เล่ม 1 ตอนที่ 19 วีรบุรุษช่วยหญิงงาม

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 19 วีรบุรุษช่วยหญิงงาม
ยามเฉียวเวยเผชิญหน้ากับเสือหนุ่มโตเต็มวัยที่แข็งแกรงกำยำตัวหนึ่ง นางอาจรู้สึกหวาดกลัว ความต่างในด้านพละกำลังและความด้อยประสบการณ์ทำให้นางไม่อยากวัดฝีมือกับกรงเล็บของมัน

แต่มนุษย์ไม่เหมือนกัน

บนร่างกายมนุษย์มีจุดอ่อนมากมายนัก เพียงแค่จุดลมปราณสำคัญก็มีหนึ่งร้อยแปดจุด สามสิบหกจุดในนั้นเป็นจุดที่อันตรายถึงตาย เรียกว่าจุดตาย

จุดตายยังแบ่งออกเป็นสี่ประเภทได้แก่ทำให้ชาไร้เรี่ยวแรง ทำให้เวียนหัวหน้ามืด ทำให้บาดเจ็บเบาและทำให้บาดเจ็บหนัก แต่ละประเภทมีทั้งหมดเก้าจุด

มีบทเพลงเคล็ดวิชาอยู่บทหนึ่งร้องไว้ดังนี้…“กระแทกไป่ฮุ่ย[1]ล้มลงพื้น ฟาดเหว่ยหลีว์[2]มิอาจหวนคืน โจมตีจังเหมิน[3]สิบคนตายเสียเก้า จู่โจมไท่หยาง[4]ยาเหมิน[5]ย่อมพบยมบาล หักสันหลังมิอาจขยับกระดูก ล้มทรุดมินานวายชีวา”

ขอเพียงเข้าใจเคล็ดเหล่านี้ จัดการยอดฝีมือธรรมดาย่อมมิใช่ปัญหา

บุรุษร่างใหญ่โถมเข้าใส่เฉียวเวยในพริบตา ทว่าเฉียวเวยไม่แม้แต่จะกะพริบตา

สายลมโถมเข้าใส่หน้า พัดเส้นผมดำขลับของนางให้ลอยพลิ้วดั่งผืนผ้าไหม

นางยื่นมือหลบแขนบุรุษร่างใหญ่ที่เอื้อมมาหานาง แล้วจิ้มแผ่วเบาบนศีรษะของบุรุษร่างกำยำ เรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกิดขึ้นแล้ว บุรุษร่างใหญ่ราวกับถูกอสนีบาตผ่า ดวงตาเหลือกลอย ร่างกายแข็งทื่อ ล้มตึงลงกับพื้นในทันใด

ลูกกระจ๊อกทั้งสองเห็นพี่ใหญ่ถูกอีกฝ่ายเล่นงานอย่างโหดเหี้ยมกลับไม่กล้าเชื่อสายตาตนเองอย่างสิ้นเชิง พี่ใหญ่ของพวกเขาเป็นอันธพาลเลื่องชื่อในเมืองเชียวนะ ฝีมือนับว่าเป็นหนึ่งในร้อย! เพียงหนึ่งกระบวนท่าก็ถูกแม่นางน้อยผู้นี้ล้มได้เช่นไร

แม่นางน้อยมีอาวุธลับใช่หรือไม่

ทั้งสองคนมองหน้ากัน

“ทำอย่างไรดี ลุยหรือไม่ลุย”

“…แน่นอนลุยสิ! ไม่เห็นพี่ใหญ่ถูกนางจัดการจนเป็นเช่นนั้นหรือ อย่างไรก็ต้องแก้แค้นให้พี่ใหญ่สิ!”

ทั้งสองคนจำใจพุ่งเข้าใส่เฉียวเวย

พวกเขาในตอนนี้ไม่เชื่อว่าเฉียวเวยจะทำอันใดพวกเขาได้จริง พี่ใหญ่เพียงไม่ระวังเท่านั้นจึงติดกับของนาง พวกเขาได้บทเรียนมาแล้วจึงระวังมือขวาของนางเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นสองคนยังกระหนาบโจมตี ไม่กลัวว่าจะจัดการนางไม่ได้!

ทว่าสิ่งที่ทั้งสองคนไม่คาดคิดมาก่อนก็คือแม้พวกเขารวดเร็วแล้ว แต่เฉียวเวยเร็วกว่าพวกเขา พวกเขามองไม่ชัดสักนิดว่าเฉียวเวยเคลื่อนไหวเช่นไร ทันใดนั้นก็รู้สึกชาหนึบกลางศีรษะ ทั้งร่างสูญเสียความรู้สึกไปจนสิ้น

พวกเขาล้มลงกองกับพื้น เบิกตาโพลงอย่างหวาดผวา

เฉียวเวยก้มลงมองพวกเขา “ยังจะจัดการข้าอีกหรือไม่”

จัดการบ้าอะไรเล่า ชีวิตบิดาเกือบไม่เหลือแล้ว ถ้าโดนอีกดอกคงตรงไปพบยมบาล…

ทั้งสามคนส่ายศีรษะอย่างเจ็บปวด

ความรู้สึกของการกระดิกกระเดี้ยวไม่ได้ แม้ไม่เจ็บปวดเท่าถูกคมดาบเฉือนร่าง แต่กลับยากทานทนยิ่งกว่า

คนผู้หนึ่งขาชา พริบตาที่สะบัดมันเพื่อให้กลับมามีความรู้สึกยังยากจะทน ลองจินตนาการดูว่าหากชาทั้งร่างแล้วถูกระตุ้นให้ความรู้สึกกลับมาทั่วร่างพร้อมกันแต่กลับเป็นปกติไม่ได้ ต้องอดทนกับความทรมานก่อนหน้าที่จะกลับเป็นปกติอยู่เช่นนั้น…

ความรู้สึกนี้เจ็บปวดจนวิญญาณแทบจะหลุดจากร่าง!

“จอมยุทธ์หญิงไว้ชีวิตด้วย จอมยุทธ์หญิงไว้ชีวิตด้วย!” บุรุษร่างใหญ่ทนไม่ไหวแล้ว เขาไม่ได้ทุกข์ทรมานมานานมากแล้ว โฮ โฮ…

ลูกน้องทั้งสองเมื่อเห็นพี่ใหญ่ยอมแพ้ก็พากันอ้อนวอนบ้าง

เฉียวเวยเอ่ยว่า “หากเมื่อครู่ข้าขอร้องพวกเจ้าเช่นนี้ พวกเจ้าจะปล่อยข้าไปหรือไม่”

ทั้งสามคนนิ่งอึ้ง แน่นอนว่า…ไม่ปล่อย

เฉียวเวยเห็นสีหน้าของทั้งสามคนอยู่ในสายตา “ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าอาศัยอะไรมาขอร้องให้ข้าปล่อยพวกเจ้า ครอบครัวข้าเป็นแม่ม่ายกับลูกกำพร้า หนึ่งไม่ลักขโมยสองไม่ปล้นชิง อาศัยความสามารถแท้จริงค้าขายเล็กน้อยในตัวเมือง มีอะไรไปขัดตาพวกเจ้า”

“ไม่…ไม่ใช่พวกเรา…” บุรุษร่างใหญ่ใกล้จะร้องไห้แล้ว

“ข้าไม่สนว่าเป็นผู้ใด พวกเจ้ากลับไปก็จงบอกพวกเขาว่ากิจการนี้ข้าจะทำต่อแน่ หากพวกเขากล้ามาก่อความลำบากให้ข้าอีก ข้าจะไม่เพียงลงมือสั่งสอนง่ายๆ เท่านี้อีกแล้ว”

บุรุษร่างใหญ่พยักหน้าหงึกหงัก “ขอรับๆ คำพูดของท่านจอมยุทธ์หญิง พวกเราจดจำไว้แล้ว…”

เวรเอ๊ย สตรีนางนี้หาเรื่องยากเกินไปแล้ว ให้ราคาสูงอีกเท่าใด พวกเขาก็ไม่กล้ามาหาเรื่องนางอีก

เมื่อเฉียวเวยได้คำรับประกันก็หมุนตัวเตรียมจะกลับไปที่รถม้าของตน ในตอนนี้เองร่างที่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ร่างหนึ่งก็แผ่นแผล็วขึ้นไปบนรถม้าของเฉียวเวยประหนึ่งมุสิก แล้วจับตัวเด็กคนหนึ่งด้านในออกมา!

เฉียวเวยแววตาสั่นไหว “วั่งซู!”

เฉียววั่งซูร้องไห้โฮ “ท่านแม่!”

เฉียวเวยก่นด่าในใจว่าตนเองพลาดแล้ว มัวแต่สนใจจัดการอันธพาลสามคน คิดว่าคนรถของอีกฝ่ายคงจะขี้ขลาดเหมือนกับคนรถของตนเอง คิดไม่ถึงว่าจะเจ้าเล่ห์เช่นนี้!

คนผู้นั้นเหมือนจะไม่คิดยุ่งกับเฉียวเวย เขาอุ้มเด็กน้อยได้ก็สับขาวิ่งทันที

เขาเร็วยิ่งนัก เฉียวเวยสตรีคนหนึ่งไล่ตามไม่ทันแน่ หัวใจเฉียวเวยบีบรัด ขณะที่เฉียวเวยถูกอีกฝ่ายทิ้งห่างไกลออกไปอีก ด้านหน้าพลันมีเงาดำร่างหนึ่งทะยานเข้ามา ถีบคนรถจนปลิว!

มือของคนรถคลายออกอย่างไม่ได้ตั้งใจ เฉียวเวยตะโกนดังลั่น “วั่งซู”

เงาดำกระโจนอย่างฉับไว รับเฉียววั่งซูไว้ได้อย่างแม่นยำ

เฉียวเวยวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว นางรับลูกน้อยมาจากอ้อมแขนของอีกฝ่ายแล้วกอดไว้แน่น “วั่งซู!”

เฉียววั่งซูกอดคอมารดา

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวแล้วนะ” เฉียวเวยตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ

เฉียววั่งซูพยักหน้าทั้งที่ตาแดงระเรื่อ

เฉียวเวยหันไปมองผู้มีพระคุณที่ช่วยบุตรสาวเอาไว้ เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ปีคนหนึ่ง เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ดวงตาโตเปล่งประกายเจิดจ้า ลูกตาที่ราวกับนิลกวาดมองบนร่างสองแม่ลูกอย่างรวดเร็ว ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้

จากนั้นเขาก็ยกนิ้วชี้มือขวาเข้าปาก

เฉียวเวยงงงัน นางคำนับเขาแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณผู้มีพระคุณที่ลงมือช่วยเหลือ ขอถามชื่อแซ่ของผู้มีพระคุณได้หรือไม่”

เด็กหนุ่มกะพริบดวงตาโตที่ชวนให้คนลุ่มหลงคู่นั้นแล้วมองมาหาเจ้าก้อนข้าวเหนียวน้อยในอ้อมแขนของเฉียวเวย

เจ้าก้อนข้าวเหนียวน้อยถูกมองจนขัดเขินจึงบิดก้นหันหน้าไปซุกในอ้อมแขนของมารดา

เฉียวเวยนึกขำ ขณะที่กำลังจะเอ่ยต่อ รถเทียม…ควายคันหนึ่งก็วิ่งเข้ามา

ใช่แล้ว รถเทียมควายที่ทั้งใหญ่ทั้งกว้างและเรียบง่ายอย่างยิ่ง

คนขับคือบุรุษผู้สวมหมวกสานปีกกว้างคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ใส่ถุงเท้ากับรองเท้าแตะสาน มือถือแส้อ่อนเส้นหนึ่งแต่ไม่ได้ใช้ ควายร่างสูงใหญ่กำยำเดินไปข้างหน้าด้วยตัวเองเหมือนรู้จักทาง

เฉียวเวยเคยเห็นผู้อื่นในหมู่บ้านต้อนวัว แต่มิเคยมีผู้ใดต้อนได้ประหนึ่งภาพวาดเช่นนี้

หมวกปีกกว้างบดบังโฉมหน้าของเขาไว้กว่าครึ่ง เผยออกมาเพียงปลายคางเกลี้ยงเกลากับนิ้วมือขาวผ่องที่งดงามดั่งหยก

เหมือน…เคยเห็นเขาที่ไหน

นึกออกแล้ว โรงน้ำชา!

เขาก็คือบุรุษสวมหมวกบนโรงน้ำชาที่โยนเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งให้ตาเฒ่าหลี่เพื่อให้เขาเล่าเรื่องของจวนเอินปั๋วต่อ

เหตุใดจึงมาพบเขาที่นี่ได้

“สือชี”

เขาเอ่ยปาก

เสียงน่าฟังราวกับเสียงเชลโล่ใต้แสงตะวัน ทุ่มต่ำและสุขุม

เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าสือชีกระโดดขึ้นบนเกวียน

เฉียวเวยเข้าใจแล้ว เด็กหนุ่มมาด้วยกันกับเขา เมื่อครู่ที่ลงมือก็คงจะทำตามที่เขาสั่ง

เฉียวเวยอุ้มบุตรสาวเดินเข้าไปค้อมกายคำนับ “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”

บุรุษผู้นั้นผินหน้ามาเล็กน้อย เหตุเพราะหมวกที่สวมอยู่ เฉียวเวยจึงมองเห็นหน้าเขาไม่ชัด แต่นางกลับรู้สึกว่าสายตาของเขาจับอยู่บนร่างของตน เย็นเยียบ ไร้ความรู้สึก

เฉียวเวยตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าที่อีกฝ่ายลงมือมิใช่เพราต้องการช่วยผู้ใด แต่เพราะไม่ชอบถูกใครขวางทาง

[1] ไป่ฮุ่ย จุดลมปราณกลางกระหม่อม เมื่อถูกโจมตีทำให้มึนศีรษะล้มหงายสิ้นสติ

[2] เหว่ยหลีว์ จุดลมปราณระหว่างสุดปลายกระดูกสันหลังกับทวารหนัก หากถูกโจมตีจะทำให้ลมปราณทั่วร่างติดขัด เสริมลมปราณไม่ได้

[3] จังเหมิน จุดลมปราณหน้าซี่โครงแนวระนาบเดียวกับข้อศอก เมื่อถูกโจมตีจะทำให้ตับหรือม้ามกระทบกระเทือน ทำร้ายกะบังลมทำให้เลือดลมติดขัด

[4] ไท่หยาง จุดลมปราณตรงขมับที่อยู่ระหว่างระดับของหางคิ้วกับปลายหางตา หากถูกโจมตีทำให้มึนงง ตาบอดหูดับ

[5] ยาเหมิน จุดลมปราณกึ่งกลางท้ายทอย หากถูกโจมตีทำให้ส่งเสียงไม่ได้ มึนศีรษะหมดสติ