การปะทะคารมระหว่างคนกับอสูรตัวน้อยได้กลายเป็นธรรมเนียมประจำวันไปแล้ว คนที่นั่งฟังก็ได้แต่หัวเราะน้ำตาไหล

หลังจากชิงอวี่ปรุงยาเสร็จแล้ว ก่อนที่พลังวิญญาณนางจะสลายไปจนหมด นางก็พลันส่งกระแสจิตไปยังมิติส่วนตัวของนาง

“นายหญิง?”

เมื่อสัมผัสกลิ่นอายนางได้ จั้งไหมก็มาปรากฏขึ้นตรงหน้า ใช้นัยน์ตาสีทองและเงินจ้องมองนางด้วยความสงสัย

ชิงอวี่พยักหน้าก่อนเอ่ยถามขึ้น “เหตุใดเจ้าจึงไม่นอนเล่า?”

นางถามเช่นนี้ไม่นับว่าแปลก เพราะวิญญาณของเด็กหนุ่มเมื่อก่อนหน้านั้นยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงมักจะนอนหลับอยู่เสมอเพราะร่างกายยังอ่อนแอนัก

จั้งไหมได้ยินแล้วก็รู้สึกอายอยู่เล็กน้อย ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยตนพลางเอ่ยตอบ “ข้าพยายามบำเพ็ญวิชาอยู่ทุกวัน จะได้ตามรอยเท้านายหญิงทันบ้าง”

วิญญาณของเขาได้รับบาดเจ็บมานานหลายปี ดังนั้นจึงมีหลายอย่างที่เขาจำต้องเริ่มตั้งแต่ต้นใหม่อีกครั้ง

“ดูท่าเจ้าจะสอพลอเก่งขึ้นไม่น้อย” ชิงอวี่เอ่ยยิ้ม ๆ จากนั้นจึงหันกลับไป โบกมือคราหนึ่ง ตำราเล่มยักษ์ที่มีความหนาราวความสูงครึ่งหนึ่งของคนปกติก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เกิดเสียงดัง ตุ้บ หนัก ๆ ขึ้นยามมันตกลงสู่พื้น

บนหน้าปกที่ดูเก่าแก่มากนั้นมีอักขระโบราณหลายตัวประทับอยู่ ‘ตำราแพทย์แดนเซียน’

ตั้งแต่ชาติก่อนจนถึงชาตินี้ จำนวนครั้งที่ชิงอวี่พลิกตำราหนาเล่มนี้สามารถใช้มือข้างเดียวนับนิ้วได้

อย่างหนึ่งเป็นเพราะนางมีความทรงจำแบบรูปภาพ หากได้มองครั้งหนึ่งก็สามารถเข้าใจถึงแก่นได้ อีกอย่างหนึ่งเป็นเพราะในตำราเล่มนี้มีทั้งวิชาแพทย์และวิชาพิษที่มีระดับสูงกว่าความรู้ความเข้าใจของนางอยู่ ดังนั้นหากยังมีความสามารถและพลังบำเพ็ญไม่ถึงระดับจะไม่สามารถเข้าถึงวิชาบางอย่างในตำราเล่มนี้ได้

แต่ช่วงหลังมานี้ อาจเป็นเพราะจิตใจที่เปลี่ยนไปของนางจึงทำให้มีความเข้าใจก้าวหน้าขึ้นเล็กน้อย สามารถปลดตำราแพทย์แดนเซียนได้มากขึ้นสามถึงสี่หน้า

หากเป็นในชาติที่แล้วละก็ ความก้าวหน้าเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ควรค่าให้กล่าวถึง แต่สำหรับชิงอวี่ในปัจจุบัน เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ก็นับว่าพัฒนาได้มากโขแล้ว

หลังจากที่นางได้กลับมาเกิดในโลกประหลาดใบนี้เมื่อหลายปีก่อน นางเพิ่งจะเรียนรู้ตำราแพทย์แดนเซียนไปได้เพียงสิบกว่าหน้าเท่านั้น ตำราเล่มนี้หนากว่าพันหน้า นางเพิ่งจะเปิดอ่านมันได้เพียงเสี้ยวหนึ่งของเล่มเท่านั้น

จั้งไหมนั่งมองนางแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงยินดี “นายหญิง พลังบำเพ็ญของท่านเพิ่มสูงขึ้นอีกนิดหนึ่งอีกแล้ว”

ใบหน้าชิงอวี่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดตอบรับ เพียงเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยขึ้น “นับว่ายังต่ำเกินไป”

จั้งไหมเอ่ยเสียงปลอบแผ่วเบา “ร่างกายนี้ไม่อาจเทียบกับร่างกายในอดีตของนายหญิงได้ มีหลายเรื่องที่แตกต่างกันมากเกินไป นายหญิงพัฒนาขึ้นมากเช่นนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว”

ชิงอวี่ถอนหายใจออกมา

หลายปีผ่านไปแล้ว ร่างของนางในอดีตคงกลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ใบหญ้าไปแล้วกระมัง

และร่างในปัจจุบันของนาง แม้จะไม่ได้มีพรสวรรค์สูงส่ง แต่ก็นับว่าพอมีดีอยู่บ้าง อย่างน้อยก็มีรูปโฉมงดงาม ดังนั้นนางจึงไม่ได้ขัดใจกับร่างนี้มากนัก

ได้เห็นชิงอวี่ที่ก้มหน้าอ่านตำราเล่มหนาแล้ว จั้งไหมจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “สิ่งใดทำให้นายหญิงหันมาอ่านตำราแพทย์แดนเซียนได้กัน?”

ชิงอวี่เอ่ย ใบหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย “หลายวันที่ผ่านมามีภาพแปลก ๆ ผุดขึ้นในหัวข้าตลอด ข้ารู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นข้าจึงลองเปิดตำราหาดูว่าพอจะมีสูตรยาที่ทำให้ใจสงบลงได้บ้างหรือไม่”

“ภาพแปลก ๆหรือ”

“อืม” ชิงอวี่พยักหน้า กลิ่นอายที่แผ่จากร่างนางแลดูหดหู่ นับเป็นความรู้สึกที่นางไม่เคยสัมผัสมาก่อน “ทุกครั้งที่ข้ารู้สึกว่าจะเข้าใจมัน ภาพมันก็ตัดไปเสียอย่างนั้นทุกครั้ง พอหลับตาข้าก็จะเข้าสู่แดนฝันในพลัน แต่พอตื่นมาอีกครั้งกลับจำความฝันนั้นไม่ได้เลย”

ไม่หลับทั้งวันทั้งคืนนางก็สามารถทำได้ แต่ครั้งก่อนนางกลับรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้านัก

จั้งไหมได้ยินแล้วก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นน้ำเสียงเป็นกังวลก็ดังขึ้น “นายหญิงเห็นภาพจากอเวจีอสูรที่เคยเห็นเมื่อครานั้นหรือ?”

ชิงอวี่ชะงักไป แม้จะไม่สามารถจดจำได้ชัดเจนนัก หากแต่ภาพฉากนั้นก็ได้ฝังรากลึกลงในจิตใจนางจนยากจะลืมเลือน “คงจะเป็นเช่นนั้น”

“นายหญิง ท่านยังจำเรื่องความเป็นมาของอเวจีอสูรได้หรือไม่?”

“เป็นมิติจากพลังจิตอันทรงพลังยามปรมาจารย์ผู้เยี่ยมยุทธ์จนสิ้นใจ”

“ถูกต้อง ปกติเวลาเกิดเรื่องเช่นขึ้นก็มีสาเหตุเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”

“คือสาเหตุอันใด?”

“เจ้าของมิติแห่งนั้นกำลังเพรียกหาท่านอยู่”

ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็ตกใจเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่ามิติแห่งนั้นจะเกิดขึ้นหลังจากที่ปรมาจารย์ผู้เยี่ยมยุทธ์ตายไม่ใช่หรือ?”

จั้งไหมตอบหน้าเครียด “แต่นั่นเป็นคำอธิบายเดียวที่มีเหตุผลนะนายหญิง ไม่เช่นนั้นท่านจะเห็นภาพฉากนั้นบ่อยครั้งเช่นนี้หรือ?”

ชิงอวี่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยเสียงแหบแห้งเล็กน้อยออกมา “ข้ามีความรู้สึกว่ามันจะต้องเกี่ยวพันกับตัวตนที่แท้จริงและเบื้องหลังชาติกำเนิดของร่างนี้เป็นแน่”

สตรีที่นางไม่อาจมองเห็นได้แจ่มชัดผู้นั้นก็คงจะเป็นท่านแม่ของนาง

นับว่านี่ไม่การเดาสุ่มโดยไร้ต้นสายปลายเหตุ แต่คล้ายกับเป็นสิ่งที่สัญชาตญาณภายในบอกนางมา พริบตาที่นางเห็นสตรีผู้นั้น ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกภายในเบาบางที่นำพานางให้เข้าไปหาสตรีผู้นั้น

คือสัญชาตญาณที่ที่นางมีต่อคนใกล้ชิด

สถานที่นั้น…..

ทันใดนั้นความรู้สึกเจ็บปวดสายหนึ่งก็พัดผ่านเข้ามายในจิตใจชิงอวี่ ทำให้นางหน้าขาวซีดในพลัน

มันเกิดขึ้นอีกแล้ว!

ทุกครั้งที่นางพยายามครุ่นคิดเรื่องนี้ จิตใจนางจะรู้สึกเจ็บปวดบีบคั้นอย่างไร้เหตุผล ราวกับมันกำลังพยายามขัดขวางไม่ให้นางจำเรื่องราวในอดีตได้

นัยน์ตางามดั่งหงส์พลันทะมึนลง เต็มไปด้วยไอเย็นเยียบ ราวกับว่ากำลังขัดขวางไม่ให้จำได้งั้นหรือ? หึ อีกไม่นานนางจะต้องลากมือมืดหลังม่านออกมาได้แน่!

ณ แคว้นหลินยวน

ชางไห่อ๋องกลับมาได้ร่วมสองเดือนแล้ว และเรื่องราวลึกล้ำเกิดหยั่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น

แม้จะมีสติปัญญาสูงส่งไร้ใครเทียม แต่ก็เกิดมามีร่างกายอ่อนแอเปราะบาง ทำนายกันว่าองค์ฮ่องเต้จะไม่อาจมีชีวิตยืนยาวเกินสามสิบ หากแต่ตอนนี้กลับมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้นกับเขา

ด้วยร่างกายที่ย่ำแย่ของเยว่มู่เฉิน เขาจึงไม่อาจตากลมแรงนานได้ ไม่เช่นนั้นจะจับไข้ อีกทั้งยังไม่อาจเดินทางลำบากตรากตรำเป็นระยะทางไกล ไม่เช่นนั้นผิดพลาดคราเดียวก็อาจถึงแก่ชีวิตได้

แต่เวลาสองเดือนที่ผ่านมา สีหน้าเขาดูดีขึ้นทุกวันคืน ชายหนุ่มที่แต่ก่อนไม่อาจออกว่าราชการยามเช้าได้นาน ตอนนี้กลับสามารถทำงานได้นานถึงครึ่งชั่วยาม นับเป็นปาฏิหาริย์นัก

ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าคือเหล่าข้าราชบริพารทั้งหลายได้เห็นฝ่าบาทของพวกเขาฝึกดาบตั้งแต่เช้าตรู่ในวันหนึ่ง

เยว่มู่เฉินมีพลังบำเพ็ญไม่ต่ำต้อย แต่ด้วยมีร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นจึงไม่อาจรับมือกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังต่าง ๆ ได้ เรื่องฝึกยุทธ์ยิ่งไม่ต้องกล่าว พวกเขาได้เห็นฝ่าบาทจับดาบได้อีกครั้งเช่นนี้ น้ำตาเอ่อร้อนก็พลันรื้นขอบเหล่าข้าราชการทั้งหลาย

เมื่อสวรรค์ทรงประทานพรเช่นนี้ ฝ่าบาทของพวกเขาจึงมีสุขภาพดีขึ้นในที่สุด ไม่จำเป็นต้องคอยกังวลเรื่องสุขภาพอีกต่อไปแล้ว

และการเปลี่ยนแปลงนี้ ทุกคนต่างยกผลงานให้ ชางไห่อ๋องผู้ลึกลับและทรงพลัง ไม่ว่าจะเป็นเมื่อสิบปีก่อนหรือตอนนี้ ทุกคราที่เขาปรากฏตัวก็จะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นเสมอ พลิกสถานการณ์ร้ายเป็นดี นำพาทางแก้มาสู่ปัญหาที่ค้างคา

แคว้นหลินยวนมองชายหนุ่มเป็นดาวนำโชค หากมีชายหนุ่มอยู่ แคว้นหลินยวนย่อมไม่มีทางล่มสลายลงแน่

วันนี้เยว่มู่เฉินสวมชุดเรียบง่ายชุดหนึ่ง ดาบที่ดูคล่องแคล่วถนัดมือนักตวัดไหวลื่นไหลราวกับมังกรใต้น้ำ ทั้งแม่นยำและมีประสิทธิภาพ นัยน์ตาชายหนุ่มสดใสเฉียบคม ข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างที่จิตใจเดิมทีมีแต่ความกังวล ตอนนี้ดูผ่อนคลายลงมาก มองดูการรำดาบของชายหนุ่มด้วยความสบายใจ ใบหน้าอ่อนโยนสูงส่งของชายหนุ่มไม่เผยแววเหน็ดเหนื่อยออกมาแม้แต่น้อย ที่แก้มยังมีสีแดงกุหลาบแต้มอยู่บาง ๆ ดูเต็มไปด้วยพลังชีวิต

พริบตาต่อมา เยว่มู่เฉินก็หยุดท่วงท่าฉับพลัน หมุนดาบไร้กระดูกไปยังทิศทางหนึ่งแล้วปล่อยดาบออกไปยังต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตร เสียงดาบฟันทะลุดังขึ้นที่ลำต้นของต้นไม้ต้นนั้นแบ่งเป็นสองส่วน

ที่หลังต้นไม้คือเด็กสาวร่างบางผู้หนึ่ง นัยน์ตาสีน้ำเงินสดใส มองภาพนั้นด้วยความตกตะลึง นางอึ้งอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนจะมีสติกลับมา นางยกมือทั้งสองข้างขึ้นเท้าเอวแล้วเอ่ยเสียงดุขึ้น “เสด็จพี่! ท่านคิดจะสังหารน้องสาวตนเองหรือ? ท่านไม่กลัวว่าดาบนั้นจะถูกข้าหรือไร!?”

เยว่มู่เฉินถอนหายใจอย่างไร้หนทาง “ใครใช้ให้เจ้าไปหลบอยู่ตรงนั้นไม่ให้สุ้มให้เสียงกันเล่า? เสด็จพี่ของเจ้าก็นึกว่ามีโจรใดแอบซ่อนตัวเข้ามาเสียอีก อีกอย่าง ข้ามีน้องสาวสุดที่รักอยู่เพียงคนเดียว ข้าจะกล้าทำร้ายเจ้าได้อย่างไร?”

คำพูดนี้ไม่เพียงอธิบายการกระทำเมื่อครู่ แต่ยังบรรเทาความโกรธของเด็กสาวเบื้องหน้าเขาด้วย นับว่าลงมือคราเดียวได้นกถึงสองตัว

เยว่มู่เฉินเป็นคนเฉียบแหลมเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร

เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว แม้เยว่ซินเหยียนจะไม่พอใจมากเพียงไหน แต่นางก็ยังพุ่งเข้าไปกอดแขนเยว่มู่เฉินไว้ด้วยใบหน้ายินดี ก่อนจะเงยหน้ามองเขาแล้วเอ่ยขึ้น “เสด็จพี่ ข้าดีใจจริง ๆ หากท่านเบื่อออกว่าราชการ อยากหลบออกไปพักผ่อนบ้าง ข้าสามารถพาท่านแอบออกไปได้นะ ข้างนอกมีสถานที่น่าสนุกมากมาย โยนงานให้พี่เยี่ยหลีไปสักสองสามวัน ให้เขาช่วยดูเรื่องงานบ้านเมืองก็ได้ อย่างไรพี่เยี่ยหลีก็ไม่ชอบออกไปข้างนอก”

เยว่ซินเหยียนพูดแล้วก็คลี่ยิ้ม ในใจพลันคิดว่าแผนการของตนเมื่อครู่ฟังดูฉลาดนัก

หากแต่เยว่มู่เฉินกลับชะงักไป

ให้ชิงเยี่ยหลีออกว่าราชการและรับมือเรื่องบ้านเมืองให้หรือ? เขาเองก็อยากทำเช่นที่เหยียนเหยียนแนะนำมายิ่งนัก หากเจ้าตัวเล็กที่ชื่นชมชิงเยี่ยหลีมากมายรู้ว่าเขากำลังจะจากไปแล้วละก็ นางคงได้เศร้าสร้อยเหงาหงอย ร้องไห้จ้าเสียแล้วกระมัง!

แม้นางจะเป็นเด็กสาวที่รักอิสระไม่ถือสาสิ่งใดนัก คนสองคนที่นางใส่ใจมากคือชิงเยี่ยหลีและเยว่มู่เฉิน เป็นคนสองคนที่เฝ้าดูการเติบโตของนางมาตั้งแต่เล็ก เป็นคนที่สนิทชิดเชื้อกับนางที่สุดที่นางรู้จักมายาวนานกว่าสิบปี

เช่นนั้นแล้วเขาจะบอกข่าวเรื่องที่ชิงเยี่ยหลีกำลังจะจากหลินยวนไปในอีกไม่กี่เดือนกับเหยียนเหยียนอย่างไรดี?

แท้จริงแล้วหากถึงเวลาก็คงจะไม่ใช่เพียงเยว่ซินเหยียนที่ไม่อาจรับเรื่องนี้ได้ กระทั่งตัวเขาเองยังทำใจเชื่อยากนัก ใช้เวลานานกว่าเขาจะสามารถดึงสติกลับมาได้ คนผู้นั้นอย่างไรก็จะจากไปให้ได้

เดิมทีแล้วเขาช่วยชีวิตชิงเยี่ยหลีไว้ด้วยความบังเอิญ ชิงเยี่ยหลีเองก็รั้งอยู่ที่แคว้นหลินยวนเพื่อเขามานานกว่าสิบปี ช่วยยุติความโกลาหลส่งเขาขึ้นบัลลังก์ได้สำเร็จ อีกทั้งยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แคว้นหลินยวน นับว่าได้ตอบแทนบุญคุณชีวิตไปมากกว่าร้อยเท่าแล้ว

แต่เยว่มู่เฉินรู้ดีว่าลึก ๆ ภายในนั้น ชิงเยี่ยหลีไม่เคยเป็นคนของแคว้นหลินยวน และไม่มีทางเป็น

ยามพบกันครั้งแรกชายหนุ่มก็แสดงท่าทีแน่ชัดแล้ว

เขากำลังรอคนผู้หนึ่ง หากหาไม่พบก็จะอยู่ที่แคว้นหลินยวนตลอดไปเพื่อทำให้บัลลังก์ของเขามั่นคง แต่หากเขาตามหาคนผู้นั้นจนพบ เขาก็จะติดตามคนคนนั้นไปจนถึงที่สุด สำหรับเขา คนผู้นั้นก็เป็นดั่งทั้งชีวิตของเขา

ไม่แน่ว่าชายหนุ่มผู้นี้อาจมีความผูกพันกับแคว้นหลินยวนอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ชะตาที่ลิขิตให้เป็นเช่นนั้น!

ตำหนักสุดสวรรค์คือที่พำนักของชิงเยี่ยหลี

ตำหนักแห่งนี้หรูหราไม่น้อยไปกว่าตำหนักของฮ่องเต้ ภายในกว้างขวางนัก นอกจาก ชิงเยี่ยหลีแล้ว ก็มีเพียงอาจิ่นและข้ารับใช้อีกสองคนเท่านั้น นับเป็นตำหนักใหญ่โตที่ดูว่างเปล่ายิ่ง

แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชิงเยี่ยหลีนั้นชื่นชอบความสงบสุขและความเงียบสงบเช่นนี้นัก ไม่ต้องการให้ผู้ใดมารบกวนเขา เขามีนิสัยเย็นชาเหินห่าง วันหนึ่งอาจไม่เอ่ยแม้เพียงหนึ่งคำออกมาด้วยซ้ำ คล้ายกับผืนน้ำแข็งหนาวเย็นบนยอดเขาที่เวลาผ่านไปนับพันปีก็ยังไม่ละลาย กระทั่งอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ร้อนระอุก็ยังมีไอเย็นยะเยือกแผ่ออกมาได้