บทที่ 117 พรากชีวิตลู่หยวน (ปลาย)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 117 พรากชีวิตลู่หยวน (ปลาย)

บทที่ 117 พรากชีวิตลู่หยวน (ปลาย)

[ระบบกำลังตรวจสอบ]

[ตรวจสอบเสร็จสิ้น!]

[ระบบแจ้งเตือน กระบี่เล่มนี้คือกระบี่โค้งของราชันมาร เป็นกระบี่หักของเผ่ามารที่ถูกหลอมขึ้นใหม่!]

[กระบี่โค้งของราชันมารน่าจะอยู่ที่ระดับสวรรค์!]

[ระบบแจ้งเตือน ท่านรวบรวมชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ของกระบี่โค้งราชันมาร จึงจะสามารถหลอมมันขึ้นใหม่ จนได้รับอาวุธระดับสวรรค์มาครอง!]

เมื่อลู่หยวนได้ยินดังนี้ ดวงตาของเขาทอประกาย

กระบี่โค้งของราชันมารหรือ?!

คาดไม่ถึงว่าตระกูลเสิ่นจะซ่อนของดีเช่นนี้เอาไว้!

จิตสังหารในดวงตาของลู่หยวนรุนแรงมากขึ้น สายตาของเขาเหมือนกับกำลังล่าสัตว์ เมื่อความคิดขยับ เขาก็ควบคุมสมาชิกตระกูลเสิ่นในพื้นที่ให้โจมตีรุนแรงมากขึ้น

ทุกคนยืนหยัดขึ้นพร้อมกระบี่ในมือ เครื่องหมายแปลกประหลาดบนหน้าผากพลันส่องแสง จากนั้นกระบี่ยักษ์พลันขยายขึ้นหลายเท่า ก่อนฟาดฟันออกไป

ตูม! ตูม! ตูม!

ปราณกระบี่ที่เป็นของเสิ่นฉงยังคงขยับตัดผ่านอากาศ รุกคืบเข้าหากระบี่ของเหล่ายอดฝีมือ

เสิ่นฉงมองดูคนบางส่วนที่กำลังฟาดฟันเข้ามา จิตสังหารพลันพวยพุ่ง แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้

ในใจบรรพชนรู้ดีว่าคนเหล่านี้คือลูกหลาน จึงไม่อาจลงมือฆ่าได้

แต่ท่ามกลางเหล่ายอดฝีมือเหล่านี้ เสิ่นโตวก้าวเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ยุทธ์แล้ว เป็นอันดับหนึ่งในตระกูลเสิ่นที่เป็นรองแค่บรรพชนผู้นี้เท่านั้น จึงนับว่าเป็นปรมาจารย์กระบี่อันดับต้น ๆ ของทั่วทั้งแดนเหนือ!

หากเสิ่นโตวตาย ย่อมนับเป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงสำหรับตระกูลเสิ่น ต่อให้ใช้ทรัพยากรกองเป็นภูเขา ก็ไม่สามารถให้กำเนิดปรมาจารย์ยุทธ์ขึ้นมาได้โดยง่าย

ส่วนคนที่เหลือต่างเป็นแนวหน้าในหมู่คนรุ่นเยาว์ ผู้อาวุโสและผู้นำตระกูลเสิ่นในอนาคตล้วนต้องคัดเลือกจากในหมู่พวกเขา

หากพวกเขาทุกคนตาย ในตระกูลเสิ่นก็จะไม่เหลืออะไรอีกแล้ว… ต้องตกต่ำไปอีกหลายพันปี ต่อให้บรรพชนผู้ไร้เทียมทานควบคุมตระกูลเสิ่นด้วยตัวเองก็เปล่าประโยชน์!

พริบตาที่เหล่ายอดฝีมือพุ่งมาหมายจะสังหารเขา พลังของเสิ่นฉงพุ่งทะยาน เขาตัดสินใจบางอย่างได้จึงยกฝ่ามือขึ้นฉับพลัน คลื่นอากาศเคลื่อนตามเข้าปะทะกับกระบี่ยักษ์ของผู้คนจำนวนมาก

อาศัยจังหวะที่ทุกคนฟันผ่านคลื่นอากาศ เขาหันหลังทันที กระบี่ยาวในมือสั่นไหว พลังสีดำทมิฬแผ่ซ่านไปทั่ว ปกคลุมแขนทั้งหมดของเสิ่นฉงเอาไว้

ภายใต้พลังทมิฬ พลันมีสีแดงเข้มปรากฏขึ้นมา

หากมองดูอย่างละเอียด ก็จะพบว่าบนหน้าผากของบรรพชนตระกูลเสิ่นมีลวดลายสีแดงปรากฏขึ้น เส้นนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก มีพลังงานที่ชั่วร้ายแผ่ซ่านออกมา

ทันทีที่ลวดลายนี้ปรากฏ พละกำลังของเสิ่นฉงก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ชายชราทะยานไปข้างหน้า ฉีกกระชากความว่างเปล่าจนมาถึงข้างหน้าลู่หยวน

กระบี่ยาวอาบพลังทมิฬพลันเหวี่ยงออกไป พร้อมแรงกดดันที่บดขยี้ทุกสรรพสิ่งปกคลุมร่างของบุตรศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ตรึงเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา

กระบี่กวาดเข้ามาทางใบหน้าของลู่หยวน แต่เขายังยืนนิ่งโดยเอามือไพล่หลัง ใบหน้าเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยวและสายตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน

“ลู่หยวน ตายซะ!”

เสิ่นฉงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนฟาดฟันกระบี่ยาวในมือออกไป

พรวด!

โลหิตทะลัก ศีรษะลอยขึ้นหมุนคว้างในอากาศหลายตลบ ก่อนจะตกลงพื้น

เมื่อโลหิตสาดกระเซ็น หัวใจของเสิ่นฉงพลันเปี่ยมด้วยความยินดีเต็มอก แต่ก็ถูกสะกดไว้อย่างรวดเร็ว

ลู่หยวนตายแล้ว แต่ตระกูลเสิ่นยังมีหลายสิ่งที่ต้องทำ!

เจ้าเด็กนี่สร้างปัญหาให้เขามากนัก!

บรรพชนเสิ่นกำลังจะเก็บกระบี่ แต่กลับได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง …มันเป็นเสียงที่คุ้นเคย

“จุ๊ ๆๆ สุนัขเฒ่าเสิ่น เจ้ามันโหดเหี้ยมเสียจริง”

หัวใจของเสิ่นฉงแข็งทื่อ นี่มันเสียงของลู่หยวนไม่ใช่หรือ?!

บรรพชนตระกูลเสิ่นก้มมองอย่างรวดเร็ว พบว่าศีรษะที่กลิ้งอยู่นั้นไม่ใช่ของบุตรศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด ทว่าเป็นของลูกหลานตระกูลเสิ่น!

เหนือประกายโลหิต ใบหน้าอันคุ้นเคยจับจ้องเสิ่นฉง ความงุนงงเมื่อครู่ไม่อยู่ในแววตาบรรพชนอีกต่อไป แต่มันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความไม่อยากเชื่อ

เสิ่นฉงหันหลังมามองชายหนุ่มผู้ยืนอยู่กลางอากาศ อีกฝ่ายเอามือไพล่หลัง แววตาสงบนิ่ง ราวกับทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุม

ในชั่วพริบตา บุตรศักดิ์สิทธิ์สลับร่างตัวเองกับหุ่นเชิดมาร ทำให้สามารถหลบหนีมาได้

“ลู่หยวน…”

น้ำเสียงของเสิ่นฉงทุ้มต่ำ แต่มันเต็มไปด้วยโทสะเอ่อล้น “ไอ้คนชั่ว เจ้ากล้าทำแบบนี้ได้อย่างไร?! วันนี้เจ้าต้องตาย!”

“จริงหรือ?! เสิ่นฉง ตั้งแต่เจ้าย่างเท้าก้าวเข้ามาที่นี่ ชีวิตของเจ้าก็อยู่ในกำมือข้าแล้ว!”

ทันทีที่ลู่หยวนกล่าวจบ กายาพลันวูบไหวมาอยู่ด้านหลังพวกเสิ่นโตว

ชายหนุ่มใช้วิชาอย่างรวดเร็ว ค่ายกลนับร้อยใต้ยอดเขามังกรเร้นทำงานขึ้นพร้อมกัน

ค่ายกลมากมายร่ำร้องกึกก้อง กลืนกินและทับซ้อนรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ขึ้นและเริ่มเผยออกมาอย่างช้า ๆ

ใต้ยอดเขามังกรเร้น แสงสว่างสีขาวนับพันตัดกันไปมา ก่อนบรรจบกันที่จุดหนึ่ง ร่างของจงซื่อปรากฏขึ้นทันทีเหนือตำแหน่งดังกล่าว

ทันทีที่กลิ่นอายเขาปรากฏ พลังวิญญาณทั้งหลายพลันถูกชะล้าง เขาร่ายคาถาแปลกประหลาด ก่อนภาพมายาจะปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง

เต่าขนาดใหญ่โผล่ศีรษะออกมาช้า ๆ ด้านหลังของจงซื่อ ก่อนจะเผยหางที่มีลักษณะเป็นอสรพิษสีม่วง

ผู้พิทักษ์ของบุตรศักดิ์สิทธิ์พลันลืมตาขึ้น ร่างขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังสั่นไหว แรงกดดันมหาศาลแผ่ออกมาทั่วทั้งพื้นที่

ทางด้านเสิ่นฉงเองก็รับรู้ได้ถึงพลังบางอย่างแผ่ออกมาจากร่างกาย การกระทำจึงถูกยับยั้ง

“เต่าดำประจำทิศเหนือ”

เสิ่นฉงจับจ้องจงซื่อ กล่าวคำพูดนี้ออกมาช้า ๆ เขาหรี่ตา ราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ หัวใจพลันบีบรัด “นี่คือค่ายกลจตุรเทพ?!”

ทันทีที่สิ้นเสียงของเสิ่นฉง ลำแสงสองสายก็บรรจบกันทางทิศใต้และทิศตะวันตก ผู้อาวุโสอีกสองคนของสำนักอักขระสวรรค์ปรากฏขึ้นเช่นกัน ภาพมายาของวิหคเพลิงและพยัคฆ์ขาวปรากฏขึ้นที่ด้านหลังอย่างช้า ๆ

สัตว์เทพสามตนยืนอยู่ในอากาศ แรงกดดันที่แตกต่างกันของทั้งสามแผ่ออกมา สัตว์เทพสามตนล้วนแผดเสียงคำรามพร้อมเงยหน้าขึ้น แรงสั่นสะเทือนจากคลื่นกระแทกทรงพลังขึ้นเรื่อย ๆ

ภายใต้แรงกดดันมหาศาลดังกล่าว ยอดเขามังกรเร้นพังทลาย เทือกเขาที่เดิมสูงตระหง่านหายไปแล้ว

ภายใต้พลังดังกล่าว เสิ่นฉงสามารถสัมผัสได้ว่าการกระทำของตัวเองถูกขัดขวาง

หากเป็นยามปกติ ค่ายกลจตุรเทพที่มีเพียงสัตว์เทพสามตน ย่อมไม่ส่งผลกับเขาแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้เขาได้ใช้พลังส่วนใหญ่เพื่อรักษาภาพของสายฟ้าและภัยพิบัติในท้องนภา พละกำลังจึงลดลงไปมาก

วิ้ง!

เส้นแสงสว่างสีน้ำเงินตัดผ่านทุกทิศทาง หลังจากบรรจบกันทับซ้อนหลายครั้ง พวกมันก็รวมตัวที่เท้าของลู่หยวนผู้ยืนอยู่ ณ ทิศตะวันออก

เพียงพริบตา แสงสว่างปกคลุมบุตรศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณ์ ด้านหลังของเขาปรากฏศีรษะมังกรสีน้ำเงินขนาดใหญ่ขึ้นช้า ๆ

หลังจากมังกรแผดเสียงคำรามต่ำออกมา หอกพันมังกรเก้าสวรรค์ก็ปรากฏขึ้นในมือขวาของชายหนุ่มเช่นกัน ก่อนจะลอยไปอยู่ที่ด้านหลัง

ลู่หยวนยืนตระหง่านกลางฟ้า พลางจับจ้องศัตรูด้วยสายตาเหยียดหยัน ราวกับโอรสสวรรค์ก็ไม่ปาน

เสิ่นฉงสัมผัสได้ว่าหลังจากมังกรสีน้ำเงินปรากฏขึ้น พลังทั่วทั้งพื้นที่รอบข้างก็พวยพุ่งอีกครั้ง แม้กระทั่งแสงสว่างสีทองของกระบี่ยาวในมือเขาก็หม่นหมองลงไปมาก

บรรพชนตระกูลเสิ่นเค้นพละกำลังของตัวเองเพื่อลดแรงกดดันที่ได้รับ

เขาชำเลืองมองคู่กรณี “แค่ค่ายกลจตุรเทพ จะเอามากักขังข้าผู้นี้ได้หรือ?!”