ตอนที่ 105 เบาะแส
เจียงซื่อส่ายหน้าปฏิเสธ ทว่าน้ำเสียงพูดยังคงอ่อนโยน “คงไม่ล่ะ ข้าจะไปเดินสูดอากาศเล่น ถ้าท่านจะไปถามไถ่ข่าวคราว เห็นทีข้าไปด้วยคงจะไม่สะดวก”
“งั้นก็ได้ อย่าไปไกลนักล่ะ แล้วก็ระวังตัวด้วย”
ทั้งสองพยักหน้าให้กัน จากนั้นก็ต่างคนต่างเดินแยกกันไปคนละทาง
ผ่านไปสักพักกว่าเจียงจั้นจะรู้สึกตัว จึงรีบเร่งฝีเท้าตามอวี้จิ่นไปพลางตบฉาดลงที่ไหล่ของเขา “พี่อวี๋ชี เมื่อกี้ท่านชวนน้องสี่ของข้าไปด้วยกันหรือ”
ต่อหน้าต่อตาเขาเลยเนี่ยนะ?
อวี้จิ่นเอามือถูปลายจมูกไปมา
แย่แล้ว ไม่ได้สังเกตว่าเจียงจั้นก็อยู่ด้วย
“ใช่ ข้ารู้สึกว่าแม่นางเจียงมีความคิดที่ค่อนข้างเฉลียวฉลาด ถ้ามีปัญหาอะไรจะได้หารือกันได้ทันที”
เจียงจั้นทำหน้าบึ้ง “นี่ท่านหมายความว่าข้าโง่หรือ”
อวี้จิ่นหัวเราะออกมาเบาๆ “น้องเจียงเอ้อร์ก็ไปด้วยกันเถอะ”
“ค่อยยังชั่วหน่อย”
เจียงซื่อหันกลับไปมองทั้งสองที่เดินเคียงไหล่กันไปตามระเบียงทางเดิน จากนั้นก็เดินไปที่บริเวณประตูเรือน อาหมานรีบเดินตามหลังไป
“คุณหนู ท่านจะไปไหนเจ้าคะ”
ทั้งมืดทั้งไม่มีไฟแถมยังมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นอีก คุณหนูช่างกล้าเสียจริง!
“ข้าได้ยินเสียงคนกำลังร้องไห้”
“มีคนกำลังร้องไห้งั้นหรือ” อาหมานเงี่ยหูฟัง “ไม่เห็นจะได้ยินเลยเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อไม่ได้สนใจอาหมาน เมื่อเร่งฝีเท้าเดินลอดผ่านประตูวงเดือนไปก็หยุดฝีเท้าลง
“คุณหนู มีเสียงร้องไห้จริงๆ ด้วย!”
เจียงซื่อหันซ้ายมองขวาแล้วถกกระโปรงขึ้นเดินตรงไปทางหนึ่ง
ไม่ไกลจากประตูวงเดือนมีสามเณรน้อยนั่งยองๆ อยู่ที่ใต้ต้นไม้ ศีรษะที่ไร้ผมส่องเป็นประกายใต้แสงจันทร์
เสียงร้องที่ดังออกมานั่นก็คือเสียงของสามเณรน้อย ทว่าสามเณรเอามือปิดปากไว้เสียงร้องไห้จึงเบามาก
เจียงซื่อนั่งยองลงข้างๆ เขา “ท่านอาจารย์ตัวน้อยเป็นอะไรไปหรือ”
สามเณรน้อยปล่อยมือออก ท่าทางตกใจ
เจียงซื่อยิ้มออกมาบางๆ “ข้าเอง ท่านอาจารย์ตัวน้อยจำข้าไม่ได้แล้วหรือ”
สามเณรน้อยพยักหน้าลงทั้งน้ำตา “จำได้ ขนมรังไหม”
เจียงซื่อแสดงสีหน้าบอกเป็นสัญญาณให้อาหมานเอาเหอเปามาให้ จากนั้นก็ควานหาขนมรังไหมจากในกระเป๋าส่งให้สามเณรน้อย “ยังมีขนมอีกนะ ท่านอาจารย์ตัวน้อยบอกข้าได้หรือไม่ว่าร้องไห้ทำไม”
สามเณรน้อยยังอยู่ในวัยที่ไร้เดียงสาและใสซื่อบริสุทธิ์ แถมยังบวชอยู่ในพุทธศาสนาด้วยจึงมีจิตใจที่สงบ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่หน้าตาดีมักจะได้รับคะแนนความไว้ใจจากผู้อื่นมากกว่าเสมอ เมื่อได้ยินเจียงซื่อถามแบบนี้จึงก้มหน้าลง “ศิษย์พี่ซื่อคงดีมาก เณรเสียใจ…”
เจียงซื่อถอนหายใจออก กำลังจะยกมือลูบศีรษะของสามเณรน้อย แต่พอเห็นศีรษะที่ไร้ผมก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมจึงหันไปตบที่แผ่นหลังเขาเบาๆ แทนแล้วเอ่ยปลอบ “ท่านอาจารย์ตัวน้อยอย่าเศร้าไปเลย อาจารย์ซื่อคงต้องได้ขึ้นสวรรค์ไปแล้วแน่นอน”
“จริงหรือ” สามเณรน้อยเงยหน้าขึ้น แววตาเป็นประกาย
“แน่นอน อาจารย์ซื่อคงผ่านเคราะห์หามยามร้ายมาจึงเปี่ยมไปด้วยบุญบารมี” เจียงซื่อเห็นว่าสามเณรน้อยเศร้าน้อยลงแล้วจึงเปลี่ยนน้ำเสียงการพูดทันที “ทว่าศพขอบุรุษที่ตายในบ่อน้ำช่างน่าสงสารเสียจริง ข้าได้ยินมาว่าคนที่ตายโดยไม่รับความเป็นธรรมจะกลายเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนอยู่ในโลกมนุษย์”
สามเณรน้อยยกมือขึ้นมาปิดปากไว้
“ท่านอาจารย์ตัวน้อยเต็มใจจะช่วยเขาหรือไม่”
สามเณรน้อยรีบพยักหน้ารับ จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นอย่างทุกข์ใจ “เณรจะช่วยเขาได้อย่างไร”
“ก่อนอื่นท่านอาจารย์ตัวน้อยต้องบอกก่อนว่ารู้จักบุรุษผู้นั้นหรือไม่”
“รู้จัก เขามาพักเป็นช่วงสั้นๆ ที่วัดอยู่บ่อยๆ”
“ถ้างั้นเขามีคนที่สนิทหรือไม่”
สามเณรน้อยเอียงหัวทำท่าครุ่นคิด แล้วถามเจียงซื่อออกไป “คนในวัดหรือว่าญาติโยม”
เจียงซื่อยิ้มขึ้น “ขอแค่สนิท ท่านอาจารย์ตัวน้อยบอกมาได้เลย”
“อืม…ถ้าเป็นในวัดล่ะก็…เนื่องจากโยมคนนั้นมาบ่อยจึงรู้จักทั้งอาจารย์อาและศิษย์พี่”
“แม้แต่พวกอาจารย์อาของท่านอาจารย์ตัวน้อยก็รู้จักบุรุษคนนั้นงั้นรึ!”
“ใช่ เพราะว่ามาบ่อย มีครั้งหนึ่งเณรเห็นเขาคุยกับอาจารย์ลุงเสวียนฉือ”
“ไม่ทราบว่าเขาเริ่มมาที่วัดหลิงอู้บ่อยๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่”
สามเณรน้อยคิดไปคิดมาแล้วเอ่ยขึ้น “สองปีที่แล้ว”
เจียงซื่อหัวใจกระตุกวาบขึ้นมา เหมือนว่าจะจับอะไรบางอย่างได้คร่าวๆ แต่มันก็ยังไม่ชัดราวกับมองดอกไม้ท่ามกลางหมอกหนา ซึ่งไม่รู้ด้วยว่าจะดึงกุญแจสำคัญออกมาจากหมอกได้จากตรงไหน
“ถ้างั้นเขาสนิทกับญาติโยมพวกนั้นหรือไม่” เจียงซื่อเก็บเอาข้อแตกต่างที่ผุดขึ้นมาในตอนนี้ไว้ในใจชั่วคราว จากนั้นก็ถามต่อ
“ในวัดมีญาติโยมไปๆ มาๆ อยู่ตลอด เณรจึงไม่ได้ใส่ใจ แต่ว่าเณรเคยเห็นเขากับแม่นางหลี่อยู่ด้วยกัน…”
เจียงซื่อไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้ยินเรื่องแบบนี้จากปากของสามเณรน้อย จึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขาทำอะไรอยู่ด้วยกันหรือ”
“วันนั้นมันค่อนข้างดึก ดูเหมือนว่าเขาจะเอาของอะไรบางอย่างให้แม่นางหลี่ แต่เนื่องจากเณรอยู่ไกลก็เลยเห็นไม่ชัด”
ตอนนี้เจียงซื่อสามารถยืนยันความสัมพันธ์ของหลิวเซิ่งกับแม่นางหลี่ได้คร่าวๆ แล้ว
ก่อนหน้านี้ที่หลังเขา สีหน้าของแม่นางหลี่ตอนที่เจอว่าผู้ตายเป็นหลิวเซิ่งนั้น หญิงสาวที่เกิดมาฉลาดหลักแหลมอย่างนางก็รู้ได้ทันทีว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องไม่ธรรมดาแน่
“แม่นางหลี่มาพักอยู่ที่วัดชั่วคราวครั้งล่าสุดคือเมื่อไหร่”
“อืม…ราวๆ ครึ่งเดือนก่อน” สามเณรน้อยคิดอยู่พักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“แล้วโยมหลิวที่ตายไปพักอยู่ที่วัดชั่วคราวครั้งล่าสุดเมื่อไหร่”
ครั้งนี้สามเณรน้อยตอบออกมาอย่างรวดเร็ว “ครึ่งเดือนก่อนเหมือนกัน มันคือช่วงเดียวกับที่เณรเห็นเขาเอาของให้แม่นางหลี่”
เจียงซื่อจมอยู่ในความคิดพักหนึ่ง แล้วถือเอาแนวคิดแน่วแน่ที่ว่าถามเพิ่มอีกหน่อยดีกว่าถามน้อยไป จากนั้นก็เอ่ยพูดขึ้น “ครึ่งเดือนก่อนพวกเขาล้วนมาพักที่วัดชั่วคราว มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษหรือไม่”
สามเณรน้อยทำหน้างง
เจียงซื่อเปลี่ยนวิธีการถาม “หรือว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านอาจารย์ตัวน้อยจำได้ขึ้นใจบ้างหรือไม่”
ในที่สุดสามเณรน้อยก็พยักหน้าลง “มี ตอนนั้นมีญาติโยมเข้ามาพักชั่วคราวอยู่ท่านหนึ่ง โยมท่านนั้นเป็นหญิงสาวแต่ว่าแต่งตัวเป็นผู้ชาย ซึ่งถูกศิษย์พี่ที่จัดการเรื่องที่พักดูออกก็เลยต้องจัดการให้นางไปพักอยู่ที่เรือนข้างแม่นางหลี่”
พอกล่าวถึงตรงนี้ สามเณรน้อยก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว สีกาท่านนั้นกับแม่นางหลี่มาขอยันต์อยู่เย็นเป็นสุขเหมือนกันและชนิดเดียวกันด้วย”
เจียงซื่อหัวใจกระตุกวาบ รีบถามขึ้น “ท่านอาจารย์ตัวน้อยยังจำได้ไหมว่าสีกาท่านนั้นอายุเท่าไหร่ หน้าตารูปร่างเป็นอย่างไร”
ภาพแม่นางท่านนั้นยังคงติดอยู่ในความทรงจำของสามเณรน้อยอย่างชัดเจน “ดูเหมือนว่าจะเด็กกว่าโยมนิดหน่อย หน้าตาก็ดูดีมากเลย”
“นางมีชื่อเรียกอันใด เป็นคนในพื้นที่หรือไม่”
“นางแจ้งว่าตัวเองแซ่ฉือ เณรไม่เคยเจอนางมาก่อนเลย”
“แล้วสีกาท่านนั้นออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
สามเณรน้อยส่ายหน้า “จำไม่ได้แล้ว”
คุยสัพเพเหระอยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นว่าถามหาข้อมูลจากปากของสามเณรได้ไม่มากแล้ว เจียงซื่อจึงยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ขอบคุณท่านอาจารย์ตัวน้อยมาก ตอนนี้ดึกมากแล้ว ท่านอาจารย์ตัวน้อยต้องรีบเข้านอนถึงจะได้โตไวๆ เดี๋ยวข้าให้อาหมานไปส่งท่านดีหรือไม่”
สามเณรโบกมือปัด “เณรกลับเองได้ เดี๋ยวถ้าพวกศิษย์พี่เห็นโยมวิ่งเพ่นพ่านไปมาจะถูกดุเอา”
พอเห็นสามเณรวิ่งไปไกลแล้ว เจียงซื่อถึงได้กลับ ซึ่งเจออวี้จิ่นกับเจียงจั้นที่กำลังเดินมาพอดี
ทั้งสามจึงเดินไปด้วยกันพลางกระซิบพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูล
“ข้าไปถามบุรุษหนุ่มผู้นั้น เขาบอกว่าได้ยินแม่เขาพูดว่าเมื่อก่อนวัดหลิงอู้เป็นวัดบนเขาที่ชำรุดทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ตั้งแต่ที่แม่ของหลิวเซิ่งคลอดหลิวเซิ่งมา ทุกคนก็เห็นว่ามันศักดิ์สิทธิ์ได้ผลตามที่ขอ ดังนั้นทุกคนจึงแห่กันมาจุดธูปไหว้วานศาลกล่าว ชื่อเสียงวัดหลิงอู้จึงค่อยๆ เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา…” อวี้จิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง “ซึ่งนั่นก็หมายความว่า หลังจากที่แม่ของหลิวเซิ่งคลอดลูก ชื่อเสียงของวัดหลิงอู้ถึงได้เริ่มเจริญ”
“ข้าไต่ถามสามเณรน้อยได้ความมาเรื่องหนึ่ง หลิวเซิ่งเพิ่งจะเริ่มมาที่วัดหลิงอู้บ่อยๆ เมื่อสองปีก่อน”
เจียงจั้นพูดแทรกออกไป “ข้าก็ไปไต่ถามบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งมา เขาบอกว่าเมื่อก่อนหลิวเซิ่งเป็นคนใช้ชีวิตเสเพลคนหนึ่ง เล่นการพนันเป็นประจำ ร้านขายเสื้อผ้าของครอบครัวเขาต้องหยุดกิจการไปพักหนึ่งเพราะเขาเป็นแบบนี้ แล้วสองปีก่อนไม่รู้ว่าได้เงินจากที่ไหนมาถึงได้เปิดกิจการขึ้นมาอีกครั้ง”
“สองปีก่อน…” เจียงซื่อพูดพึมพำ
ตอนนั้นจะต้องมีอะไรบางอย่างที่สำคัญถูกมองข้ามไปแน่นอน!