การที่จะเหวี่ยงคนหนึ่งคนที่สูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรให้หมุนตัวลอยกลางอากาศได้ บุคคลนั้นจะต้องมีกำลังแขนที่แข็งแรงมาก ทันทีที่พี่ใหญ่และพรรคพวกเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็ตกใจไม่น้อย

“โห! โหดเกิน! สุดยอด!” หลินดงมองไปยังเสี่ยวเฉิงที่กำลังไล่กระทืบชายทั้งเจ็ดคนด้วยความชื่นชม! มันเป็นการต่อสู้ที่น่ากลัวและโหดร้ายไม่น้อยเลย

ถึงอย่างไร ทั้งพี่ใหญ่หลินและพรรคพวกเองก็เคยเห็นเสี่ยวเฉิงสู้กับพวกอันธพาลแบบนี้มาก่อนแล้วในคืนแรก แต่ในคืนนั้น มันก็เป็นที่เข้าใจได้ว่านายน้อยหยุนและพรรคพวกเองก็ไม่ได้เก่งเรื่องการต่อสู้ขนาดนั้น แต่ทว่า กลุ่มคนที่เสี่ยวเฉิงกำลังต่อกรอยู่ในคืนนี้คือพวกคนจากแก๊งเต่าดำ! และชายที่สวมโซ่ทองก็ดูจะมีทักษะเรื่องการต่อสู้อยู่พอตัว แต่ท้ายที่สุด เขาก็ยังโดนเสี่ยวเฉิงถีบลอยขึ้นไปกลางอากาศอย่างไม่ไยดี อีกทั้ง ความโหดเหี้ยมที่เสี่ยวเฉิงเผยออกมาให้เห็นในคืนนี้ มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พี่ใหญ่หลินและพรรคพวกกลัวจนหัวหด

ชายสวมโซ่ทองพลันไอและสำลักเลือดออกมาอยู่สองสามครั้งอย่างรุนแรง ทันทีที่เขาเห็นว่าสถานการณ์ตรงหน้าดูจะเลวร้ายลง ชายสวมโซ่ทองคนนั้นก็พลันควักมีดออกมาจากกระเป๋าและพุ่งตรงเข้าไปที่ด้านหลังของเสี่ยวเฉิงทันที

ทว่า เสี่ยวเฉิงเองก็กำลังสู้กับชายสองคนตรงหน้าอยู่ เขาจึงไม่ได้สนใจด้านหลังของตัวเองเลยแม้แต่น้อย และทันทีที่ได้เสียงเสียงตะโกน เสี่ยวเฉิงก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่มาจากด้านหลังทันที ถ้าร่างกายเขายังปกติดี ก็คงจะหันกลับมาได้แบบทันทีได้แล้ว แต่ด้วยความจริงที่ว่าสภาพร่างกายของเขานั้นแย่ลง มันทำให้เสี่ยวเฉิงไม่สามารถตอบสนองต่อจิตใจของตัวเองได้เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ทันใดนั้น เสี่ยวเฉิงก็พลันเผยหน้าซีดออกมา

แต่แล้ว ทันทีที่รู้ตัวว่ากำลังจะมีมีดพุ่งเข้ามาแทงจากด้านหลัง จิตใต้สำนึกของเสี่ยวเฉิงก็พลันเข้ามาควบคุมร่างกายโดยทันทีเพื่อตอบสนองต่ออันตราย ร่างกายของเสี่ยวเฉิงนั้นเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุที่โหมกำลังกระหน่ำ เสี่ยวเฉิงพลันใช้ศอกกระแทกเข้าไปที่กลางหน้าอกของชายโซ่ทองในทันที

ชายที่สวมโซ่ทองพลันรู้สึกหวาดกลัวและตกใจไม่น้อยที่เห็นว่าเสี่ยวเฉิงหันกลับมาใช้ศอกกระแทกหน้าอกของตนเอง ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัว ร่างกายของชายที่สวมโซ่ทองก็พลันกระเด็นออกไปไกลและล้มลงกองกับพื้นไปแล้ว ผลจากการถูกข้อศอกกระแทกหน้านั้นให้ความรู้สึกราวกับถูกวัวกระทิงพุ่งชนเลยทีเดียว

คนอื่นเองก็โดนดีไม่ต่างกัน ทุกคนพลันถูกเสี่ยวเฉิงถีบส่งจนกระเด็นออกไปทีละคน เสี่ยวเฉิงในตอนนี้พลันเหงื่อท่วมและหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วง

คุณหมอพูดถูกแล้วเกี่ยวกับสภาพร่างกายที่แย่ลง และก่อนที่เสี่ยวเฉิงจะเข้าไปทำการทดสอบสมรรถภาพของร่างกาย เขาเองก็ไม่ได้เชื่อในการวิเคราะห์ของเครื่องจักรที่บอกว่าความแข็งแกร่งของตนนั้นลดลงไปเลยด้วยซ้ำ แต่หลังจากการต่อสู้อย่างห้ำหั่นกันในคืนนี้ เสี่ยวเฉิงก็รู้สึกได้ทันทีว่าความแข็งแกร่งของตัวเองนั้นลดลงไปมากเหลือเกิน

ในตอนนั้นเอง พวกอันธพาลทั้งเจ็ดในแก๊งเต่าดำก็พลันส่งเสียงโห่ร้องด้วยความเจ็บปวดราวกับเป็นเด็กทารก พวกเขาทุกคนยกมือขึ้นมาปิดใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดและรอยฟกช้ำ ถึงกระนั้น ก็กล่าวได้เลยว่าทั้งเจ็ดคนนี้เป็นเครื่องระบายความโกรธของเสี่ยวเฉิงได้ดีเลยทีเดียว

ทันทีที่เห็นสภาพของอีกฝ่าย เสี่ยวเฉิงก็พลันหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “ไม่เอาน่า ลุกขึ้นมาอีกสิ!”

และเมื่อเห็นว่าชายที่สวมโซ่ทองนอนอยู่บนพื้นพร้อมมองตรงไปยังดวงจันทร์ เสี่ยวเฉิงก็เดินเข้าและคว้าบุหรี่หนึ่งซองที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา เขาพลันนั่งยองและจุดบุหรี่สูบต่อหน้าชายสวมโซ่ทองคนนั้น

ชายที่สวมโซ่ทองพลันหรี่ตาอย่างเจ็บปวด “แกกล้าหาญดีนี่… รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?”

“ไม่รู้ ไม่สนใจ แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และถ้านายกล้าที่จะทำผิดกฎหมาย ได้โดนโยนเข้าไปนอนในคุกแน่” เสี่ยวเฉิงพลันกล่าวคำพูดขึ้นอย่างเหยียดหยาม “เป็นยังไงบ้างล่ะ? ยังอยากสู้กันต่ออยู่ไหม?”

ชายคนนั้นพลันส่ายหัวอย่างเจ็บปวด

“แล้วอยากได้เงินสามแสนหยวนอยู่ไหมล่ะ?” เสี่ยวเฉิงถามต่อ

ชายคนนั้นก็พลันส่ายหัวอีกครั้ง

ทันใดนั้น เสี่ยวเฉิงก็ยืนขึ้นและโยนก้นบุหรี่ทิ้ง จากนั้นก็ใช้เท้าสะกิดไปยังเอวของชายโซ่ทองจนทำให้เขาต้องร้องเสียงหลงออกมาด้วยความเจ็บปวดและน่าสังเวช

“จับคุมคนอย่างพวกนายไปก็เสียทรัพยากรสาธารณะเปล่าๆ แล้วถ้าครั้งหน้าอยากจะมาหาเรื่องฉันอีก ก็เอาเลย แล้วมาดูกันว่าฉันจะกล้าควักปืนออกมาลั่นไกไหม…” เสี่ยวเฉิงพลันกล่าวเตือน จากนั้น เขาก็เดินตรงไปยกรถมอเตอร์ไซค์ที่ล้มอยู่ขึ้นมา

ทันทีที่เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น เสี่ยวเฉิงก็พลันขับรถจากไป ในตอนนั้นเอง ทั้งพี่ใหญ่หลินและพรรคพวกก็ต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าไม่น้อย “ดูเหมือนว่าพวกเศรษฐีที่ร่ำรวยและมีอำนาจเหลือล้นของเมืองซ่างเฉิงแห่งนี้จะมีคู่ต่อสู้สุดแข็งแกร่งคนใหม่แล้วสินะ ส่วนฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วชีวิตของไอ้หมอนั่นจะต้องลงเอยยังไง…”