“ข้ารู้ ในใจเจ้าไม่ได้คิดเช่นนี้” ซูสุ่ยเลี่ยนประคองใบหน้าหลินซือเย่า เอียงตัวเข้าจุมพิตริมฝีปากเขาเบาๆ ทีหนึ่ง เหมือนกับที่เมื่อก่อนเขาเคยทำกับนาง เห็นเขาหลับตาลง นางจึงกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อาเย่า ข้าคิดว่าใต้หล้านี้ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จงใจไม่ต้องการลูกของตนเอง ก็เหมือนที่ฮ่องเต้เซวี่ยหมิงตรัสว่ายี่สิบสี่ปีมานี้ พวกเขาก็มีแต่ความทุกข์ใจ”
“เจ้าอยากให้ข้ายอมรับพวกเขา?” หลินซือเย่าลืมตาขึ้นจ้องมองตานางที่กำลังมองเขา “หรือว่า…เจ้าอยากเป็นพระชายารัชทายาทเซวี่ยหมิง?” ตอนหลุดออกไป เขาเองก็ตกตะลึงตนเองเช่นกัน จากนั้นก็นึกโมโหตนเอง เขาไม่ได้คิดทำร้ายจิตใจนาง
“ข้าแค่อยากอยู่กับเจ้า แท้จริงแล้วที่คิดถึงมากที่สุดก็คือช่วงเวลาหนึ่งปีก่อนที่มีแค่พวกเราสองคน แม้ว่าไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็เพียงพอใช้ชีวิต ที่สำคัญที่สุดก็คือไม่ได้มีเรื่องราวซับซ้อนมากมายเช่นนี้มารบกวนพวกเรา…” ซูสุ่ยเลี่ยนรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจกล่าวเช่นนี้ ย่อมไม่เก็บวาจาเขามาใส่ใจให้โมโห แต่กลับยิ้มมุมปากคิดถึงวันเวลาตอนเพิ่งมาตั้งรกรากในเมืองฝานฮัว เป็นช่วงเวลางดงามแสนหายาก…
“ตอนนี้ยังคงสามารถ…” หลินซือเย่าดึงนางมานั่งบนตัก ซุกหน้าลงซอกคอนางน้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวขึ้น
“แต่ว่า…” พอเมืองฝานฮัวถูกจวนอ๋องจิ้งตั้งเป็นจวนพักตากอากาศ และพวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธ อย่างไรนั่นก็เป็นการปลอบประโลมจิตใจที่อ๋องจิ้งต้องการแสดงต่อลูกสาวที่พลัดพรากจากกันมาสิบกว่าปี แม้ว่าท่านอ๋องผู้เฒ่ากับพระชายาเฒ่าไม่มารบกวนพวกเขา แต่บ่าวในจวนพักตากอากาศก็มีไม่น้อย นางเงยหน้ามองหลินซือเย่า แม้ว่าเขาไม่ยอมรับบิดามารดาแท้ๆ ของเขา แต่ฮ่องเต้เซวี่ยหมิงจะยอมเลิกราหรือ ไม่แน่อาจจะเคลื่อนไหวมากยิ่งกว่าจวนอ๋องจิ้ง จัดการพื้นที่รอบๆ เมืองฝานฮัวทั้งหมด…นางไม่กล้าคิดต่อ
“พวกเราย้ายที่ได้” ใช่ว่าต้องเฝ้าตายอยู่ที่เมืองฝานฮัวที่มีหลายฝ่ายจับจ้องอยู่ ตอนแรกก็พวกซือทั่ว ต่อมาก็จวนอ๋องจิ้ง นี่ยังมีฮ่องเต้แผ่นดินเซวี่ยหมิงสองสามีภรรยามาอีก…มากเกินไปแล้ว!
“เอ๋?” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็มองเขาไม่เข้าใจ ย้าย…ที่? ใช่ที่นางคิดไหม พวกนางสี่ชีวิตย้ายไปเมืองอื่นที่ไม่ถูกรบกวน? “เช่นนั้น…เหมือนไม่รับผิดชอบไหม” อย่างไรตอนนี้พวกเขาก็ไม่ใช่เด็กกำพร้าที่ไร้ตระกูลอีกแล้ว นางมีบิดา มารดาและพี่ชาย ส่วนเขาก็มีบิดามารดาต่างแผ่นดิน เป็นลูกของพวกเขา หนีความรับผิดชอบของความเป็นลูกได้หรือ
“มีอะไรต้องให้เจ้ามารับผิดชอบ” หลินซือเย่าหรี่ตามองนางถามกลับเย็นชา อย่าคิดว่าบิดามารดาที่อยู่ๆ ผุดขึ้นมากลางทางชีวิตเขา จะมามัดมือมัดเท้าเขาไว้ได้ นับประสาอันใดกับเขาเองยังไม่ได้ยอมรับพวกเขา
“แต่ว่า…” เอาละ บิดามารดาของนางและเขาล้วนไม่ใช่คนธรรมดาที่ต้องการพวกเขาคอยดูแลยามชรา มีคนรับใช้มากมายไว้ให้เรียกใช้มากเป็นกองทัพ แต่ความรู้สึกล่ะ พวกเขาทนรับได้หรือ เห็นๆ ว่าเป็นลูกแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมพบพวกเขา ฟ้าดินไม่ลงโทษจริงหรือ ซูสุ่ยเลี่ยนอดขมวดคิ้วไม่ได้
“อย่าคิดมาก กลับบ้านก่อนค่อยว่ากัน ก็ไม่ใช่ให้เจ้าต้องย้ายบ้านตอนนี้ กังวลอะไร” หลินซือเย่ายิ้มตบแก้มนางเบาๆ ขัดความคิดไปไกลของนาง รู้ว่านางได้รับอิทธิพลจากคำสอนจารีตมากกว่าเขา จึงไม่บีบบังคับนางให้สลัดเรื่องพวกนี้ทิ้ง อย่างไรเขาก็คิดไว้แล้ว รอให้ทารกแฝดโตอีกหน่อย เขาจะพาพวกนางออกท่องใต้หล้า ไปสัมผัสชื่นชมธรรมชาติงดงามที่เขาเคยได้สัมผัสยามออกปฏิบัติภารกิจ คิดถึงว่าจะไปตั้งรกรากที่ไหนก็ค่อยตัดสินใจ ไม่ให้คนอื่นมาขัดขวางได้
“อืม” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า ไม่ใช่ต้องออกจากบ้านหนีหน้าทุกคนไปก็พอ สำหรับคนอื่น นางเชื่อว่าเขาจัดการได้ แต่ไรมาเขาไม่เคยทำให้นางทุกข์ใจ
……
เช้าวันรุ่งขึ้น ณ ห้องโถงอาหารโรงเตี๊ยม
“กินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ทุกคนพักครู่หนึ่งก็เตรียมออกเดินทาง เร่งให้คืนนี้ทันถึงเมืองสุ่ยเยว่” เห็นทุกคนลงมากินข้าวพร้อมหน้า หลินซือเย่าก็สั่งการน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนดึงแขนเสื้อของเขาพลางบุ้ยใบ้ไปทางพวกเซวี่ยลี่อีกมุมหนึ่ง เหมือนกำลังรอพวกเขา
“ไม่ต้องสนใจพวกเขา” หลินซือเย่าไม่แม้แต่จะมอง ดึงซูสุ่ยเลี่ยนลงนั่งกินอาหารเช้า
“ลี่…” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์เม้มปากน้ำเสียงสั่นเครือมองสามีตนกล่าวว่า “ลูกเรา…เขาไม่คิดยอมรับข้า ไม่เป็นไร…แต่ข้ายอมรับเขา…ข้าตัดสินใจตามเขาไปดูที่ที่เขาอยู่ก็พอ…หากเจ้ามีธุระ ก็กลับเซวี่ยหมิงไปก่อน ให้เจี้ยนเยว่ติดตามข้าก็พอ” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์นอนหลับไม่สนิทมาทั้งคืน ในสมองคิดเรื่องก่อนหน้านี้ที่ลูกชายมองนางด้วยสายตาเย็นชาแฝงความแค้นเคือง นางไม่อาจละทิ้งลูกชายที่ไม่ยอมให้อภัยพวกนางแล้วกลับเซวี่ยหมิงได้
“วางใจ” เซวี่ยลี่ตบมือนางบนโต๊ะเบาๆ “ข้าไม่ได้คิดกลับตอนนี้ พวกเราไปด้วยกัน ก็ถือเสียว่าเป็นการท่องเที่ยวก็ดี ได้ยินว่าทางใต้แผ่นดินต้าหุ้ยธรรมชาติงดงาม ต่างกับทะเลทรายที่เซวี่ยหมิงมาก งดงามไม่น้อย หลู่ชิง เจ้ากลับไปก่อน แล้วช่วยนำวาจาข้าถ่ายทอดไปยังอำมาตย์เฟิงด้วย” เซวี่ยลี่ตัดสินทันทีที่กล่าวกับภรรยาจบ เงยหน้าสั่งการหลู่ชิง
“ฝ่าบาท!” หลู่ชิงตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ เมื่อครู่เขาฟังผิดไหม ฝ่าบาทถึงกับให้เขากลับไปก่อน พวกเขาจะตามรัชทายาทลงใต้ต่อไป
“ทำไม มีความเห็น?” เซวี่ยลี่หรี่ตามอง ลูกชายไม่ฟังคำเขาก็แล้วไป แม้แต่ลูกน้องก็ยังสงสัยการตัดสินใจเขา เขาไม่อยู่วังเซวี่ยหมิงไม่กี่วัน หรือว่าสูญเสียอำนาจบารมีไปแล้ว?
“ข้าน้อยมิบังอาจ เพียงแต่ฝ่าบาท…แผ่นดินไม่อาจไร้หัว…หาก…” หลู่ชิงเป็นพวกสายบู๊ ปกตินิสัยวู่วาม แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะวู่วามจนรู้จักแค่ออกรบ แน่นอน เขารู้ว่าแผ่นดินมีฮ่องเต้ประทับทำให้ประชาอุ่นใจเพียงใด
“พวกอำมาตย์ไม่ใช่ตายไปหมดนี่!” เซวี่ยลี่โบกมืออย่างนึกรำราญ “เจ้าแค่กลับไปดีๆ โอวหยางซวินคาดว่าคงถึงวังหลวงแล้ว เจ้ากลับไปบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้อำมาตย์เฟิงฟัง เขาย่อมรู้ว่าควรทำเช่นไร”
หลู่ชิงพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ฝ่าบาทตัดสินพระทัยแล้ว เขาจะทำเช่นไรได้ ดีที่แผ่นดินเซวี่ยหมิงยังมีอำมาตย์ใหญ่สี่คน แบ่งกันรับหน้าที่ควบคุมราชกิจสิบหกส่วนงานในเซวี่ยหมิง หากฝ่าบาทมีธุระไม่อาจออกว่าราชการ ก็ให้สี่อำมาตย์สั่งการหัวหน้าส่วนงานให้ดูแลจัดการ รอฝ่าบาทกลับมาค่อยรายงานการจัดการ
ออกมานอกเขตแดนแผ่นดินครั้งนี้ ฝ่าบาทได้หารือกับสี่อำมาตย์แล้ว คิดว่าคงจัดการสิบหกส่วนงานเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่พอมาถึงวังหลวงแผ่นดินต้าหุ้ยได้สืบรู้เรื่องราวแล้วก็คิดตามพวกรัชทายาทลงใต้ไปนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การลงใต้ครั้งนี้ ผู้ใดจะรู้ว่าอีกนานเท่าไรกว่าฝ่าบาทจะยอมกลับเซวี่ยหมิง
หากเทพสังหารแผ่นดินต้าหุ้ยที่มีฝีมือร้ายกาจสิบกระบวนท่าสยบมังกรได้ผู้นี้ อย่างไรก็ไม่ยอมกลับไปกับฝ่าบาท เช่นนั้นใช่ว่าฝ่าบาทจะ…
“เอาละ ไม่ได้ลาจากกันไป หน้าเศร้าอะไรกัน” เซวี่ยลี่มองหลู่ชิง ขัดความคิดหลู่ชิงขึ้น จากนั้นสั่งการให้เขาออกเดินทางได้ “สั่งโรงเตี๊ยมทำอาหารแห้งมากหน่อย รีบกลับไป”
เห็นพวกหลินซือเย่ากินอาหารกันเสร็จแล้ว หากไม่มีอะไรผิดคาดก็คงจะกำลังจะออกเดินทางแล้ว เขาไม่มีเวลามาปลอบใจลูกน้องต่อแล้ว
“ฝ่าบาท…เช่นนั้นหลู่ชิงขอทูลลาก่อน! ขอทรงรักษาสุขภาพด้วย! พวกเจ้าสองคนอารักขาฝ่าบาทและฮองเฮาดีๆ” หลู่ชิงเห็นพวกหลินซือเย่าออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว คิดว่าจะออกเดินทางลงใต้แล้ว ก็ไม่กล้าทำให้ฮ่องเต้เสียเวลาอีก หันไปทางสององครักษ์ข้างเซวี่ยลี่กับเฟิ่งรั่วเอ๋อร์นามว่าเจี้ยนเหิงและเจี้ยนเยว่สองพี่น้องชายหญิง กำชับอีกรอบก่อนจะทูลลาเตรียมเดินทางกลับขึ้นเหนือ
……
“เช่ารถม้าให้พวกเราคันหนึ่งได้ไหม” หลังอาหารเช้า เซวี่ยลี่ก็มายืนหน้าหลินซือเย่า ครั้งนี้เขาไม่ได้คิดมาหารือรับหรือไม่รับตน แต่มาถามเรื่องรถม้าตามพวกเขากลับ
อืม กับคนที่นิสัยไม่เป็นมิตร ต้องใช้วิธีการเช่นนี้ย้อนศร
“ไม่มี” หลินซือเย่าปฏิเสธทั้งที่ไม่ได้เงยหน้า
“มี มีรถว่างคันหนึ่ง” ซูสุ่ยเลี่ยนถือห่อผ้าเพิ่งลงมาจากชั้นบน ก็ได้ยินคำขอของเซวี่ยลี่ เห็นอาเย่าปฏิเสธ ก็กลัวทำให้อีกฝ่ายโมโห อย่างไรก็เป็นบิดามารดาอาเย่า เป็นพ่อแม่สามีนาง จึงรีบยิ้มรับคำ
มีรถม้าว่างคันหนึ่งจริง เพราะหยางจิ้งจือกับชิงหลันกลัวเหงาระหว่างทาง จึงได้โดดขึ้นไปนั่งคันเดียวกับพวกเหลียงหมัวมัว ดังนั้นคันพวกนางจึงว่าง
หลินซือเย่าขมวดคิ้วมองภรรยาตัวน้อย เห็นนางยิ้มอ่อนโยนเอาใจเขา ก็ระงับวาจาที่กำลังจะปฏิเสธออกไป ทำตามนางจัดการก็แล้วกัน ไม่ค่อยได้เห็นนางกระตือร้นออกมาจัดการอะไรเช่นนี้ ตามใจนางแล้วกัน
เซวี่ยลี่เดิมยังกังวลว่าลูกชายที่ได้ข่าวว่าเย็นชาที่สุดจะหักคอซูสุ่ยเลี่ยนทิ้งเพราะวาจานางออกหน้าช่วยพวกเขาไว้ คิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นเช่นนี้
“รบกวนเจ้าแล้ว” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์ยิ้มขอบคุณซูสุ่ยเลี่ยน พอคิดว่านางก็คือสะใภ้ตน และยังให้กำเนิดทารกแฝดน่ารักน่าชัง ใบหน้าก็ยิ่งมีรอยยิ้มเพิ่มขึ้น
“ไม่ลำบากเจ้าค่ะ ต้องการสิ่งใดขอให้เอ่ยปาก นี่คือขนมและน้ำชาสำหรับมื้อเที่ยง จากนี้ต้องรอไปถึงเมืองสุ่ยเยว่จึงจะได้พักกัน” ซูสุ่ยเลี่ยนพาพวกเซวี่ยลี่มายังหน้ารถม้าที่ว่าง พลางส่งตะกร้าไม้ไผ่สานในมือให้ไป
ออกจากเขตแดนเมืองหลวงแล้ว เมืองต่อไปก็เป็นเมืองหรงเฉิงที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ระหว่างนี้ยังมีแต่เนินเขาและหุบเขาติดต่อกัน แทบไม่มีบ้านคน ดังนั้นทุกคนต้องเตรียมอาหารและน้ำชาให้พร้อมไว้เผื่อหิว สำหรับม้า ก็หาทุ่งหญ้าแหล่งน้ำให้พักได้ตลอดทาง
“คุณหนู ให้แขกนั่งรถม้าคันนั้นเถอะ” เซวี่ยลี่กำลังประคองเฟิ่งรั่วเอ๋อร์ขึ้นรถม้า ไป๋เหอก็รีบวิ่งมาชี้บอกพวกนางยอมนั่งรถม้าที่เคยนั่งก่อนหน้านั้น
ได้รู้จากคำบอกเล่าของชิงหลัน แขกเหล่านี้ถึงกับเป็นฮ่องเต้กับฮองเฮาแผ่นดินเซวี่ยหมิง ดูท่าแล้วคิดจะตามคุณหนูกับท่านเขยกลับเมืองฝานฮัว ดังนั้นเหลียงหมัวมัวกับนางจึงหารือกัน ให้พวกนางสละรถม้าที่นั่งอยู่
ซูสุ่ยเลี่ยนคิดแล้วก็คิดว่าฮ่องเต้แห่งแผ่นดินไม่ควรกินน้ำเย็นๆ กินอาหารเย็นชืด แต่รถม้าตนเอง อาเย่าย่อมไม่ยอม ได้แต่แอบนำพวกเขาไปรถม้าจวนอ๋องจิ้งอีกคัน
“ก็ดี” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า จากนั้นก็หันไปอธิบายกับพวกเซวี่ยลี่ “รถไป๋เหอมีกระถางไฟร้อน ต้มน้ำร้อนชงชาอุ่นอาหารได้เจ้าค่ะ”
“เจ้าอบรมสาวใช้ได้ดีมาก” เซวี่ยลี่จ้องมองนางพลางยิ้ม เฟิ่งรั่วเอ๋อร์ก็ไม่ปิดบังแววตาชื่นชม
“ที่ไหนกัน พวกนางคิดรอบคอบกันเองเจ้าค่ะ” เกี่ยวอะไรกับนาง ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้ม ส่ายหน้าปฏิเสธเสียงชื่นชม
พาพวกเขาทั้งสี่ไปที่รถม้าแล้ว นางก็คิดจะไปคุยกับพวกไป๋เหอเล่นสักหน่อย แต่ก็ถูกหลินซือเย่ารั้งนางขึ้นรถม้าตนเอง
“พอแล้ว” เขาไม่พอใจ
“ได้” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มพยักหน้า เดิมก็คิดว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว ยกมือขยี้หว่างคิ้วขมวดมุ่นของเขา “อย่าขมวดคิ้ว น่าเกลียด”
“ไม่กลัวข้าโกรธหรือ” เขาถอนหายใจเบาๆ อย่างเสียไม่ได้ ยกมือขึ้นจับมือน้อยของนางเอาไว้
“กลัว” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มรับ “แต่กลัวพวกเขาโกรธด้วย แล้วจะทำลูกๆ ตกใจ”
ในเมื่อล้วนครอบครัวเดียวกัน ไยต้องใส่อารมณ์กันไปมาเช่นนี้ให้อึดอัดด้วย