บทที่ 75 คนสารเลว! เจ้าเคยล่วงเกินนางงั้นรึ!

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 75 คนสารเลว! เจ้าเคยล่วงเกินนางงั้นรึ?!

ณ ห้องของไป๋ชิวหราน ซูเซียงเสวี่ยผลักประตูเข้าไป

“เป็นอย่างไรบ้าง?”

ไป๋ชิวหรานที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ เห็นนางเดินเข้ามาจึงรีบเอ่ยถามทันที

“อารมณ์ของเจ้าสำนักเยว่สงบลงแล้ว”

ซูเซียงเสวี่ยเอ่ยตอบ

“โชคดีที่สำนักเทียนอวี้ฝึกฝนตนเน้นไปทางวิถีแห่งธรรม ให้ความสำคัญกับการขัดเกลาจิตใจเป็นพิเศษ”

“แล้วมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?!”

หลีจิ่นเหยาโพล่งขึ้นบ้าง

“เหตุใดจู่ ๆ ผู้อาวุโสเยว่เชียนเหรินถึงได้มีนิสัยราวเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ซ้ำยังลงมือแม้แต่กับน้องชายแท้ ๆ ”

“ก่อนจะกล่าวถึงเรื่องนั้น แม่นางหลีจิ่นเหยา เหตุใดเจ้าถึงมาปรากฏตัวในห้องชายโสดอย่างข้าเช่นนี้เล่า? จี้หลิงอวิ๋นกับหวงฝู่เฟิงเป็นกังวลเรื่องเจ้าแทบตายมิใช่หรอกรึ?”

ไป๋ชิวหรานชำเลืองมองนาง

หลีจิ่นเหยามองซูเซียงเสวี่ย แล้วจึงหันไปมองถังรั่วเวย จากนั้นหันกลับมามองเขาด้วยสายตาไร้เดียงสาโดยไม่กล่าวตอบคำใด

“นางเป็นศิษย์สายตรงของข้า ส่วนแม่นางอีกคนก็เป็นสหายเป็นของข้า ทว่าในนามแล้ว นางที่แท้เป็นดวงดาราแห่งความหวังคนต่อไปของสำนักฟากฝั่งศัตรู การที่เจ้ามาอยู่ในห้องส่วนตัวของหัวเรือใหญ่ฝ่ายศัตรูเช่นนี้ เป็นเรื่องที่สมควรแล้วรึ?”

หลีจิ่นเหยากะพริบตาปริบก่อนเอ่ยตอบ

“ข้าอยากรู้…”

“ช่างเถิด ปล่อยให้ฟังก็ย่อมได้ แล้วเจ้าค่อยนำสารของข้ากลับไปบอกกล่าวแก่สำนักอสูรสวรรค์ในภายหลัง”

ไป๋ชิวหรานโบกมือและเริ่มกล่าวถึงเรื่องสำคัญ

“เยว่เชียนเหรินโจมตีเยว่เชียนเหลียน นั่นเป็นเพราะเขาไม่ใช่เยว่เชียนเหรินคนเดิมอีกต่อไป ทว่าถูกใครบางคนแย่งชิงดวงวิญญาณไป”

“แย่งชิงไปงั้นรึ?”

หลีจิ่นเหยากะพริบตาอีกครั้งก่อนเอ่ยถาม

“แต่ผู้อาวุโสภูตจากสำนักวิญญาณหยินก็อยู่ไม่ห่างจากข้าในตอนนั้น ยิ่งไปกว่านั้นได้ทำการตรวจสอบทั้งหมดแล้ว วิญญาณแรกกำเนิดและดวงจิตของผู้อาวุโสเยว่เชียนเหรินมิได้เกิดปัญหาร้ายแรง แล้วเหตุใดยังถูกพรากเอาดวงวิญญาณไปอีกเล่า?”

“เรื่องนั้นข้าไม่อาจล่วงรู้เช่นกัน บางทีนี่อาจเป็นฝีมือของเซียนปฐพีก็เป็นได้”

ไป๋ชิวหรานเอ่ยตอบ

“ข้าคาดเดาว่าสิ่งที่เขาใช้โจมตีเยว่เชียนเหลียนเมื่อครู่น่าจะเป็นกุญแจอันนำไปสู่การแย่งชิงดวงวิญญาณ จริงสิ…เจ้าได้เก็บสิ่งของชิ้นนั้นไว้หรือไม่?”

“ผู้อาวุโสฉีได้รวบรวมชิ้นส่วนไว้ และนำพวกมันกลับมาศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

ถังรั่วเวยกล่าวตอบ

“ประเดี๋ยวก่อน หากท่านกล่าวเช่นนี้ อาจารย์…เมื่อครู่นี้ท่านถูกสิ่งนั้นโจมตีด้วยเช่นเดียวกัน…”

ขณะที่กล่าวเช่นนั้น นางก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว แววตาฉายชัดซึ่งความระแวดระวัง

“เป็นอะไรไป? เจ้าสงสัยข้างั้นรึ?”

ไป๋ชิวหรานตอบอย่างเกียจคร้าน

“เจ้าสิ่งนั้นทำลายการป้องกันของข้าไม่ได้เสียหน่อย”

“อืม…บางทีการที่มันแตกร้าวอาจไม่ใช่เพราะสามารถทำลายป้องกันได้ แต่อาจเป็นเพราะสัมฤทธิผลแล้ว…”

ถังรั่วเวยก้มหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นจึงโพล่งถาม

“อาจารย์ ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าหน้าอกของข้ามีขนาดใหญ่เพียงใด?”

“ว่าอย่างไรนะ?!”

ซูเซียงเสวี่ยร้องอุทานลั่น ทั้งตื่นตระหนกและโกรธเคืองยิ่ง

“…จะรู้ได้อย่างไรว่าหน้าอกเจ้ามีใหญ่เพียงใด? คนสารเลว! เจ้าเคยล่วงเกินรั่วเวยอย่างนั้นรึ?!”

“อะไรกัน?!”

ทว่าซูเซียงเสวี่ยไม่คาดคิดว่าไป๋ชิวหรานจะตื่นตกใจเสียยิ่งกว่าตน ทันทีที่ชายเรือนผมขาวผู้นี้ได้ยินคำถามจากปากของศิษย์สายตรง เขาจึงกล่าวตอบโดยไร้ซึ่งความลังเลระคนประหลาดใจ

“รั่วเวย เจ้าเคยมีหน้าอกใหญ่ด้วยหรือ? เหตุใดอาจารย์จึงไม่เคยล่วงรู้มาก่อน?”

“เอ๋?”

“เอ๊ะ?”

“หืม? จริงหรือ?”

เมื่อไป๋ชิวหรานกล่าวจบ หลีจิ่นเหยาและซูเซียงเสวี่ยต่างมองไปที่หน้าอกของถังรั่วเวยโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นไป๋ชิวหรานหันมองทั้งทางซ้ายและทางขวาด้วยความงุนงงก่อนจะหันกลับไปมองถังรั่วเวย

ถังรั่วเวยก้มหน้างุด บรรยากาศภายในห้องตอนนี้กลับกลายเป็นอึดอัดและอันตรายชอบกล

หญิงสาวก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ร่างกายสั่นเทาอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นนางก็ยกมือขึ้นหวังจะตบไปที่ใบหน้าของไป๋ชิวหราน

“ดูฝ่ามือนี้ให้ดี!”

ถังรั่วเวยเงื้อฝ่ามือหมายตบใบหน้าของไป๋ชิวหราน ทว่าพลังปราณกลับพุ่งสะท้อนกลับทันที กลับกันเป็นฝ่ามือของนางเสียเองที่รู้สึกเจ็บแปลบ

ถังรั่วเวยกุมมือพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ

“อืม ข้ายืนยันได้แล้ว ท่านคืออาจารย์ของข้าไม่ผิดแน่”

“เอาเถิด ถึงข้าจะไม่รู้แน่ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์ของพวกเจ้าเป็นอย่างไร แต่ฟังจากการที่ไป๋ชิว…เอ่อ…คุณชายยังคงกล่าววาจาระคายหูเช่นนี้ เป็นตัวเขาเองไม่ผิดแน่”

ซูเซียงเสวี่ยกล่าว

“แล้วตอนนี้ควรทำอย่างไรต่อไป? หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเยว่เชียนเหริน นั่นไม่ได้หมายความว่าในอนาคตพวกเราทุกคนอาจถูกเซียนปฐพียึดครองดวงวิญญาณหรอกรึ…”

“เช่นนั้นคงต้องรอผลสรุปของการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากสำนักเสวียนฝ่าเท่านั้น…ข้าขอแนะนำว่าในช่วงเวลานี้ นอกเหนือจากคนของสำนักเสวียนฝ่าแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าใกล้พื้นที่นั้นอย่างเด็ดขาด…รวมถึงพวกเรา”

ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อไป

“สำหรับพวกเรา ควรหยุดยั้งการปรากฏขึ้นของเมืองโบราณและสังหารเยว่เชียนเหรินเสียก่อน แล้วค่อยหารือเรื่องนั้นในภายหลัง”

“เจ้ามีวิธีหยุดยั้งเมืองโบราณแล้วหรือ?”

ซูเซียงเสวี่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“รออีกสักสองถึงสามวัน”

ไป๋ชิวหรานชี้นิ้วไปยังพื้นตรงฝ่าเท้าของตนพร้อมเผยรอยยิ้ม

“ข้าทำข้อตกลงบางประการไว้กับผู้ที่อยู่เบื้องล่าง”

ท่ามกลางความมืด ‘เยว่เชียนเหริน’ นั่งอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง มองดูอักขระลึกลับที่ปรากฏขึ้นรอบกาย

เขาจับพนักวางแขนทั้งสองข้างบนบัลลังก์ ก่อนทำการควบคุมวิถีการเคลื่อนย้ายตำแหน่งของเมืองโบราณ

ทันใดนั้นใบหน้าของ ‘เย่วเชียนเหริน’ กลับแดงก่ำ หนำซ้ำยังกระอักเลือดออกมากองใหญ่ เขารีบยกมือขึ้นปิดปาก ทว่าอักขระที่อยู่ตรงหน้ากลับบิดเบี้ยวก่อนจะอันตรธานหายไปกลางอากาศราวบ่งบอกถึงสัญญาณที่ไม่ชอบมาพากล

“แค่รอยขีดข่วนเพียงรอยเดียว มีพลังมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”

เขาก้มหน้าลงมองรอยแดงบนฝ่ามือ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

“ร่างนี้ อย่างน้อยก็มีระดับขั้นการฝึกตนอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นผสานร่าง ถึงกระนั้นไม่ควรประมาท…”

ชายหนุ่มเงยหน้าพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นคว้าพนักวางแขนของบัลลังก์อีกครั้ง เบื้องหน้าพลันปรากฏแผนที่ขนาดใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด มันคือแผนที่ซึ่งรวมดินแดนของเผ่ามนุษย์ทั้งเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน แม้แต่ดินแดนรกร้างและดินแดนของเผ่าปีศาจไว้

‘เยว่เชียนเหริน’ กวาดสายตาสำรวจผ่านดินแดนทางฝั่งตะวันตกไปก่อน จึงค่อยเบนสายตาไปใกล้กับแม่น้ำต้วนหุน

“นับตั้งแต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แยกตัวออกมาจากเขตปกครองต้วนหุน ดินแดนนี้ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนรกร้างไปแล้วหรือ?”

หลังจากคิดคำนึงอยู่ชั่วครู่จึงถอนสายตากลับมา แล้วมองไปยังจุดที่เปล่งแสงสว่างซึ่งปรากฏขึ้นตามสถานที่ต่าง ๆ ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน

“ช่างเถิด รอให้ปลดปล่อยเพื่อนร่วมชาติของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยังหลับใหลขึ้นมาได้ ไม่ช้าก็เร็ว…ข้าจะยึดครองดินแดนซึ่งสูญหายไปกลับคืนมา”

เขาเอื้อมมือออกไปแตะแผนที่ของเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน จากนั้นพลันบังเกิดความลังเลบางอย่าง

“คนรุ่นหลังเหล่านั้นจับตัวข้าได้ในครานี้ เห็นได้ชัดว่าสามารถคาดเดาวิถีการเคลื่อนที่ได้ แม้ว่าตัวข้าจะไม่เกรงกลัวการต่อสู้เป็นหมู่คณะ ทว่า…”

ในห้วงความคิดของเขาปรากฏภาพฝ่ามือของไป๋ชิวหรานที่ฟาดใส่ขึ้นมาอีกครั้ง

“ช่างเถอะ”

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขายื่นมือออกไปเปลี่ยนเส้นทางการเคลื่อนที่ของเมืองโบราณเสียใหม่

“ดูจากสถานการณ์แล้ว เราควรปลดผนึกถ้ำเซียนให้สำเร็จเสียก่อน ด้วยวิธีนี้แล้ว ต่อให้คนรุ่นหลังที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาหรือวิถีแห่งภายนอกจับตัวข้าได้และสังหาร ย่อมไม่สำคัญอีกต่อไป”

สองมือของเขากำลังร่ายรำเวทมนตร์คาถาซึ่งพบเห็นได้ยากยิ่งในยุคสมัยนี้ วิญญาณภูตโบราณที่ขดตัวอยู่ภายในร่างกายของเยว่เชียนเหรินจัดเตรียมทุกสิ่งไว้พร้อมสรรพอย่างเงียบเชียบ

ภายใต้การควบคุมของเขา เมืองโบราณค่อย ๆ เลี้ยวเข้าไปในช่องแห่งความว่างเปล่า จากนั้นเคลื่อนที่ไปยังอีกตำแหน่งหนึ่งอย่างเนิบช้า…