ตอนที่ 5-1หมูหนีไปแล้ว

นางหลิวต้องนอนรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองอยู่บนเตียงนอน เป็นเวลานานถึงเจ็ดวัน

ในช่วงเจ็ดวันนี้ โจวหลานซิ่วยังคงดุด่าเว่ยหยางด้วยคำกล่าวที่หยาบคายสารพัด ตามปกติวิสัยของนาง

นอกจากนี้แล้ว มิมีผู้ใดที่จ้องจับผิด และด่าว่านางอีก อีกทั้งนางหม่ายังทำอาหารให้กินอย่างอิ่มหมีพีมันทุกมื้อ

เป็นผลให้เจ็ดวันนี้ ผ่านไปอย่างมีความสุขที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่าน มาเลยทีเดียว

เมื่อเห็นว่า หลี่เว่ยหยางซักผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจวหลานซิ่วจึงเดินมายื่นถังที่ใส่อาหารหมูให้นาง

“ไปเลี้ยงหมู!”

ในหมู่บ้านแถบชนบท การให้อาหารหมูนั้น ถือเป็นความรับผิดชอบที่สำคัญมาก

โดยปกติแล้ว นางหลิวจะมิปล่อยให้ผู้อื่นทำงานนี้โดยเด็ดขาด นางจะมอบหมายหน้าที่นี้ให้แก่โจวหลานซิ่วแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

เนื่องจากนางหลิวมิได้อยู่ในขณะนี้

โจวหลานซิ่วจึงทิ้งความรับผิดชอบไปที่เว่ยหยางทันที

หลี่เว่ยหยางยิ้มกว้างอย่างมีความสุข พร้อมทั้งกล่าวว่า

“ได้สิ พี่หลานซิ่ว!”

นางรับถังนั้นมาด้วยความยินดี และมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส

หลี่เหว่ยหยางหิ้วถังที่เต็มไปด้วยอาหารหมู และนำมันไปที่คอกหมู ด้วยท่าทีที่มีความสุข

บ้านโจวเลี้ยงหมูทั้งหมดรวมแปดตัว หลี่เว่ยหยางมองไปที่ฝูงหมูด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับกำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่าง

จากนั้นจึงตักอาหารแค่เพียงเล็กน้อย แล้วทิ้งลงไปในรางข้าวหมู

ทันใดนั้น หมูทั้งหมดรีบวิ่งไปที่รางอาหาร และต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอาหารนั้น

หลี่เว่ยหยางจ้องมองดูด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก

ขณะที่พวกมันผลัก เเละดันกัน เพราะต่างก็ต้องการที่เอาชนะ โดยการกัดกันเอง

และสิ่งนี้ได้ทำให้เกิดความคิดที่น่าสนใจขึ้นมาในทันที

นางได้เดินสำรวจไปโดยรอบบริเวณคอกหมู และวางถังอาหารเอาไว้ที่ข้างคอกหมู

จากนั้นจึงเปิดประตู และปลดปล่อยหมูทั้งหมดให้ออกมา

หมูทั้งแปดตัวซึ่งถูกขังอยู่ในคอกหมูมาเป็นเวลานาน

ทันใดนั้น เมื่อได้รับอิสระ พวกมันจึงรีบวิ่งออกไปด้วยความเร็วสูงสุด

หลี่เว่ยหยางก้าวหลบไปด้านข้าง เพื่อหลีกทางให้กับบรรดาหมู ที่กำลังอยู่ในอาการแตกตื่น

เมื่อเห็นหมูทั้งหมดวิ่งหนีไปแล้ว นางจึงแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย

หลังจากนั้น นางจึงหิ้วถังที่เต็มไปด้วยอาหารหมูขึ้นมา และเดินกลับมาอย่างเงียบ ๆ

นางเดินผ่านบ้านโจว และเดินมุ่งหน้าไปยังบ่อน้ำของหมู่บ้าน

และบ่อน้ำนี้เป็นบ่อที่ชาวบ้านใช้มากที่สุด จากนั้นนางจึงเทอาหารหมูลงไปจนหมดทั้งถัง

เมื่อเห็นน้ำที่กระเซ็นขึ้นมาจากบ่อเบา ๆ หลี่เว่ยหยางจึงยิ้มอย่างอ่อนโยน และแสดงสีหน้าที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจ

ขณะนี้นมีชาวบ้านสองสามคนได้เดินผ่านมาบริเวณนี้

แต่เว่ยหยางมิได้ใส่ใจที่จะสนทนาด้วย พวกเขามองมาที่นางด้วยความประหลาดใจ แต่ก็มิได้เอ่ยถามอันใดออกมา

หลี่เว่ยหยางมองไปที่ดวงอาทิตย์เพื่อดูเวลา จากนั้นจึงตัดสินใจนั่งลงบนพื้น และจ้องมองไปที่ทางเข้าหมู่บ้านจากระยะไกล

หลังจากรอประมาณครึ่งชั่วโมงจึงได้เห็นหวังเซียนเฉิน และผู้นำหมู่บ้านกำลังเดินผ่านมาทางนี้พอดี

นางมองภาพนั้นอย่างมีความสุข.

หากผู้ใดต้องการที่จะกลับเข้ามาในหมู่บ้าน ทุกคนจะต้องเดินผ่านบ่อน้ำแห่งนี้

ในตอนแรก นางต้องการรอให้หัวหน้าหมู่บ้านเดินผ่านไปก่อน

แต่คาดมิถึงว่า หวังเซียนเฉิงจะเดินมาพร้อมกับเขาด้วย

หวังเซียนเฉินผู้นี้ เป็นนักบัณฑิตผู้เดียวของหมู่บ้าน แม้จะสอบเข้ารับราชการมิผ่านหลายครั้งหลายหน

แต่เขาก็เป็นเพียงผู้เดียวในหมู่บ้านแห่งนี้ ที่สามารถอ่านออก และเขียนได้

ดังนั้น หากจะกล่าวถึงผู้ที่มีเหตุผลมากที่สุด และมีนิสัยชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ

รักความยุติธรรม และเป็นคนดี คงมิมีผู้ใดนอกจาก หวังเซียนเฉินผู้นี้

หลี่เว่ยหยางลุกขึ้นยืนทันที ขณะที่เช็ดตาอย่างเบา ๆ นางได้มองไปยังบ่อน้ำด้วยสีหน้าที่มีความประหม่าและหวาดกลัว

หัวหน้าหมู่บ้านเดินผ่านมาและมองไปที่ หลี่เว่ยหยางด้วยความสงสัย

“นังหนูหลี่ เจ้ามาทำอันใดที่นี่”

หัวหน้าหมู่บ้านเพียงแค่กล่าวคำทักทาย

แต่ทันใดนั้น หลี่เว่ยหยางได้เงยหน้าขึ้น จึงเผยให้เห็นถึงความกังวลใจ และความเศร้า นางได้กล่าวว่า

“พี่หลานซิ่วบอกให้ข้าไปเลี้ยงหมู ข้าเผลอเรอ และซุ่มซ่ามเกินไป ถังอาหารหมูจึงตกลงไปในบ่อน้ำ

ข้าควรจะทำอย่างไร ข้าควรจะทำอย่างไรดี…คืนนี้ข้าจะต้องถูกทำร้ายจนตายแน่!”

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยอาการตื่นตระหนกว่า

“อันใด? เจ้าทำอันใดลงไป?”

หลี่เว่ยหยางแกล้งแสดงสีหน้าสับสน และหวาดกลัว จากนั้น น้ำตาได้ไหลลงมาอาบแก้มในทันที

เมื่อคนนอกได้รับรู้ ก็จะเกิดความเห็นใจ และจะต้องให้ความช่วยเหลือนาง

“ข้าจะทำอย่างไรดี! ข้าจะต้องถูกทำโทษจนตายแน่ ๆ ข้ากำลังจะถูกทำร้ายจนตาย!

ข้ามิกล้าที่จะกลับไปแล้ว เช่นนั้นข้าจะกระโดดลงไปในบ่อนี้จะดีกว่า!”

เมื่อกล่าวจบ นางจึงทำท่าปีนขึ้นไปบนบ่อน้ำ ราวกับว่า กำลังจะกระโดดลงไปจริง ๆ

ผู้นำหมู่บ้านมีความตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก และคิดว่า หากมีผู้ฆ่าตัวตายในบ่อน้ำนี้

แล้วชาวบ้านผู้อื่นก็จะมิสามารถดื่มน้ำในบ่อนี้ได้อีกต่อไป เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว และกอดรัดตัวนางเอาไว้แน่น

“ขอร้อง ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้เลย! มาหารือกันก่อน ว่าจะเอาอย่างไรดี!”

หวังเซียนเฉินสังเกตมานานแล้ว เขาลูบเคราช้า ๆ และเอ่ยถามว่า

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?

จากสิ่งที่ข้าได้ยินมา เจ้าอาศัยอยู่ที่บ้านโจว แต่พวกเขาได้รับค่าใช้จ่ายทุกเดือน แล้วยังจะมาบังคับให้เจ้าเลี้ยงหมูได้อย่างไรกัน”