียบกับความสัมพันธ์ของนางแล้ว จวนซู่เฉิงโหวนั้นไร้ซึ่งความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับตระกูลกู้ เกรงว่าญาติผู้พี่ที่เป็นลูกหลานตระกูลกู้โดยตรงจะมีแรงจูงใจมากกว่านาง

เมื่อเห็นว่านางสงบนิ่ง ความกังวลในใจของอิ๋งเอ๋อร์ก็ค่อยๆ คลายลง แม้ว่านางจะติดตามบิดามาตลอดแต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางเจอเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้กงอ๋องจึงมาที่จวนทันทีที่เรื่องจบลง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดอิ๋งเอ๋อร์จึงตกใจและกังวลถึงเพียงนี้ เมื่อมองดูจูเอ๋อร์ซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมสำรับมื้อเย็นให้ชิงอีแล้ว อิ๋งเอ๋อร์ก็ลอบถอนหายใจด้วยความอิจฉาแล้วกล่าวว่า “ความไม่รู้ถือเป็นพรอันประเสริฐจริงๆ” อันที่จริงจูเอ๋อร์ไม่เข้าใจสิ่งใดตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นธรรมดาที่นางจะไม่ต้องกังวลสิ่งใด นางเพียงคิดว่าคุณหนูออกไปเที่ยวเล่นเพื่อความสนุกสนาน

“ที่อาศัยใหม่ของพี่ใหญ่ปลอดภัยหรือไม่” มู่ชิงอีเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา

อิ๋งเอ๋อร์กล่าวตอบอย่างแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้ม “คุณหนูไม่ต้องกังวล สถานที่ที่คุณชายใหญ่อาศัยอยู่ชั่วคราวคือจวนของพ่อค้าผู้มั่งคั่งทางตะวันตกของเมือง เจ้าของจวนนั้นอาศัยที่นั่นมากว่ายี่สิบปีแล้ว จะต้องไม่มีปัญหาใดเจ้าค่ะ”

มู่ชิงอีพยักหน้า เข้าใจความหมายของอิ๋งเอ๋อร์ คนผู้นั้นจะต้องเป็นคนของเฝิงจื่อสุ่ย

อีกด้านหนึ่ง จูเอ๋อร์จัดสำรับเสร็จเรียบร้อยแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูได้เวลาทานอาหารแล้วเจ้าค่ะ”

มู่ชิงอีพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นเดินไปนั่งทานอาหาร

“อู๋ซิน มู่หรงอานเป็นอย่างไรบ้าง” มู่ชิงอีเอ่ยถามขึ้นในขณะที่ทานอาหาร

เสียงของอู๋ซินดังมาจากบนคานในห้อง เขาเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “องค์ชายกล่าวว่า คนของกงอ๋องน่าจะสามารถหาพบในพรุ่งนี้เช้าขอรับ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่า…มู่หรงอานยังไม่ตาย”

พลันรับรู้ได้ถึงความโกรธของมู่ชิงอีที่แผ่ออกมา เขาจึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยตอบว่า “ยังมีลมหายใจอยู่ขอรับ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้มู่ชิงอีก็วางตะเกียบลงแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหตุใดจึงไม่สังหารเขา”

นางไม่เชื่อว่าเมื่ออู๋ซินรู้ว่ามู่หรงอานยังมีลมหายใจอยู่แล้วจะไม่สังหารทิ้ง ถ้าเป็นเขาคงจะลงมือไปแล้วเป็นแน่ เห็นได้ชัดว่าที่ไม่ลงมือเป็นเพราะคำสั่งของใครบางคน และคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหรงจิ่น! เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว มู่ชิงอีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด

ในครั้งนี้หรงจิ่นช่วยนางไว้อย่างมากก็จริง อีกทั้งนางยังรู้สึกขอบคุณอย่างสูง ทว่านิสัยเช่นหรงจิ่นนั้นช่างน่ารำคาญเสียจริง การกระทำแต่ละอย่างช่างทำให้ปวดหัว หากมู่หรงอานฟื้นขึ้นมาจริงๆ ถึงแม้ว่าจะจดจำนางไม่ได้ แต่ก็ยังนับเป็นปัญหาใหญ่สำหรับนางอยู่ดี

ตอนต่อไป