ตอนที่ 124 ชีวิตนี้มีเพียงเจ้าผู้เดียว (3)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 124 ชีวิตนี้มีเพียงเจ้าผู้เดียว (3)

แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าแทงหลี่ไคสือไปกี่ครั้ง ดวงตาของเขาแดงก่ำขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

ในตอนนั้นจางเกินเป่านึกอยู่ในใจว่า ถึงอย่างไรหลี่ไคสือก็ไม่อาจปลุกความเป็นชายออกมาได้อีก เพื่อป้องกันไม่ให้เขาไปหายามารักษาโรคและทำเรื่องน่ารังเกียจอย่างนั้นอีกในอนาคต ดังนั้นจึงแทงๆ ไปให้สิ้นเรื่อง

ทุกคนพากันส่งสัญญาณให้เงียบเสียงลง จากนั้นก็พบหมอสัญจรที่เชิญมาจากหมู่บ้านด้านข้างใกล้เคียงเดินตรงเข้ามา

จางเกินเป่าเพียงได้รับบาดเจ็บที่แขน บาดแผลเล็กน้อยไม่ได้น่าเป็นห่วง แต่หลี่ไคสือย่ำแย่น่าอนาถใจยิ่งนัก หลังจากที่หมอสัญจรทำแผลให้แก่เขาแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าไม่หยุดหย่อน

เขากล่าวว่าหลี่ไคสือไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่บริเวณนั้นได้ถูกจางเกินเป่าแทงเสียจนไม่มีชิ้นดี ในชีวิตนี้อย่าว่าแต่พูดถึงความเป็นชายเลย แม้แต่การขับปัสสาวะก็คงจะยากลำบาก บางทีเขาอาจไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้

หลี่ปาก้าวเข้าไปจะจัดการจางเกินเป่า แต่ถูกผู้คนเข้ามาห้ามเอาไว้

ก่อนหน้านี้ที่หลี่ไคสือนกเขาไม่ขัน อย่างน้อยไอ้เจ้านั่นมันก็ยังอยู่ ยังพอมีความหวังที่จะรักษาให้หายได้ แต่บัดนี้มันเรียกได้ว่าไม่อยู่แล้ว จะเอาความหวังมาจากที่ใดเล่า หลี่ปาถูกชาวบ้านจับรั้งตัวเอาไว้แต่ทำแววตาอาฆาตดุจดั่งมีดดาบคม ซึ่งไม่อาจปิดบังหัวหน้าหมู่บ้านไปได้

ความเกลียดชังอาฆาตแค้นที่ลึกล้ำเช่นนี้ แน่นอนว่าตระกูลหลี่จะไม่ปล่อยจางเกินเป่าไปอย่างแน่นอน หัวหน้าหมู่บ้านเกรงว่าจะมีอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นตั้งแต่เมื่อท้องฟ้ายังไม่ทันสางก็ได้ส่งจางเกินเป่าเข้าไปในสำนักกฎหมายเทียนเซียง

นับแต่นี้เป็นต้นไป ชีวิตความเป็นความตายของเขาจะอยู่ในมือของคนในสำนักกฎหมาย ไม่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านหวังจยาอีก วิธีการทำเช่นนี้จึงทำให้ไม่ขุ่นเคืองใจต่อตระกูลหลี่ และไม่ก่อให้เกิดความกังวลใจต่อหมู่บ้านหวังจยาอีก

ก่อนที่จะส่งจางเกินเป่าไป หัวหน้าหมู่บ้านได้ส่งคนไปเชิญอาซ้อจางให้เดินทางมา เมื่ออาซ้อจางได้ยินสิ่งที่ผู้เดินทางไปแจ้งเล่าให้ฟังแล้ว นางก็ได้แต่ส่ายหน้ากล่าวว่า “ให้พวกเขาจัดการกันเองตามสมควรเถิด” จากนั้นนางก็ตรงเข้าไปในเรือนทำการเก็บกวาดของตนต่อไป

ผู้ที่เดินทางไปเชิญทั้งสองคนนั้นหันมาสบตากัน ผู้ใดไม่รู้บ้างเล่าว่าอาซ้อจางนั้นเป็นคนปากมาก นางมักจะหาเรื่องพูดได้ตลอดเวลา แต่บัดนี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้น นางกลับนิ่งเฉยไม่มีทีท่าตื่นตระหนก กล่าวเพียงเบาๆ ว่าตามสมควร แม้ว่าผู้ที่เดินทางไปตามจะรู้สึกประหลาดใจ แต่เมื่อรู้ถึงเหตุผลแล้วจึงทำได้เพียงหัวเราะออกมาเบาๆ และหว่านล้อมว่าให้อาซ้อจางเดินทางไปดูเขาสักหน่อย เนื่องจากว่าผู้ร้ายที่ได้รับบาดเจ็บจะถูกส่งตัวไปที่สำนักกฎหมายเทียนเซียง และคงต้องถูกจำคุกอยู่หลายปีอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นอยากพบเขาอีกครั้งคงจะต้องไปที่เมืองเทียนเซียงแล้ว

อาซ้อจางยังคงยืนกรานคำเดิมว่า แล้วแต่พวกเขาจะจัดการตามสมควร ตอนนี้นางไม่มีเวลาไปที่หอบรรพชน

จางเกินเป่าแอบนอกใจ นางสามารถให้อภัยโดยไม่โกรธเคืองได้

จางเกินเป่าลงไม้ลงมือทุบตีนางเพื่อสตรีคนอื่นนางก็สามารถให้อภัยได้

แต่การที่จางเกินเป่านำความลับส่วนตัวของนางออกไปเปิดเผยให้แก่หญิงแพศยาผู้นั้นได้รับรู้ ทำให้นางไม่อาจทนได้ สำหรับเขาแล้วนั้นนางอยู่ในตำแหน่งใดกันแน่

แม้ว่านางจะป่วยเป็นโรค แต่ก็ป่วยเพราะให้กำเนิดบุตรแก่ตระกูลจาง

นางรู้สึกผิดต่อเขา ด้วยเหตุนี้เองหากว่าในเรือนมีของกินของดื่มเลิศรส นางก็จะเหลือไว้ให้เขา เพื่อให้เขาได้มีเกียรติมีหน้ามีตา นางพยายามทำงานอย่างหนัก นำเงินสินสอดทองหมั้นออกมา อีกทั้งยังบากหน้ากลับบ้านแม่เพื่อหยิบยืมเงินมาซื้อรถม้าให้เขา

เนื่องด้วยการหยิบยืมเงินนั้น จึงทำให้นางถูกผู้อื่นมองว่าเป็นคนตระหนี่ขี้เหนียวอย่างขึ้นชื่อ แต่ว่าท้ายที่สุดแล้วนางได้อะไรตอบแทนเล่า หากว่าเขากล่าวมาตรงๆ นางก็ยินยอมจะออกจากเรือนนี้ไป เหตุใดต้องเหยียดหยามทำร้ายนางถึงเพียงนี้ ทั้งชีวิตนี้นางเป็นคนเข้มแข็งมาตลอด ปกติแล้วจะเป็นนางที่ทำให้ผู้อื่นอับอายขายหน้า คาดไม่ถึงว่าตั้งแต่นี้ไปนางจะกลายเป็นตัวตลกที่ผู้คนจะพากันกล่าวถึง

ในขณะที่นางกำลังเก็บกวาดอยู่นั้น น้ำตาก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย

ค่ำคืนนี้สำหรับนางแล้วเป็นค่ำคืนที่ไม่ธรรมดาเอาเสียจริง เป็นค่ำคืนที่วุ่นวายอลม่าน

ทันทีที่ผู้มาส่งข่าวเดินทางจากไป คนในตระกูลหลี่ก็ได้เดินทางเข้ามา พวกเขาจูงรถม้า ที่จอดอยู่ออกไป ก่อนจะค้นหาสถานที่เก็บซ่อนเงินในเรือนจนสิ้น ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่อยู่ในเรือนถูกขนย้ายออกไป แม้แต่ข้าวสารที่อยู่ในหม้อก็ถูกนำไปด้วย หากว่าเป็นก่อนหน้านี้ การที่คนอื่นมาสร้างปัญหาและทำท่าทางเย่อหยิ่งกับนาง นางคงจะหยิบมีดออกมาแล้ววิ่งขับไล่ไปทีละคน แต่ทว่าในค่ำคืนนี้ นางทำได้เพียงนั่งจ้องมองดู รอให้คนกลุ่มนั้นเดินจากไป ก่อนที่จะลงมือเก็บกวาดต่อไป…

เมื่อท้องฟ้าสว่าง อาซ้อจางก็ได้เก็บเศษข้าวหักที่อยู่ในหม้อออกมาต้มเป็นข้าวต้มให้บุตรชายกิน นางปาดน้ำตาแล้วกล่าวประโยคหนึ่งออกมา สั่งให้เถี่ยจู้บุตรชายเขียนมันลงไป

นางกล่าวว่าตัวนางนั้นไม่อาจมีหน้าอยู่ที่หมู่บ้านหวังจยาอีกต่อไป อีกทั้งมองบรรลุถึงทางโลกจึงอยากจะไปบวชชีที่อารามชิงจิ้ง นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะมีจิตใจงดงามโอบอ้อมอารีและช่วยดูแลเถี่ยจู้บุตรชายของตน

จากนั้นก็กำชับให้เถี่ยจู้นำไปมอบให้กับมั่วเชียนเสวี่ยหลังจากที่เลิกเรียนในตอนกลางวัน

ถึงอย่างไรเสีย เถี่ยจู้ก็เป็นเพียงเด็กอายุไม่ถึงสิบปี เมื่อเขาเห็นผู้เป็นแม่เศร้าโศกเสียใจเพียงนี้ก็ได้เอ่ยถาม แต่อาซ้อจางตอบเขาอย่างลวกๆ แม้จะไม่วางใจเอาเสียเลยแต่ท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงไปเรียนหนังสือตามคำสั่งสอนอย่างว่าง่าย

เมื่อจางเถี่ยจู้เดินทางจากไป อาซ้อจางก็ได้ถือของที่เก็บเอาไว้เดินออกจากประตูเรือน มุ่งหน้าไปทางอารามชิงจิ้งข้างวัดหันซาน

อารามชิงจิ้งไม่ใช่อารามที่ใหญ่โตมีชื่อเสียงนัก ภายในมีแม่ชีอยู่ประมาณสิบกว่าคน เนื่องจากว่าสุขภาพร่างกายนางไม่สู้ดี ดังนั้นในแต่ละปีจึงได้ไปทำบุญที่อารามชิงจิ้ง และภาวนาร้องขออ้อนวอนพระโพธิสัตว์ ดังนั้นนางจึงรู้จักกับผู้ดูแลที่นี่ดี

ตอนกลางวัน เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเห็นจดหมายนี้ จึงได้เดินทางกลับบ้านไปพร้อมกับเถี่ยจู้ พบว่าภายในเรือนถูกจัดเก็บไว้อย่างมีระเบียบเรียบร้อยแต่ไม่มีแม้แต่เงาคน

เนื่องจากเถี่ยจู้ยังเด็ก ดังนั้นจึงไม่มีใครบอกเล่าเรื่องน่าอายนั้นแก่เขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่รู้ว่าที่บ้านเกิดเรื่องอันใดขึ้น รู้เพียงว่าเมื่อวานนี้มารดาดูแปลกไปจากเดิม เมื่อคืนนี้ที่นางทำอาหารเย็นก็ทำไปร่ำไห้ไป อีกครั้งไม่เอ่ยอันใดสักคำ

เมื่อคืนนี้ขณะที่เขายังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั้น เขาได้ยินเสียงดังขึ้นภายในเรือน มารดาได้เอ่ยปลอบเขาว่ารถม้าพัง บิดาของเขากำลังซ่อมแซมมันอยู่ ดังนั้นเขาจึงได้นอนหลับต่ออย่างงุนงง

มั่วเชียนเสวี่ยได้แต่ถอนหายใจ แม้ว่านางจะไม่ชอบอาซ้อจาง แต่จากท่าทางและคำพูดของอาซ้อจางก็รู้ได้ว่านางเป็นคนที่ให้ความสำคัญในศักดิ์ศรีและหน้าตา เมื่อเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นนางจะเอาความกล้าหาญที่ไหนมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านหวังจยาแห่งนี้อีก ต่อให้เป็นตระกูลเดิมของนาง นางก็คงไม่กล้ากลับไปเผชิญหน้าเช่นกัน

บรรดาสตรีในหมู่บ้านนี้แม้จะไม่กล่าวอันใด แต่ด้วยสายตาที่มองไปยังนางอย่างแปลกประหลาด ก็เพียงพอที่จะบดขยี้ความแข็งแกร่งของนางให้แหลกเป็นผุยผงได้ สำหรับอาซ้อจางแล้วนั้นคงมีเพียงสองทางเลือก ทางเดินแรกก็คือความตาย ทางเดินที่สองก็คือเข้าอาราม จากนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางโลกอีก

หากเลือกความตาย… นางก็รู้สึกทำใจไม่ได้ที่ต้องจากกับเถี่ยจู้ ด้วยเหตุนี้นางจึงเลือกเดินหนทางที่สอง

ครอบครัวดีๆ ครอบครัวหนึ่งกลับต้องมาแหลกสลายถูกทำลายในชั่วข้ามคืน

เป็นความผิดของอาซ้อจางหรือ ก็มิใช่ นางเองก็ไม่ได้อยากจะเป็นโรคประหลาดนั่น นางคงจะเป็นโรคทางนรีเวชอย่างร้ายแรง ประกอบกับความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ต่อให้เป็นในสมัยปัจจุบันก็ไม่อาจจะรักษาได้ง่ายๆ

เป็นความผิดของจางเกินเป่าหรือ ก็คงไม่ใช่ เขาเป็นชายหนุ่มเนื้อแน่น ก็คงจะมีความต้องการตามธรรมชาติ แต่เวลาผ่านไปหลายปีเขาก็คงไม่อาจทนได้อีกต่อไป

จะโทษตัวนางเองหรือ นางไม่ควรที่จะทำให้เรื่องนี้ไปถึงหอบรรพชน? แต่ทว่าต่อให้นางไม่เดินทางไปที่นั่น โดยนิสัยของอาซ้อจางก็คงจะไปโหวกเหวกโวยวายอยู่หน้าประตูบ้านของฟางเถาเอ๋อร์แน่ และถ้าเป็นเช่นนั้น บางทีผลเสียอาจจะร้ายแรงยิ่งกว่า

แต่ถึงอย่างไรวินาทีนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาไตร่ถามว่าเป็นความผิดของผู้ใด

ต้นไม้ยังมีเปลือก คนเราก็มีหน้าตา ศักดิ์ศรีนี้อย่างไรก็มิอาจละทิ้งได้ง่ายๆ มั่วเชียนเสวี่ยพอจะเข้าใจได้ถึงการเลือกกระทำเช่นนี้ของอาซ้อจาง แต่แม้นางจะเข้าใจก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเห็นด้วยกับการกระทำเช่นนี้ เรื่องนี้ถึงอย่างไรสักวันก็คงจะต้องผ่านพ้นไป อย่างมากนางก็ใช้ชีวิตอยู่กับบุตรชายต่อเรื่อยๆ เหตุใดจะต้องทำให้เป็นเช่นนี้เล่า…

จากนั้นมั่วเชียนเสวี่ยจึงได้เดินจูงพาเถี่ยจู้ไปที่อารามชิงจิ้ง