บทที่ 105 เศรษฐี (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

กู้เจียวเย็บกระเป๋าหนังสือให้กู้เหยี่ยนทั้งคืน

วันรุ่งขึ้น พอฟ้าสาง กู้เจียวเดินไปส่งกู้เหยี่ยนขึ้นรถม้าพร้อมกับกระเป๋าหนังสือ

เซียวลิ่วหลังวานให้กู้เสี่ยวซุ่นไปทำเรื่องลาเรียนครึ่งเช้าให้เขา จากนั้นเขาและกู้เจียวก็พากู้เหยี่ยนเข้าไปในโรงเรียนเอกชน

เซียวลิ่วหลังจ่ายค่าเล่าเรียน และกรอกเอกสารเข้าเรียนให้กู้เหยี่ยน

เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยถามกู้เหยี่ยนที่กำลังยืนรอยู่ที่ทางเดิน “เจ้าว่าเจ้าจะได้อยู่ห้องไหน”

“คนละห้องกับเจ้าอยู่แล้วน่า!” กู้เหยี่ยนเอ่ยเสียงแข็ง

เสี่ยวจิ้งคงเข้าเรียนในระดับชั้นปฐมวัย ส่วนกู้เหยี่ยนอายุก็ปาเข้าไปสิบสี่แล้ว เข้าไปเรียนชั้นเดียวกับจิ้งคงไม่ได้อยู่แล้ว

กู้เหยี่ยนถูกจัดให้อยู่ในชั้นเรียนของอาจารย์ฉัง ในชั้นเรียนมีแต่นักเรียนที่อายุไล่เลี่ยกับเขา และมีพื้นฐานการเรียนคัมภีร์ซื่อซูหวู่จิงมาก่อน

กู้เหยี่ยนค่อนข้างพอใจกับชั้นเรียนของเขา

ยังไม่ทันจะได้นั่งลงดี อาจารย์ฉังก็ประกาศในห้องว่าจะมีนักเรียนใหม่มาเพิ่มอีก

ที่นั่งข้างๆ กู้เหยี่ยนว่างอยู่พอดี อาจารย์ฉังเลยให้นักเรียนใหม่นั่งตรงที่นั่งข้างเขา

กู้เหยี่ยนมองดูนักเรียนใหม่ตัวเล็กๆ ที่นั่งอยู่ข้างกัน และเรื่องที่ไม่คาดคิดก็ดันเกิดขึ้น “เจ้า เจ้ามาเรียนที่ห้องนี้ได้อย่างไร”

เสี่ยวจิ้งคงโบกมือให้ พลางเอ่ย “ก็ข้าได้เลื่อนชั้นอย่างไรเล่า!”

“…”

แบบนี้ก็ได้หรือ!

วันอันแสนทรมานของกู้เหยี่ยนได้เริ่มต้นขึ้น เขาไม่ยอมแพ้ให้เณรน้อยเป็นอันขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เณรน้อยที่ชอบแย่งความรักของกู้เจียวไปจากเขา ในเมื่อเณรน้อยเลื่อนชั้นได้ ทำไมเขาจะทำไม่ได้!

หึ!

คนที่กินๆ นอนๆ รอวันตายอย่างกู้เหยี่ยน จู่ๆ ก็เกิดฮึดสู้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

องครักษ์ลับทั้งสองนายแทบจะเบือนหน้าหนี

พวกเขารับใช้ท่านชายน้อยมาก็นานหลายปีแล้ว นิสัยของเขาเป็นอย่างไร พวกเขารู้ดีที่สุด แต่พอตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่กับคุณหนูใหญ่ ท่านชายน้อยก็เปลี่ยนไปจากหลังมือเป็นหน้ามือ

ท่านชายน้อยเรียนหนังสือแล้ว พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

หลังจากที่กู้เจียวประกอบร่างสร้างแผนที่ที่นางทำมันมาเรื่อยๆ จนเสร็จ ก็เริ่มมองภาพรวมว่าจะวางอะไรไว้ตรงไหนดี ตรงไหนควรปลูกพืชสำหรับปรุงยา ตรงไหนควรปลูกสมุนไพร ตรงไหนควรขุดบ่อน้ำ

เนินเขาลูกนี้ต้องขึ้นไปจากทางหลังเรือนของลุงหลัวเอ้อร์ ภูเขาสูงชันเหลื่อมกันแนวเรียงราว ประกอบไปด้วยภูเขาลูกใหญ่หนึ่งลูก และเนินเขาเล็กๆ อีกสี่ลูก และตรงปลายเนินเขาลูกแรกนั้นเอง มีพื้นที่วางอยู่แปลงหนึ่งพอดี

เอาไว้ทำอะไรดีนะ

ท่านโหวกู้ที่โดนนางเล่นงานจนเตลิดเปิดเปิงไม่กล้ากลับมาอีก แต่กลับเป็นแม่นางเหยาที่มักจะเยี่ยมนางอยู่บ่อยๆ และทุกครั้งนางก็จะนำขนมที่นางทำเองติดมือมาด้วย

หญิงชราชอบขนมของแม่นางเหยามาก

แถมแม่นางเหยายังเอาเสื้อผ้าที่นางเย็บเองมาให้กู้เจียว นางรู้ว่ากู้เจียวทำงานหนัก จึงเย็บชุดผ้าฝ้ายลินินสำหรับใช้ตอนกลางวัน และชุดผ้าไหมสำหรับใส่ในเรือน

แม่นมฝางไม่เข้าใจสิ่งที่นายหญิงของตนกำลังทำ พลางเอ่ยถาม “เอาเงินให้นางไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ ในเมื่อนางทำงานหนักขนาดนั้น” เหตุใดต้องมาเย็บเสื้อให้เด็กสาวเฉกเช่นนางกันด้วย

“เจียวเจียวไม่ต้องการเงินของข้าน่ะสิ” แม่นางเหยาได้แต่ยิ้มตอบ

ทั้งชีวิตของแม่นางเหยาได้แต่อาศัยอยู่ในเรือน พึ่งพาเงินของสามี ใครๆ ก็มองนางเช่นนั้น นางเองก็มองตนเองเช่นนั้น จนกระทั่งแม่นางเหยาได้เจอกับเจียวเจียว

การใช้ชีวิตแบบเจียวเจียวคือสิ่งที่นางต้องการ

ไม่ใช่เงินทอง แต่เป็นอิสระภาพ

ตั้งแต่ครั้งก่อนที่แม่นางเหยาถูกกู้เจียวปฏิเสธเรื่องที่จะมาขออยู่ด้วย แม่นางเหยาก็ไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับนางอีก และไม่กดดันให้นางเรียกตนว่าแม่ด้วย

นางแค่อยากเห็นหน้ากู้เจียว แล้วให้นางช่วยตรวจสุขภาพร่างกายให้

แม่นางเหยากินยาหมดแล้ว กู้เจียวเลยให้ยาเพิ่มมาอีกสี่กล่อง

กู้เจียวปฏิบัติต่อแม่นางเหยาเฉกเช่นหมอและคนไข้ ดูแล้วเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่น่าอึดอัดเท่าใดนัก

แม่นมฝางเองก็ตามมาเช่นกัน แม่นมฝางขอขมาเรื่องที่เคยล่วงเกินกู้เจียว

แม้จะตั้งใจขอโทษก็จริง แต่แม่นมฝางยังมองว่าบางอย่างในตัวกู้เจียวยังคงไม่เข้าตาอยู่ดี

แม่นมฝางมองว่ากู้เจียวควรกลับไปกับแม่นางเหยา ปรนนิบัติดูแลมารดาแท้ๆ ให้สมกับที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูล

กู้เหยี่ยนออกไปเรียนหนังสือแล้ว ดังนั้นตอนที่แม่นางเหยากับแม่นมฝางมาเยี่ยมจึงไม่พบเขา มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พวกเด็กๆ หยุดเรียนพอดี แม่นางเหยาจึงได้เห็นหน้ากับลูกชายที่ไม่ได้เจอกันกันนาน

นางพบว่าลูกชายตัวเองเริ่มจะมีน้ำมีนวลขึ้นมาแล้ว!

นางรู้สึกตื้นตันเสียจนเกือบจะร้องไห้ออกมา

นางไม่เคยคิดฝันว่าลูกชายที่ป่วยหนักของนางจะฟื้นฟูร่างตัวเองจนกลายเป็นซาลาเปาลูกน้อยขึ้นมาได้

รูปร่างของกู้เหยี่ยนยังไม่จัดว่าอ้วนนัก เพียงแต่เมื่อก่อนเขาเป็นคนที่มีใบหน้าผอมซูบจนแก้มตอบเข้าไปในกระดูกโครงหน้า แต่ตอนนี้ เขาเริ่มจะมีแก้มกลมออกมาให้เห็นแล้ว ไม่ว่าจะดูยังไงก็คล้ายกับลูกซาลาเปา

แม่นางเหยาอดไม่ได้ที่จะเข้าไปหยิกเล่นทีสองที

นุ่มเสียงจริง!

กู้เจียวเองก็พยักหน้าเห็นด้วย

เพราะนางเองก็หยิกแก้มเขาทุกวันเช่นกัน

ในรถม้า แม่นางเหยาเอ่ยกับแม่นมฝางด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ ดูสิ คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ให้เหยี่ยนเอ๋อร์อยู่ที่นี่”

คราวนี้แม่นมฝางถึงกับค้านไม่ลง “…เจ้าค่ะ ท่านชายน้อยเริ่มมีน้ำมีนวลขึ้น สีหน้าก็ดูดีขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ”

ก่อนหน้าที่เขาจะย้ายมา กู้เหยี่ยนเอาแต่บันดาลโทสะ ไม่กินข้าว ไม่เข้านอนให้ตรงเวลา แม่นางเหยาได้แต่ปลอบเขา และไม่กล้าไปบังคับให้เขารู้สึกกดดัน

พอเขาย้ายมาอยู่ที่นี่ นิสัยขี้โมโหของเขาหายไปเยอะเลย แถมยังมีเพื่อนอีกด้วย เพื่อนที่ว่าก็คือกู้เสี่ยวซุ่นที่ชอบพูดแทงใจดำเขา และจิ้งคงที่ชอบอวดเก่งกับเขา

,,,

“ท่านแม่”

พอรถม้าของแม่นางเหยากำลังเข้าจอด กู้จิ่นอวี้ก็ได้มารออยู่ที่หน้าประตูสักพักใหญ่แล้ว

แม่นางเหยาจับมือนาง แล้วเอาผ้าเช็ดเหงื่อให้นาง “เจ้ามารอข้าอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือ แดดแรงขนาดนี้ เดี๋ยวเกิดเป็นลมเอาหรอก!”

กู้จิ่นอวี้ไม่ใช่เด็กสาวที่ชอบออกแดดเท่าใดนัก เพราะกลัวแดดจะทำให้นางผิวเสียและไม่สวย

กู้จิ่นอวี้ยิ้มหวานให้มารดา “ก็ข้าคิดถึงท่านแม่นี่นา เป็นอย่างไรบ้าง พวกพี่ๆ น้องๆ สบายดีกันไหม”

“อืม วันนี้น้องเจ้าหยุดเรียน ข้าเลยได้เจอพวกเขา ทั้งคู่สบายดี” แม่นางเหยาเอ่ยชนิดที่ว่าซ่อนอาการดีใจไว้ไม่อยู่

กู้จิ่นอวี้ตกใจกับท่าทางของคนตรงหน้า พลางนึกในใจ นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เห็นมารดาตัวเองยิ้มสรวลขนาดนี้

“เป็นอะไรรึ” แม่นางเหยาสังเกตท่าทีของคนตรงหน้าที่ดูเหม่อลอย

กู้จิ่นอวี้พอได้สติ ก็รีบยิ้มให้ “ข้าก็อยากเจอพวกเขาเช่นกัน ไว้วันไหนที่นางไม่โกรธข้าแล้วค่อยไปหานางจะดีกว่า”

“นางไม่ได้โกรธเจ้าเลย เจ้าเข้าใจนางผิดแล้ว กู้เจียวไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย นางแค่คุ้นเคยกับชีวิตของนางที่เป็นอยู่ ไม่อยากให้ใครมารบกวน”

กู้จิ่นอวี้โน้มตัวลง พลางเอ่ย “นั่นสิ ข้าไม่ควรไปถือโทษท่านพี่แบบนั้น”

แม่นางเหยายิ้มให้นาง ปล่อยมือ แล้วเดินเข้าห้องไป

กู้จิ่นอวี้เดินตามนางเข้าไป

“ฮูหยินเจ้าคะ เสื้อผ้าของคุณหนูแห้งเจ้าแล้วค่ะ!” สาวใช้ตัวน้อยถือชุดนอนผ้าไหมเนื้อนุ่มมาให้นาง

กู้จิ่นอวี้ยิ้มร่าเมื่อเห็นชุดนั้น พลางเอามือคว้าไปหยิบมาแล้วเอ่ยถาม “ของข้ารึ”