บทที่ 96 หลานสะใภ้

บทที่ 96 หลานสะใภ้

[หลานสะใภ้ เธอชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ แล้วมาจากที่ไหน?]

[อาเฉินไม่เคยพูดเกี่ยวกับเธอมาก่อนเลย]

ซูโย่วอี๋มองไปที่ลู่เฉินอย่างเขินอาย [สวัสดีค่ะคุณปู่ลู่ ฉันชื่อซูโย่วอี๋ เอ่อ… คุณปู่ลู่ ฉัน… ]

[อะไรนะ?]

[เธอเป็นแฟนของลู่เฉินนี่เอง]

เสียงหัวเราะดังขึ้นจากปลายสาย แล้วพวกเขาก็คุยกันต่อ

[ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้นกับประธานลู่ วันนี้ที่ฉันมากับเขา เพราะมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือต่างหากค่ะ]

แต่ผู้เฒ่าลู่ไม่เชื่อ [ฉันรู้ ๆ พวกเธอยังเปิดตัวไม่ได้สินะ อ้อ จริงสิ หลานรักอย่าลืมพาเธอมากินข้าวด้วยกันนะ]

จากนั้นเขาก็วางสายอย่างรวดเร็วที่สุดเพราะกลัวว่าเธอจะปฏิเสธ

“ฉันขอโทษ ฉันทำให้คุณถูกเข้าใจผิด” ซูโย่วอี๋พูดอย่างรู้สึกผิด

เป็นเพราะเธออธิบายไม่ชัดเจนและปล่อยให้ผู้เฒ่าลู่เข้าใจผิดคิดว่าพวกเราเป็นคนรักกันไปได้

“ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก อย่างที่คุณปู่ว่า ผมไม่ค่อยขับรถให้ใครนั่ง เห็นอย่างนั้นคุณปู่เลยแสดงปฏิกิริยาเกินเหตุไปหน่อย”

“เรามาถึงแล้ว”

ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นและเห็นโรงพยาบาลอยู่ข้างหน้า

เมื่อพวกเขามาถึงประตู เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็หยุดพวกเขา “คุณครับ คุณผู้หญิง ต้องลงทะเบียนข้อมูลการเยี่ยมและแจ้งให้เราทราบว่าคุณจะมาเยี่ยมผู้ป่วยคนไหนครับ”

หลังจากนั้นไม่นาน เฉินป๋อเฉียงก็ลงมาต้อนรับด้วยตนเอง

ด้านรปภ. เห็นอย่างนั้นก็โค้งทำความเคารพทันที

ทั้งสองตามเขาไปข้างใน

ในลิฟต์ เฉินป๋อเฉียงมองไปที่ซูโย่วอี๋และพูดว่า “ผมขอโทษแทนภรรยาของผมด้วย ที่เธอทำอะไรโดยใช้อารมณ์แบบนั้น และผมหวังว่าคุณจะเข้าใจความรู้สึกของเธอในฐานะแม่ พ่อแม่ทุกคนยังไงก็รักลูกมากว่าตัวเองอยู่แล้ว ภรรยายของผมพอเห็นลูกเป็นแบบนั้นเลยควบคุมตัวเองไม่ได้”

“ครั้งแรกที่ซีซีจากพวกเราไป แม่ของเธอเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่เธอก็ดีใจมากที่ได้เห็นซีซีเติบโตในรายการ”

“สำหรับเรื่องนั้นก็ต้องขอบคุณคุณมากเช่นกัน”

ซูโย่วอี๋เพียงพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ

เธอเคยมีความสุขที่ได้ยินคำเหล่านี้ แต่ตอนนี้

เมื่อคุณนายเฉินตบเธอ เธอก็รู้ว่ามันก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนได้อีกแล้ว

และพอเห็นเธอแสดงสีหน้าแบบนั้น เฉินป๋อเฉียงจึงไม่พูดอะไรอีก “ผมจะหาข้ออ้างพาภรรยาผมออกมาจากห้อง แต่อย่าไปเยี่ยมเธอนานเกินไป”

เมื่อทั้งสามเข้าไปในห้องผู้ป่วย ก็เห็นเฉินซีซีกำลังอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่บนเตียง และเมื่อเธอเห็นหน้าพี่สาว กระต่ายน้อยก็ดูมีความสุขมาก

เด็กสาวลุกขึ้นและจับมือของเธอ

ซูโย่วอี๋นั่งอยู่บนขอบเตียง หวีผมที่ยุ่งเหยิงของเฉินซีซีแล้วพูดว่า “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องมาลำบากเพราะฉันนะ”

ซีซีหยิบปากกาและสมุดบันทึกขึ้นมาเขียน เห็นได้ชัดว่าเธอคงคุ้นเคยกับวิธีการสื่อสารนี้แล้ว

‘ไม่ใช่ความผิดของพี่สักหน่อย ขอบคุณที่มาหาฉันนะ’

‘แม่ตบพี่ ฉันขอโทษ ฉันไม่คิดเลยว่าแม่จะทำแบบนั้น’

“ฉันไม่โทษเธอหรอก”

จนกระทั่ง ซูโย่วอี๋เห็นผลไม้ข้าง ๆ เธอจึงรู้ตัวว่าตัวเองนั้นมามือเปล่า

“คุณลุงเฉิน เสียงของซีซีเป็นอย่างไรบ้างครับ”

“มันได้รับความเสียหายมาก แต่เราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาทำการผ่าตัดในเช้าวันพรุ่งนี้แล้ว”

ขณะที่ลู่เฉินกำลังคุยกับเฉินป๋อเฉียง ซูโย่วอี๋ก็เรียกสุนัขจิ้งจอกออกมา

“ตอนนี้เม็ดช็อกโกแลตของฉันคงสามารถซื้อยาที่ดีที่สุดได้ แม้ว่ามันจะรักษาไม่เธอไม่หาย แต่ก็คงสามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้”

แม้ว่าเฉินซีซีจะยังคงยิ้มอยู่ แต่เธอก็ไม่สามารถซ่อนความเจ็บปวดได้

เฉินซีซีโตแล้วและรู้วิธีที่จะไม่ทำให้คนอื่นเป็นกังวลเกี่ยวกับเธอ

ในไม่ช้าจิ้งจอกก็แลกเม็ดช็อกโกแลตของซูโย่วอี๋กับยาเม็ดหนึ่ง

[ฉันสำรวจมาทั้งระบบแล้ว ยาเม็ดนี้ได้ผลดีที่สุดในตอนนี้ แม้ว่ามันจะไม่ได้ผลกับคอ แต่ก็สามารถลดความเจ็บปวดได้ถึง 10%]

ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้ว “แล้วแบบที่รักษาคอไม่มีเหรอ?”

[ไม่] สุนัขจิ้งจอกบ่น [ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากเปลี่ยน แต่ว่าเม็ดช็อกโกแลตของคุณน้อยเกินไป และยาเม็ดที่ธรรมดาที่สุดสำหรับรักษาคอต้องการเม็ดช็อกโกแลตมากกว่า 1,000 เม็ด]

เมื่อได้ยินเช่นนี้ซูโย่วอี๋ก็ไม่รู้จะพูดอะไร เธอเอายาใส่ในแก้วน้ำและเทน้ำใส่เข้าไป

จากนั้นยื่นให้เฉินซีซีแล้วพูดว่า “ดื่มน้ำนี่ก่อน จะได้ชุ่มคอ”

เฉินซีซีลังเลอยู่พักหนึ่ง เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้มันทำให้กระต่ายมีบาดแผลทางจิตใจ ในการดื่มน้ำ

เฉินซีซีกลั้นใจจิบไป 2 ครั้ง และเธอก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดที่คอของเธอดีขึ้น เธอจึงดื่มน้ำหมดแก้ว

และแล้วความเจ็บปวดในลำคอของเธอหายไปทันที

กระต่ายน้อยมองพี่สาวด้วยความสับสน

เธอเขียนบนกระดาษว่า ‘พี่สาว พี่ใส่ยาอะไรในน้ำเพื่อรักษาคอของฉันหรือเปล่า ทำไมฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลยล่ะ?’

ซูโย่วอี๋ยิ้ม “ไม่ใช่สักหน่อย เอาล่ะ ฉันจะกลับแล้ว เธอพักผ่อนให้เพียงพอนะ เดี๋ยวต้องผ่าตัดแล้วนี่ แล้วอย่าลืมบอกฉันล่ะ ว่าหลังผ่าตัดแล้วเป็นยังไงบ้าง”

เฉินซีซีเขียนบนกระดาษอย่างรีบร้อน ‘พี่ไม่มาหาฉันแล้วเหรอ?’

แต่ซูโย่วอี๋ไม่ตอบ และเปลี่ยนเรื่องไป “เธอต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะ”

เธอคิดว่าคุณนายเฉินน่าจะกลับมาเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรีบออกจากโรงพยาบาลก่อน

“ประธานลู่คะ นี่มันก็ดึกแล้ว”

ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่ม

“ให้ฉันจะเลี้ยงอาหารค่ำคุณแล้วกันนะคะ”

ลู่เฉินมองเธอและพูดว่า “ไม่เป็นไร คุณกลับบ้านไปกับผมเพื่อไปกินอาหารค่ำด้วยกันดีกว่า”

อะไรนะ?

ซูโย่วอี๋ตกใจมากจนแทบจะกัดลิ้นตัวเอง

“คุณปู่ขอให้ผมพาแฟนกลับบ้าน”

แต่เธอไม่ได้เป็นแฟนเขาสักหน่อย นอกจากนั้น พ่อแม่ของเขาก็อยู่ที่นั่นด้วย แล้วเธอต้องทำตัวยังไงเมื่อครอบครัวของเขาอยู่กันพร้อมหน้า

ลู่เฉินเลิกคิ้วและพูดว่า “คุณปู่เป็นแฟนคลับของคุณ เขาชอบคุณมาก ผมคิดว่าเขาคงมีความสุขที่ได้เห็นไอดอลที่ชอบ ก็เหมือนกับการได้เห็นหลานสะใภ้นั่นแหละ”

อย่างนี้มันก็ยิ่งแย่ไปใหญ่ไม่ใช่เหรอ?

ซูโย่วอี๋ปฏิเสธทันทีโดยไร้ลังเล

“วันนี้ผมช่วยคุณตั้งเยอะ แค่กลับบ้านไปกินข้าวเย็นกับผมแค่นี้เอง แล้วเราจะจัดการมันให้เสร็จ”

ซูโย่วอี๋ได้ยินอย่างนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก

เมื่อรถแล่นบนถนน เธอก็เริ่มกังวล

“ฉันตกลงก็ได้ แต่คุณต้องอธิบายกับพวกเขาให้ชัดเจนนะว่าฉันไม่ใช่แฟนของคุณ”

ลู่เฉินมองเธออย่างอารมณ์ดี เขากังวลว่ามันอาจจะสายเกินไป “เป็นแฟนผม มันไม่ดีเหรอ?”

มันสายเกินไปที่จะหลีกเลี่ยงคำถามนี้

“ไม่ใช่ว่ามันดีหรือไม่ดี แต่ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ต่างหาก” ซูโย่วอี๋พูดอย่างไม่ลังเล

ลู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเธอ

“ว่าแต่เราต้องซื้อของไปฝากไหม ไปมือเปล่าคงไม่สุภาพเท่าไหร่”

“คุณไม่ใช่แฟนผม ไม่จำเป็นต้องซื้ออะไรทั้งนั้น”

“อีกอย่าง…”

คำพูดของเขาหยุดลง ซึ่งทำให้เธออยากรู้อยากเห็นมาก “อะไร?”

“ถ้าคุณเป็นแฟนผม ผมคงเตรียมทุกอย่างไว้ให้คุณแล้ว”

จะไม่เปิดโอกาสให้ครอบครัวไม่ชอบคุณเลย…

ซูโย่วอี๋ได้ยินอย่างนั้นก็หน้าแดงอย่างอธิบายไม่ถูก เธอไม่พูดอะไรอีกและหันไปเล่นโทรศัพท์

เมื่อเห็นว่าซูหยินโทรมา

ซูโย่วอี๋จึงรับโทรศัพท์ทันที

[ที่รัก ทำไมเธอยังไม่กลับมาอีก]

ซูโย่วอี๋ชำเลืองมองลู่เฉินแล้วพูดว่า [ฉันขอโทษ ฉันลืมบอกเธอไปเลยว่าฉันไม่เป็นไร ตำรวจจะจับคนร้ายได้ในอีกไม่ช้า แล้วฉันก็สบายดี]

[โอเค กลับมาเร็ว ๆ ฉันรออยู่ที่บ้านเธอแล้ว]

หลังจากวางสาย ซูหยินก็สั่งอาหาร ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตู เธอไปเปิดประตูโดยไม่มองด้วยซ้ำว่าใครมา

เมื่อเปิดประตู ก็เห็นชายคนหนึ่งบุกเข้ามาในห้องและกดเธอไว้กับผนัง ตะโกนด้วยเสียงที่กลั้นไว้

“ซูหยิน”