บทที่ 96 อาหารวันส่งท้ายปี

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 96 อาหารวันส่งท้ายปี

บทที่ 96 อาหารวันส่งท้ายปี

กู้เสี่ยวหวานวางกับข้าวลงตรงหน้าทุกคนจนเต็มโต๊ะ ด้วยเหตุที่ต้มกระดูกมาตั้งแต่บ่าย ไขกระดูกจึงละลายออกมาในน้ำ ส่งผลให้น้ำแกงมีรสเข้มข้น กลิ่นหอมชวนน้ำลายสอโชยปะทะจมูกของทุกคนในทันที

ท่านป้าจางสูดหายใจเข้าแรง ๆ ทำให้กลิ่นโชยเข้าจมูกนางทันที “เสี่ยวหวาน หอมมากเลย!”

เสี่ยวฉือโถวเองก็สูดกลิ่นเข้าจมูกลึก ๆ แล้วพูดขึ้นเหมือนกันว่า “อืม หอมจริง ๆ!”

ท่านลุงจางยกนิ้วโป้งแล้วเอ่ยชม “ไม่เคยเห็นบ้านไหนทำน้ำแกงแบบนี้มาก่อนเลย เสี่ยวหวานฉลาดมากจริง ๆ”

เมื่อเห็นครอบครัวท่านป้าจางชมพี่สาวตัวเอง กู้หนิงผิงก็พูดอย่างภูมิใจ “ท่านป้าจาง พี่ฉือโถว พวกท่านรีบกินเถอะขอรับ อร่อยมากจริง ๆ นะ!ฝีมือพี่สาวข้าไม่ใช่แค่คุยโม้หรอกนะ!”

กู้หนิงผิงไม่ได้พูดอวยพี่สาวของตน เพราะว่าฝีมือทำอาหารของพี่สาวเขานับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ

กู้เสี่ยวหวานมองกู้หนิงผิงนิด ๆ แล้วแกล้งทำเป็นโกรธ “อย่าไปฟังหนิงผิงพูดเลยเจ้าค่ะ ฝีมือข้าไม่ได้ดีอะไรเลย! ครอบครัวยากจน ไหนเลยจะเคยกินของพวกนั้น!” กู้เสี่ยวหวานพูดก็ไม่ผิดเช่นกัน ก่อนหน้านี้แม้ได้ข้าวก็ยังกินไม่อิ่ม นับประสาอะไรกับอาหารที่มีทั้งน้ำแกงกระดูกทั้งเนื้อแบบนี้

หลังจากตักน้ำแกงแบ่งทุกคนคนละถ้วย กู้เสี่ยวหวานก็พูดว่า “ท่านลุงจาง ท่านป้าจาง พวกท่านกินกันเถอะเจ้าค่ะ!”

ท่านป้าจางกับท่านลุงจางมองตากันแล้วยิ้ม พูดว่าอืมพร้อมกัน แต่ไม่ได้รีบร้อนขยับตะเกียบ กลับมองเด็ก ๆ ตระกูลกู้ที่นั่งอยู่แล้วพูดว่า “เสี่ยวหวาน พวกเจ้าก็กินเถอะ รีบกิน ๆ!”

กู้เสี่ยวหวานเห็นท่านป้าจางกับท่านลุงจางเรียกให้ตัวเองกิน เด็ก ๆ ทั้งสี่ก็ยิ้มให้กัน แต่กลับไม่ขยับตะเกียบ

“ท่านลุงจาง ท่านป้าจาง พวกท่านเป็นผู้อาวุโส เชิญกินก่อนเลยเจ้าค่ะ” กู้เสี่ยวหวานอธิบายเหตุผลให้ท่านลุงจางกับท่านป้าจาง

นี่เป็นคำสอนของบ้านตระกูลกู้ บนโต๊ะอาหาร หากผู้อาวุโสที่สุดไม่ขยับตะเกียบก่อน คนอื่น ๆ ก็จะไม่ขยับตะเกียบด้วย

บนโต๊ะอาหารมื้อนี้ ผู้ที่อาวุโสที่สุดก็คือป้าจางกับลุงจาง ปกติแล้วในบ้านตระกูลกู้ หากกู้เสี่ยวหวานไม่ขยับตะเกียบ กู้หนิงอัน กู้หนิงผิง กู้เสี่ยวอี้ก็จะไม่มีใครขยับตะเกียบกินข้าว

อย่างในตอนนี้ท่านป้าจางและท่านลุงจางไม่ขยับตะเกียบ ถ้าพวกเขาไม่กินก่อน พวกกู้เสี่ยวหวานก็ยิ่งไม่มีใครสามารถกินก่อนได้

แม้ท่านป้าจางจะบอกให้ทุกคนกินได้แล้ว แต่เพราะว่าตั้งแต่เด็กพวกเขาก็ถูกสอนมาแบบนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนกฎนั้น

เดิมทีท่านป้าจางกับท่านลุงจางจะพูดว่าปีใหม่ทั้งทีไม่ต้องมากพิธี แต่พอนึกได้ว่าครอบครัวกู้พวกนี้ถูกอบรมสั่งสอนมาแบบนี้แล้ว ตัวเองเป็นคนนอก ก็ไม่ควรแหกกฎของตระกูลกู้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก

นางมองเด็กตระกูลกู้ทั้งสี่ที่นั่งเรียงกันอย่างเรียบร้อยก็ลอบถอนหายใจ เด็ก ๆ เหล่านี้แม้ว่าจะยากจน แต่กลับรู้จักขนบธรรมเนียม รู้จักมารยาทเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่พูดมากอีกแล้วยกน้ำแกงขึ้นดื่มหนึ่งคำ

เพิ่งดื่มไปเท่านั้น กลิ่นหอมเข้มข้นของน้ำแกงก็ตีขึ้นจมูกทันที รสชาติอร่อยมากจริง ๆ ชาวชนบทอย่างพวกเขาไม่กินกระดูกหมูแบบนี้ คิดว่ากระดูกหมูพวกนี้ไม่มีเนื้อสักนิด ยังต้องจ่ายเงินซื้ออีก อีกทั้งยังไม่มีรสชาติเลยด้วย ดังนั้นทุกคนจึงไม่กินมัน และคนขายเนื้อยังเอาไปทำอาหารสุนัขด้วยซ้ำ ทว่าคิดไม่ถึงว่าเมื่อกระดูกหมูมาอยู่ในมือของกู้เสี่ยวหวาน มันกลับทำให้น้ำแกงมีรสชาติอร่อยล้ำเลิศขนาดนี้ได้ เป็นสิ่งที่นางไม่กล้าคิดถึงเลย

“น้ำแกงนี้ไม่เลวเลยจริง ๆ เสี่ยวหวานฝีมือดีจริง ๆ! เหล่าจาง วันนี้พวกเราเจริญอาหารแล้ว!” ท่านป้าจางพูดชื่นชม

ท่านลุงจางก็ดื่มหนึ่งคำเช่นกันพูดตอบว่า “ใช่ ๆ ไม่เลว ๆ!”

ได้ยินท่านป้าจางกับท่านลุงจางชมตัวเอง กู้เสี่ยงหวานก็ดีใจมากเป็นพิเศษเช่นกัน “ท่านลุงจาง ท่านป้าจาง ถ้าพวกท่านคิดว่าอร่อย อีกประเดี๋ยวข้าจะแบ่งน้ำแกงกระดูกหมูให้ท่านนำกลับไปด้วยนะเจ้าคะ กระดูกหมูก็ถูกด้วย เพียงหนึ่งหรือสองอีแปะก็สามารถซื้อได้แล้ว กินน้ำแกงกระดูกหมูหน้าหนาวทั้งอบอุ่นร่างกายทั้งได้บำรุง ดีทั้งขึ้นทั้งล่อง!”

พอท่านป้าจางได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานจะแบ่งน้ำแกงกระดูกหมูให้ตัวเอง หางคิ้วก็ยกขึ้นอย่างยินดี “ดี ๆ เดี๋ยวข้าจะเรียนรู้กับเจ้าดูนะ กลับไปจะได้ต้มให้สองพ่อลูกนี้กินกัน!”

ทุกคนหัวเราะ ท่านป้าจางมองอาหารตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา บนโต๊ะมีข้าวขาวหุงสุก หม้อน้ำแกงกระดูกหมูหม้อหนึ่ง ผัดหน่อไม้จานหนึ่ง เนื้อถ้วยหนึ่ง อาหารเหล่าช่างเหนือความคาดหมายของนางจริง ๆ

ท่านป้าจางรู้สึกเหมือนกำลังฝัน ก่อนที่เสี่ยวหวานจะตกน้ำ พวกเขายังยากจนแม้แต่บะหมี่เกาเหลียง*ก็ยังไม่มีให้กินอยู่เลย ตอนนี้กลับมีเนื้อและข้าวบนโต๊ะ หรือว่าหลังจากกู้เสี่ยวหวานตกน้ำแล้วนางจะฉลาดขึ้น?

*เส้นที่ทำมาจากข้าวฟ่าง แป้ง และไข่ทานกับแกงน้ำใส

ท่านป้าจางทำเหมือนไม่สนใจ แต่สายตามองกู้เสี่ยวหวานอย่างละเอียด หล่อนก็พบว่าเสี่ยวหวานคนนี้ไม่เหมือนกับเสี่ยวหวานคนก่อนอย่างมาก ก่อนหน้านี้เสี่ยวหวานแม้แต่คำพูดสักประโยคยังพูดงึมงำในลำคอ พูดทีหน้าแดงที ขลาดเขลามากนัก

แต่กู้เสี่ยวหวานที่นั่งอยู่โต๊ะอาหารในตอนนี้กลับดูมั่นคงพูดจาฉะฉานอย่างที่นางไม่เคยเห็นในเสี่ยวหวานคนก่อน เสี่ยวหวานคนนี้เป็นคนที่ตนเห็นมาตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนนางเป็นอย่างไรท่านป้าจางรู้ดี

แต่กู้เสี่ยวหวานตอนนี้ ท่านป้าจางกลับไม่เคยเห็นมาก่อน กระนั้นกลับรู้สึกชอบใจมาก คนคนนี้ทั้งรู้มารยาท รู้ธรรมเนียม ราวกับเป็นคุณหนูที่เติบโตมาจากตระกูลใหญ่ ไม่มีตรงไหนเหมือนกับชาวบ้านตามชนบทเลย

ยิ่งมองเด็ก ๆ สามคนของตระกูลกู้ แม้ว่าจะอายุยังน้อย แต่พอได้เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ก็ไม่เหมือนเด็กเนื้อตัวมอมแมมอย่างเมื่อก่อน อีกทั้งเด็ก ๆ เหล่านี้ยังเป็นเด็กดีรู้พูดจามีมารยาทและรู้จักกฎเกณฑ์ด้วย

อดคิดไม่ได้ว่าเถียนซื่อที่อบรมสั่งสอนเด็ก ๆ เหล่านี้เมื่อก่อนน่าจะมีวิธีการอย่างหนึ่งแน่ ก็อดคิดไม่ได้ว่าเถียนซื่อกับกู้ฉวนฝูจากโลกนี้เร็วเกินไป จนไม่ได้เห็นว่าเด็ก ๆ เหล่านี้เติบโตมาเป็นเด็กรู้ความกันหมดแล้ว ก็พลันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย

แต่เมื่อเห็นเด็ก ๆ กินอาหารฉลองปีใหม่อย่างมีความสุขกันก็คิดได้ว่าหากเศร้าเสียใจเกินไปอาจจะทำร้ายเด็ก ๆ เหล่านี้ได้ นางจึงข่มกลั้นความรู้สึกเสียใจเอาไว้ภายใน แล้วกินข้าวฉลองปีใหม่อย่างมีความสุข

ตอนที่ท่านพ่อและท่านแม่กู้ยังอยู่ เสี่ยวฉือโถวก็เคยมากินข้าวด้วยในบางครั้ง หลังจากที่พวกเขาเสียชีวิต นี่เป็นครั้งแรกในสองสามปีมานี้ที่ฉือโถวมากินข้าวที่นี่ แม้อาหารบนโต๊ะจะไม่ได้มากมายอะไร แต่ครอบครัวของเขากลับกินเนื้อน้อยมาก การมีอาหารเช่นนี้กินจึงทำให้เขาอดรู้สึกนึกความคาดหมายไม่ได้

แต่เขาก็ไม่ได้คีบเนื้อมากินเช่นกัน

ในโลกก่อน กู้เสี่ยวหวานเคยเห็นเรื่องราวบนโต๊ะอาหารอย่าง ‘นิทานบนโต๊ะอาหาร’ พอเห็นท่าทางนั้นของเสี่ยวฉือโถว นางก็เดาสถาการณ์ได้คร่าว ๆ แม้ครอบครัวป้าจางจะดีกว่าครอบครัวตัวเอง แต่พวกเขาก็ไม่ได้กินเนื้อเหล่านี้เป็นปกติ ครอบครัวปกติมีเพียงวันปีใหม่เท่านั้นจึงจะได้กินเนื้อ เห็นเสี่ยวฉือโถวไม่คีบทาน ก็รู้ว่าเขาเกรงใจอยู่

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ส่งความอร่อยของน้ำแกงกระดูกให้ท่านป้าจางแล้ว อีกไม่นานคนทั้งหมู่บ้านก็จะรู้ว่ากระดูกเอามาทำน้ำแกงได้แน่เลย

ไหหม่า(海馬)