ตอนที่ 199 ปรับตัวได้ทุกสถานการณ์

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 199 ปรับตัวได้ทุกสถานการณ์

หลังจากออกจากร้านหนังสือ อวี้ฉังคงเอ่ยกับฉินหลิวซีว่า “ท่านไปเปลืองน้ำลายกับคนเช่นนั้นทำไม”

ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ “คนอย่างข้าทนการยั่วยุไม่ค่อยได้ คนอย่างเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แล้วยังมีหน้ามาเยาะเย้ยเราอีก ข้าแค่ทนดูสีหน้าเช่นนั้นไม่ได้ เขาทำให้ข้าไม่พอใจ ข้าย่อมตอบโต้กลับคืนให้เขาไม่พอใจเช่นกัน”

ในเวลานี้ฉินหลิวซีโกรธเหมือนเด็กน้อย ทำเอาอวี้ฉังคงไม่รู้จะทำอย่างไร

“อีกอย่าง สายตาที่เจ้านั่นมองท่านก็ผิดปกติ ไร้มารยาทเกินไปแล้ว” ฉินหลิวซีก็ไม่พลาดสายตาหวานเยิ้มของตู้ซิ่วไฉที่มองอวี้ฉังคง น่าขยะแขยงเกินไปแล้ว

คุณชายอวี้ฉังหาใช่คนที่จะให้คนผู้นั้นดูหมิ่นได้

อวี้ฉังคงเอ่ยว่า “แค่ไม่ต้องไปสนใจเขาก็พอแล้ว ยิ่งสนใจก็ยิ่งทำให้เขาได้ใจ”

น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความชิงชัง

“คนบางคน หากเราเพิกเฉย จะทำให้เขาคิดว่าพวกเรากลัว ทำให้เขาเอาเปรียบเรามากกว่าเดิม คนเช่นนี้ปล่อยให้ได้ใจไม่ได้” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างเย็นชา

อวี้ฉังคงหัวเราะ

ทั้งสองกลับขึ้นรถ ฉินหลิวซีบอกให้ต้าฉยงขับรถไปที่ตะวันตกของเมือง เมื่อมาถึงตรอกโซ่วสี่ก็ลงจากรถม้า

“หากท่านมีธุระก็กลับไปที่เรือนก่อน ข้าจะเดินเล่นสักหน่อย” ฉินหลิวซีเอ่ยกับอวี้ฉังคง

อวี้ฉังคงเอามือไพล่หลัง เอ่ยว่า “เดิมทีข้ามาที่เมืองหลีก็เพื่อรักษาโรคตา เมื่อก่อนข้าตาบอดก็เลยทำอะไรไม่ได้ เป็นเพียงแค่คนว่างงานเท่านั้น”

ฉินหลิวซีพยักหน้า “เมื่อครู่ข้าได้ยินท่านแนะนำตัว เป็นแซ่ของท่านพ่อหรือท่านแม่หรือ”

อวี้ฉังคงเดินอยู่ด้านข้าง เอ่ยว่า “ตระกูลอวี้มีชื่อเสียง เมื่อออกไปข้างนอกมักจะใช้แซ่อวิ๋นแทนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหามากมาย”

ฉินหลิวซีหัวเราะ เอ่ยว่า “บางคนกลัวว่าผู้อื่นจะไม่ทราบที่มาของตัวเอง พากันพูดโอ้อวด แต่สหายฉังคงกลับทำตรงกันข้าม ไม่ต้องการบอกที่มาของตัวเอง”

อวี้ฉังคงเอ่ยเสียงเรียบว่า “บางครั้งชื่อเสียงก็นำมาซึ่งภาระความรับผิดชอบ เป็นพันธนาการ ดังนั้นทุกการกระทำและคำพูดต้องคู่ควรและเหมาะสมกับสถานะ มิเช่นนั้นจะถือว่าไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง หากเป็นเช่นนั้น ไม่สู้อยู่อย่างไร้ชื่อเสียงแต่เป็นอิสระจะดีกว่า แน่นอนว่าสถานะมักจะนำมาซึ่งความสะดวกสบาย แต่สิ่งนี้ก็หักล้างกันไม่ได้”

ลึกๆ ฉินหลิวซีก็คิดเช่นนั้น ยกมือขึ้นคำนับพลางเอ่ยว่า “สหายฉังคงเอ่ยถูกแล้ว”

อวี้ฉังคงเอียงศีรษะพลางมองไปที่อีกฝ่าย “ท่านมีวิชาแพทย์ที่ยอดเยี่ยม แต่กลับไม่มีชื่อเสียงกว้างไกล แต่ตอนที่ท่านไปทานเกี๊ยวน้ำเมื่อคราวก่อน ก็มีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยมาให้ท่านช่วยรักษา คงจะรู้ว่าท่านมีวิชาแพทย์ หรือว่าตอนที่ท่านรักษาอยู่ข้างนอกไม่ได้ใช้นามแฝงปู้ฉิว”

“ก็เป็นเพียงการรักษาโรคช่วยเหลือผู้คน เหมือนกับการสะสมบุญ ไม่สำคัญว่าจะใช้ชื่ออะไร หากพบโรคที่มีอาการรุนแรง เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้คน ก็จะบอกนามแฝงของเต๋า แต่หากเป็นอาการป่วยธรรมดาทั่วไป ข้าก็จะเป็นเพียงหมอฉินธรรมดาๆ”

อวี้ฉังคงเอ่ย “ท่านต่างหากที่เป็นผู้ที่ไม่ใส่ใจสถานะและชื่อเสียงอย่างแท้จริง”

ฉินหลิวซียิ้ม “ผิดแล้ว ใครๆ ก็รู้ว่าข้าทำเช่นนี้ก็เพราะขี้เกียจ อย่าลืมว่าเมื่อมีชื่อเสียงก็ย่อมมีคนมาขอให้รักษาเพิ่มมากขึ้น หากเป็นเช่นนั้นข้าจะไม่ต้องเหนื่อยทั้งวันทั้งคืนหรือ เช่นนั้นไม่ดีแน่ จะเป็นการเสียเวลาพักผ่อนและฝึกบำเพ็ญเพียร เป็นเรื่องไม่เหมาะสมจริงๆ”

อวี้ฉังคงเอ่ยตรงประเด็น “ขี้เกียจก็คือขี้เกียจ ท่านไม่เห็นต้องเอ่ยอะไรที่ดูยิ่งใหญ่เช่นนี้ เจ้าลัทธิเต๋าฟังอยู่ เกรงว่าจะไม่เห็นด้วย!”

เจ้าลัทธิเต๋า ‘นับว่าเจ้าเป็นคนเข้าใจแจ่มแจ้ง!’โนเวลพีดีเอฟ

ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างจริงจังว่า “สหายเต๋า สิ่งใดที่มองออกก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมา อย่างไรเสียก็เห็นแก่หน้านักพรตเต๋าอย่างข้าบ้างได้หรือไม่”

ทั้งสองคนสบตากัน อดยิ้มไม่ได้

ในตรอกโซ่วสี่มีถนนเรียกว่าถนนแดงขาว ร้านค้าแดงขาว[1]ส่วนใหญ่ในเมืองหลีอยู่ที่นี่ ฉินหลิวซีเดินไปยืนอยู่ที่หน้าร้านโลงศพ

อวี้ฉังคงเห็นกับตาว่าป้ายสีขาวกำลังลอยอยู่ด้านบนร้านค้า อ้อ ไม่ใช่แค่ลอยอยู่ มีเด็กซุกซนห้อยอยู่บนป้ายสีขาว แกว่งไปแกว่งมาเหมือนชิงช้า

เมื่อเห็นอวี้ฉังคงมองมา เด็กซุกซนผู้นั้นก็ลอยไปมาตกอยู่ตรงหน้าอวี้ฉังคง เงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย แลบลิ้นออกมาแล้วทำหน้าผี “อิอิ เจ้ามองไม่เห็นข้า เจ้ามองเห็นข้า มองไม่เห็น มองเห็น หา เจ้ามองเห็น!”

อวี้ฉังคง “…”

ฉินหลิวซียื่นมือออกมาแล้วดีดไปบนหน้าผากผีน้อยตัวนั้น ผีน้อยร้องเสียงดังพลางชี้ไปที่อีกฝ่าย “เจ้าคนเลวใช้ความรุนแรง”

“หืม” ฉินหลิวซีเสกอมยิ้มมาสองสามอันไปอยู่ในมือของผีน้อย

ผีน้อยยิ้มอย่างสดใส น้ำเสียงเปลี่ยนทันที “อาจารย์ปู้ฉิวดีที่สุดในใต้หล้า”

อวี้ฉังคง ‘ปรับตัวได้ทุกสถานการณ์จริงๆ!’

ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ท่านปู่เจ้าล่ะ”

ผีน้อยชี้เข้าไปข้างใน สีหน้าแย่ลง

ฉินหลิวซีลูบศีรษะเขาแล้วเดินเข้าไป

ในร้านขายโลงศพมีพื้นที่ไม่ใหญ่นัก มีแผ่นไม้วางอยู่มากมาย และยังมีโลงศพไม้หลิวบางๆ ที่ทาด้วยสีแดงสด ในห้องไม่มีใคร แต่หลังจากที่นางเขาไปก็มีคนเงยหน้าขึ้นมามองจากใต้โลงศพ

อวี้ฉังคงหันไปมอง ที่แท้ใช่ว่าในห้องนี้ไม่มีคน แต่คนผู้นั้นตัวเตี้ยไปหน่อยจึงถูกโลงศพบังไว้

เป็นชายชราร่างผอมบางที่มีเส้นผมเหลืออยู่ไม่มาก มีหนวดเคราสีขาว ตาหูจมูกปากกระจุกอยู่รวมกัน หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง มองฉินหลิวซีก่อนจะอุทานขึ้นมาเมื่อนึกออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“เป็นท่านนักพรตน้อยนี่เอง หรือว่าถึงเวลาของชายชราอย่างข้าแล้วหรือ” ตาเฒ่าโลงศพตบมือ เอ่ยว่า “ท่านมาส่งข้าด้วยตัวเองหรือ”

อวี้ฉังคงใจเต้นรัว มองไปยังฉินหลิวซี

ฉินหลิวซีเอ่ยตอบ “ท่านยังมีเวลาอีกเล็กน้อย ข้ามาดูว่าท่านมีเรื่องใดอยากทำ ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่”

“เฮ้อ สิ่งที่ควรทำก็ทำหมดแล้ว เหลือเพียงแค่รอเข้าไปนอนในนั้นแล้ว” ตาเฒ่าโลงศพชี้ไปยังโลงศพไม้ที่อยู่ตรงหน้าเขา เอื้อมมือไปแตะโลงศพ เอ่ย “ข้าทำโลงศพมาทั้งชีวิต คิดไม่ถึงว่าโลงศพสุดท้ายจะทำไว้เพื่อตัวเอง”

“หากท่านยังอยากอยู่ต่อ…”

“ไม่อยู่ ไม่อยู่! ” ตาเฒ่าโลงศพรีบโบกมือ จากนั้นก็หยิบใบโฉนดแผ่นหนึ่งออกมาจากใต้โลงศพ รีบก้าวไปอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย ยัดใบโฉนดใส่มือ เอ่ยว่า “นี่ ที่ตกลงกันไว้ ท่านช่วยจัดการเรื่องหลังความตายให้ข้า และร้านโลงศพนี้จะเป็นของท่านต่อจากนี้ไป”

ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ต่อให้ไม่มีสิ่งนี้ ข้าก็จะช่วยจัดการให้ท่าน ส่งท่านไปอย่างมีหน้ามีตา”

“ความสัมพันธ์นี้ไม่เลวเลยจริงๆ” ตาเฒ่าโลงศพยิ้มอย่างมีความสุข นั่งลงบนโลงศพแล้วเอ่ยว่า “ข้ารอแทบไม่ไหวแล้ว หลานชายข้าก็รอข้ามานานแล้ว ไม่กล้าปล่อยให้เขารอนานไปกว่านี้แล้ว การเดินทางของพวกเรา ก็นับว่ามีคนไปเป็นเพื่อนกัน ดีเหลือเกิน”

อวี้ฉังคงมองดูผีน้อยเดินไปอยู่ข้างชายชรา ดึงแขนเสื้อของเขา ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เพียงแต่กำหมัดแน่น

ฉินหลิวซีก้มหน้ามองใบโฉนด เอ่ยว่า “ร้านนี้ ต่อไปข้าจะไม่ทำโลงศพ”

“ตามใจท่าน ร้านนี้มอบให้ท่านแล้ว ท่านอยากทำอะไรก็แล้วแต่ท่าน บรรพบุรุษของข้าทำโลงศพ เมื่อมาถึงข้าก็ไม่สามารถมีลูกหลานทำร้านโลงศพต่อไปได้ ข้าถูกลิขิตให้ไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษแล้ว แต่เมื่อบทเพลงจบลงทุกคนก็ต้องแยกย้าย นับประสาอะไรกับร้านโลงศพนี้ ให้มันสิ้นสุดในมือของข้าเถิด”

ฉินหลิวซีเห็นด้วย เอ่ยว่า “ไว้ตอนเย็นข้าค่อยกลับมาตั้งโต๊ะไว้ส่งท่านเดินทาง”

ตาเฒ่าโลงศพใจหายเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ได้”

[1]แดงขาว แดงเป็นสีสิริมงคล โชคลาภ และความสุข คืองานแต่งงาน ขาวเป็นสีความทุกข์ ความเศร้า คืองานศพ

**************************************