บทที่ 110 อดีตของเว่ยฉิง

เมื่อเว่ยฉิงกำลังจะออกจากบ้านสกุลขง ชายหนุ่มได้พาเนี่ยนตี้กลับไปด้วย โดยปกติแล้วการหย่าร้างเปรียบเสมือนบาปเจ็ดประการของลูกผู้หญิง ถือว่าเป็นความผิดของสตรีในสมัยโบราณ หลังหย่าร้าง หากฝ่ายหญิงเป็นคนขอหย่า แล้วสามียอมหย่าให้ก็จะได้รับเสียงติฉินนินทาน้อยลง หากทว่าบุตรก็ยังตกเป็นของบ้านฝ่ายชายอยู่ดี

แต่ตอนนี้เว่ยฉิงแก้ไขปัญหาที่ว่านั่นได้ด้วยกำปั้นของเขา ดีกว่าปล่อยให้เว่ยเสี่ยวเถาทนให้สกุลขงทุบตีจนตาย

เว่ยฉิงพาเนี่ยนตี้กลับมายังตัวเมือง เว่ยเสี่ยวเถากอดบุตรสาวไว้แน่น สามแม่ลูกต่างพากันร่ำไห้อย่างหนัก

“พี่สาว ไม่ต้องกลัวนะ เว่ยฉิงกับข้าจะช่วยท่านเอง ชีวิตของท่านต่อจากนี้ไปจะต้องดีกว่าคนสกุลขงแน่นอน” ถังหลี่ปลอบโยน

เว่ยเสี่ยวเถาพยักหน้ารับ

อันที่จริงแล้วหญิงสาวตระหนักดีว่าหากไม่มีอาฉิงกับน้องสะใภ้ นางจะต้องตายคาบ้านสกุลขงไปแล้ว เป็นเพราะมีพวกเขาสนับสนุน นางจึงกล้าที่ลุกขึ้นต่อสู้

หากมีหนทางอยู่รอดใครจะอยากตาย นางยังไม่ได้เห็นบุตรสาวทั้งสองคนออกเรือนมีครอบครัวเลย

“ขอบคุณอาฉิง น้องสะใภ้ ที่ให้ความช่วยเหลือข้า ต่อไปคงต้องหาบ้านใหม่ล่ะนะ” เว่ยเสี่ยวเถากล่าว

“อย่ากังวลไปเลย ไม่ช้าเราจะเจอบ้านดี ๆ ไม่ต้องกังวลไป” ถังหลี่กล่าวปลอบนาง

เมื่อเรื่องราวจบลงอย่างสวยงาม เว่ยฉิงจึงอารมณ์ดีมาก เขาฮัมเพลงตอนผ่าฟืนอย่างมีความสุข

เห็นได้ชัดว่าเขาห่วงใยพี่สาวจริง ๆ

ถังหลี่โน้มตัวไปฟังเสียงของเขา

เสียงของชายหนุ่มแหบ แต่มีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างน่าประหลาดทั้งยังชวนฟังเป็นอย่างมาก

เว่ยฉิงเหลือบมองไปยังศีรษะของภรรยาที่ยื่นเข้ามาใกล้ ๆ

เขารู้สึกว่านางน่ารักมาก จึงเหยียดแขนคว้านางเข้ามากอด

“ภรรยา ทำอะไรอยู่?”

“เจ้าร้องเพลงอะไรหรือ?”

“เพลงพื้นบ้านล่ะมั้ง” เว่ยฉิงขมวดคิ้วครุ่นคิด

“ฟังไม่เหมือนเพลงพื้นบ้านเลย” ถังหลี่กล่าว

มันเป็นเพลงโบราณที่ไพเราะกว่านักร้องดัง ๆ ในสมัยของถังหลี่ร้องเสียอีก นี่ถ้าหากเขาได้เกิดในยุคของถังหลี่แล้วละก็ เขาคงได้แจ้งเกิดในเส้นทางของนักร้องดังอย่างแน่นอน

“ข้าไม่รู้ว่าไปจำมาจากที่ใด เพียงแค่รู้สึกคุ้นเคยมาก” เว่ยฉิงขมวดคิ้ว แต่เมื่อเขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกปวดหัว

หญิงสาวเอื้อมมือมาลูบหัวเว่ยฉิงเบา ๆ

“ไม่ต้องคิดมาก ทำงานต่อเถิดข้าจะเข้าไปทำอาหาร”

พอพูดถึงอาหารก็เรียกความสนใจจากเว่ยฉิงได้ทันที

“ภรรยา ข้าอยากกินเนื้อ”

“ได้สิ เดี๋ยวข้าทำอาหารแบบใหม่ให้เจ้าชิม” ถังหลี่กล่าวก่อนจะเดินไปที่ครัว

ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของเว่ยฉิงอยู่ที่เรื่องนี้ เขาอยากรู้ว่าภรรยาจะทำอาหารแบบใดให้เขากิน ชายหนุ่มรีบผ่าฟืนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไปที่ครัวมองภรรยาอย่างอยากรู้อยากเห็น แต่เว่ยฉิงนตัวสูงใหญ่มาก เมื่อเขาเข้าไปในครัวไม่นานก็ถูกถังหลี่ไล่ออกมาเพราะเกะกะขวางทางนาง

ชายหนุ่มนั่งยอง ๆ อยู่หน้าประตูครัว ดมกลิ่นหอมที่โชยออกมาราวกับสุนัขตัวใหญ่

เว่ยเสี่ยวเถามองเขาอย่างสนใจ นางไม่เคยเห็นน้องชายตัวเองเป็นเช่นนี้มาก่อน นางจำวันแรกที่บิดาพาเว่ยฉิงมาได้ดี เขามีใบหน้าที่เย็นชาสูงศักดิ์ราวกับคุณชายน้อย แม้เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นบนร่างกายจะดูขัดตาก็ตามที

ถึงเว่ยฉิงจะเป็นน้องชายของนาง แต่เว่ยเสี่ยวเถาก็ยังรู้สึกว่าตนเองกับอีกฝ่ายนั้นดูเป็นคนละชนชั้นกัน หญิงสาวเม้มริมฝีปากแล้วคลี่ยิ้ม ก่อนจะหันหลังเข้าไปในห้องครัว

ป้าจ้าวนำจานอาหารขึ้นวางบนโต๊ะ เมื่อเห็นเว่ยเสี่ยวเถา นางก็รีบพยุงหญิงสาวไปนั่งที่เก้าอี้ทันที ไม่นานนักบุตรสาวทั้งสองของนางก็มาร่วมโต๊ะด้วยเช่นกัน จ้าวตี้อาศัยอยู่ที่บ้านสกุลเว่ยมาสักพักแล้ว นางจึงรู้สึกคุ้นชิน ต่างจากเนี่ยนตี้ที่เคยมาเพียงแค่หนึ่งหรือสองครั้ง เด็กหญิงมีท่าทีขี้อายมาก นางค่อย ๆ หย่อนกายลงนั่งข้างจ้าวตี้ เด็กทั้งสองกินอาหารทีละคำเล็ก ๆ อย่างมีความสุข นี่สินะคือรสชาติของข้าวหอม!

เว่ยฉิงก็กินอาหารอย่างมีความสุขเช่นกัน

เนื้อหมูถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ไม่รู้ว่าภรรยาของเขาใช้วิธีใด แต่เนื้อนุ่มมากแทบเหนียวเลย ที่สำคัญคือ ซอสสีดำ ที่ไม่รู้ว่าทำมาจากสิ่งใดแต่เมื่อจิ้มหมูลงไปก็ยิ่งเพิ่มความหอมมากยิ่งขึ้น

“ฮูหยิน เจ้าน้ำสีดำนี่คือสิ่งใดหรือ?” เว่ยฉิงถาม

“นี่คือน้ำจิ้มที่ข้าทำน่ะ” ถังหลี่กล่าว

ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีซีอิ๊ว ถังหลี่ลองพยายามผสมเครื่องปรุงหลายอย่างแต่ก็ยังมีรสชาติไม่อร่อย

ชายหนุ่มชอบกินเนื้อมาก เขาตั้งอกตั้งใจกินจนหน้าท้องที่แบนราบป่องออกมา หากเขาอยู่ที่บ้านทุกวัน ภรรยาคงขุนเขาให้อ้วนพีเป็นแน่

หลังอาหารเย็น ทั้งคู่เหนื่อยมากจึงรีบพักก่อน

เพียงกระพริบตาก็เข้าสู่เช้าวันถัดมา

เว่ยฉิงและถังหลี่ออกจากบ้านมาพร้อมกัน พวกเขาเดินไปตามถนนและแยกกันที่ตลาด คนหนึ่งไปยังจวนสกุลเซี่ย อีกคนหนึ่งไปที่เป่าชิงเก๋อ

ทันทีที่เว่ยฉิงมาถึงจวนสกุลเซี่ย เขาก็ถูกสาวใช้เรียกทันที

“หัวหน้าเว่ย นายท่านสั่งไว้ว่าหากท่านกลับมาแล้วให้ไปพบท่านหน่อย”

เว่ยฉิงหันตัวกลับและเดินไปที่ห้องหนังสือ

เว่ยฉิงทำงานอยู่ที่จวนสกุลเซี่ยมาเกือบหนึ่งปีแล้ว เขาคุ้นเคยกับนิสัยของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี นายท่านเซี่ยเป็นคนที่ชอบอ่านเขียน ร่ายบทกวี และสะสมภาพตัวอักษร การเดินทางไปทำงานไกล ๆ ของเขาล้วนเกี่ยวข้องกับงานประดิษฐ์ตัวอักษรหรือภาพวาดทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นจากการซื้อขาย หรือของขวัญจากมิตรสหาย

เว่ยฉิงเคาะประตูห้องหนังสือเบาๆ

“เข้ามา”

ชายหนุ่มเดินเข้าไป

นายท่านสกุลเซี่ยเป็นบุรุษวัยสี่สิบต้น ๆ มีท่าทางสง่างาม เขานั่งรออยู่ที่โต๊ะ

“อาฉิง ข้าได้ภาพวาดมาใหม่ เจ้าลองดูสิ” นายท่านเซี่ยกล่าวขึ้นอย่างอารมณ์ดี ชายหนุ่มเดินเข้าไปดูภาพวาดในมือของอีกฝ่าย

เมื่อนายท่านเซี่ยยื่นภาพในมือให้ เขารับไปดูอย่างจริงจัง ตั้งแต่ที่เขาได้ติดตามนายท่านเซี่ย เว่ยฉิงก็มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เล็กน้อย

“ภาพวาดนี้ดูแปลก” เว่ยฉิงแสดงความคิดเห็น

นายท่านเซี่ยไม่เพียงแต่ไม่โกรธชายหนุ่ม เขายังหัวเราะขึ้นมา

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า อาฉิงเจ้าทำข้าประทับใจจริง ๆ ภาพวาดชิ้นนี้เป็นของที่ทำเลียนแบบขึ้นน่ะ”

นายท่านเซี่ยกำลังคิดว่า เว่ยฉิงเป็นบุรุษที่ดูหยาบกระด้างเขาเหมือนคนที่ใช้แรงงานทั่วไป มีจิตใจที่เรียบง่าย พอรู้จักไปสักพักก็จะพบว่าเขาเป็นคนฉลาดเฉลียว ใจเย็น เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เร็ว เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจก็จะเด็ดขาด นายท่านเซี่ยคิดอยู่เสมอว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดา

“อาฉิงข้ายังมีภาพวาดอีก เจ้ามาดูสิ” นายท่านเซี่ยส่งภาพวาดอีกภาพหนึ่งให้กับเว่ยฉิง

ชายหนุ่มกางออกพบว่า เป็นภาพวาดของหญิงสาวบอบบางผู้หนึ่ง คิ้วของชายหนุ่มขมวดยุ่งเล็กน้อย

“อาฉิง เจ้าคิดว่าอย่างไรหรือ?”

ดวงตาของชายหนุ่มไม่มีความพิศวาสหรือสนใจแม้แต่น้อย เขารีบม้วนภาพวาดวางข้างนายท่านเซี่ย

“งดงามไม่เท่าภรรยาข้า” เขาพูด “ตาไม่โตเท่าภรรยาข้า จมูกไม่โด่งเท่านาง ภรรยาข้ามีใบหน้าเรียวและงดงามกว่ามากนัก”

เว่ยฉิงทำการประเมินใบหน้าของคนในรูปอย่างจริงจัง

“เช่นนั้นเจ้าเป็นบุรุษที่โชคดีมาก ที่ได้แต่งงานกับคนงดงามเช่นนาง” นายท่านเซี่ยยิ้ม

“ข้าก็คิดเช่นท่าน” เว่ยฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม “หากท่านไม่ว่าอะไร ข้าจะขอตัวไปทำงานก่อน”

“ไปเถิด” นายท่านเซี่ยโบกมือ

ทันทีที่เว่ยฉิงปิดประตูและเดินออกไป รอยยิ้มของนายท่านเซี่ยจางหายไปทันที

บุคคลในภาพนี้คือบุตรสาวของน้องชายเขา น้องชายเขาเป็นเจ้าหน้าที่ในศาล เว่ยฉิงเป็นคนอ่อนโยน เดิมทีเขาอยากให้หลานสาวมีสามีที่ดี

ใครจะรู้ว่าชายหนุ่มไม่ชายตามองเลยสักนิดเดียว