ตอนที่ 139 สารภาพรัก
“หลิงเล่~!”
มู่เทียนซิงเรียกชื่อเขาแบบทำอะไรไม่ได้แล้ว แล้วส่งสายตาที่โกรธไป!
อยู่ๆหลินเล่ก็พูดมาแบบเรียบๆว่า:”จะลงมือกับคนพิการหรอ?และก็เป็นคนที่เพิ่งจะเกิดอุบัติเหตุเองนะ คนพิการที่หนีออกมาจากความตายนะ!มู่เทียนซิง คุณบอกว่าจะรักผมไม่ใช่หรอ?ความรักของคุณปไหนหมดแล้ว?”
ใช้คำสัญญาที่เธอเคยให้ไว้มากดดันเธอ วิธีนี้ของหลิงเล่ก็แรงอยู่นะ
เขายกมือขึ้น ชี้ผ้าก๊อตที่อยู่บนหน้าผากของตน:”ผู้ชายของคุณผมเย็บไปสามเข็ม ถึงแม้ว่าถุงแอร์แบ็คของแถวหลังจะเด้งออกมา แต่หัวของผมก็ชนเข้ากับกระจกกันกระสุนอยู่ดีนะ!”
แล้วใช่ความสงสารของเธอมาทำให้เธอเจ็บใจอีก วิธีนี้ของหลิงเล่ก็แรงเหมือนกันนะ
ดูสิ เด็กสาวที่ยังเกรี้ยวกราดอยู่ในเมื่อกี๊ ตอนนี้ก็หงอยลงแล้ว ไฟที่อยู่ในสายตานั้นตอนนี้ได้กลายเป็นน้ำไปแล้ว มองเขาแบบอ่อนโยน:”ขอ ขอโทษ ฉันแค่ หวังว่าวันหลังคุณจะไม่จูบฉันต่อหน้าคนอื่นแล้ว ฉันรู้สึกเขินมากเลย”
เสียงนั้นต่ำลงเรื่อยๆ และหัวของเธอก็ต่ำลงเรื่อยๆเช่นกัน
หลิงเล่มองดูเขาอ่อนโยนลงแล้ว จึงปิดบังความขี้เล่นในสายตาลง จากนั้นก็มีเสียง”ซือ~” ขมวดคิ้วไว้ กอดหัวขึ้นมา
มู่เทียนซิงรีบโผเข้ากอด:”คุณลุง เป็นอะไรหรอ?”
“เจ็บข้างใน”
เสียงของเขาต่ำๆไว้ แล้วมีอารมณ์ที่กดต่ำ เหมือนกับว่าเป็นเรื่องจริงเลย
เธอกระตือรือร้นจนจะร้องไห้แล้ว แต่ก็เห็นว่ามุมปากของเขาเหมือนกับว่าจะมีรอยยิ้มของผู้ชนะอยู่
ตาโตนั้นกระพริบตาสองรอบ เธอพูดแบบกลัวๆว่า:”ทำไงดีละ อุบัติเหตุนะ หัวก็ชนลงกับกระจกกันกระสุนแล้ว โดนเย็บแล้วด้วย งั้นต้องชนแรงขนาดไหน หรือว่าในนั้นจะมีชิ้นส่วนอะไรหลุดลงมาหรือเปล่าละ ต้องหาคุณหมอมาสแกนสมองอีกรอบมั้ย ดูให้ละเอียดยิบเลยนะ?งั้นถ้าข้างในนั้นขาดอะไรไป ตอนแรกขาก็ไม่ดีแล้ว ถ้าสมองเสียอีกรอบ วันหลังนี้ต้องอยู่ต่อไปยังไงอีกละ!”
“ห้ะ!”
“เห้อเห้อเห้อ!”
ปากเล็กของเธอพูดมั่วๆไป ฉวีซือกับจั๋วซีไม่ได้ทนไว้ ก็หลุดขำออกมากหมดเลย
ส่วนจั๋วหรันก็อยู่แบบสุขุมสงบ:”แข่กๆ ซือซ่าวไว้ใจได้ สิ่งที่คุณหนูมู่พูดเมื่อกี๊นั้น พวกผมไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น!”
จั๋วซีอั้นขำไว้:”ใช่แล้ว อะไรชิ้นส่วนหลุด อะไรพวกนั้น คำพูดแบบนั้น พวกผมไม่ได้ยินเลย!”
มู่เทียนซิงกอดแขนไว้ตรงหน้าอก หันตัวไปด้านข้าง แล้วยักคิ้วให้เขาดูแบบพึงพอใจ ว่า:”ยังไง จะหลอกฉัน เจ้าเด็ก คุณยังเด็กไปหน่อยนะ!”
แต่แล้ว ภายใต้แสงสว่างสีขาวนวลนั้น ผู้ชายคนนั้นอยู่ๆก็ไม่พูดไปแล้ว
เขาไม่ได้ทำท่าน่าสงสารอีก และไม่ได้อ้อนอะไรด้วย แต่สายตานั้นจดจ่ออยู่กับเธอ มีความชื่นชมแบบใจดี
มู่เทียนซิงไม่ค่อยได้เห็นเขาทำหน้าตาแบบนี้ ขณะนั้นจึงทำตัวไม่ถูก เหมือนกับว่าเธอเป็นซีรีส์ที่น่าดู
เหมือนกับว่าเขาจะดูความทำตัวไม่ถูกของเธอได้ ก็ยกมุมปากขึ้น แล้วเรียกเบาๆว่า:”เทียนซิง คุณที่หลงตัวเองขี้โม้แล้วก็ทำตัวสูงแบบนี้ สวยมากเลยจริงๆนะ”
มู่เทียนซิงอึ้งไปสองวินาที ดูเหมือนสายตาเขาจะใจดีนะ และน้ำเสียงก็อ่อนโยนด้วย แต่ทำไมประโยคที่พูดออกมาฟังไม่ออกว่าชมเธอหรือว่าเธอ?
ตอนที่กำลังเผลอ เขาก็พูดแบบตั้งใจอีกประโยคว่า:”ภารกิจชีวิตที่เหลือของผมนั้น คือทำให้คุณอยู่ไปแบบหลงตัวเองขี้โม้แล้วก็ชอบทำตัวสูงแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงตอนแก่”
แค่ประโยคง่ายๆ ไม่มีอะไรคิดถึงเธอรักเธอ ไม่มีคำหวานอะไรมาก แต่ก็ทำให้มู่เทียนซิงรู้ถึงใจจริงของเขา
เธอยิ้มเหมือนคนบ้าผู้ชายแล้วมองเขาไป สายตานั้นไม่มีอะไรเลย:”คุณลุง ฉันเชื่อคุณ!”
——
สภาพของหลิงเล่นั้น พูดตามหลักการแล้ว ต้องใส่ถุงน้ำเกลือไว้กับฉีดยาแก้อักเสบ แล้วต้องสังเกตอยู่บนเตียงผู้ป่วยอีก48ชั่วโมงว่าจะมีเลือดออกในกะโหลกมั้ย แต่เพราะว่าหลิงเล่ตั้งใจจะออกจากโรงพยาบาลทางโรงพยาบาลจึงทำอะไรเขาไม่ได้ก็เลยให้เขาเซ็นชื่อ บอกว่าหลังจากออกโรงพยาบาลแล้วต้องรับผิดชอบเอง นี้ถึงให้เขาออกโรงพยาบาลได้
แล้วก็ตอบที่ตำรวจสอบถามอีกหน่อย ที่มีกับที่ไม่มี และที่ควรบอกไป จั๋วหรันกับจั๋วซีได้บอกไปหมดแล้ว
กลางดึกของฤดูร้อนนั้น ตอนที่มู่เทียนซิงเข็นรถเข็นที่ยืมมาจากโรงพยาบาล แล้วเข็นหลิงเล่ออกจากห้องผู้ป่วยนั้น ก็ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ๆเธอก็พูดออกมา ว่า:”คุณลุง ถึงแม้ว่าขาของคุณจะลุกขึ้นมาไม่ได้ทั้งชีวิต แต่ฉันก็ยอมที่จะเข็นคุณไปตลอดชีวิตนะ”
หลิงเล่อึ้ง ในตาที่ดำคลับนั้นมีความอ่อนโยนดั่งดวงจันทร์อยู่
เด็กสาวของเขานั้น เหมือนกับของดีที่ซื้อไม่ได้:”ผู้ชายที่ดีบนโลกนี้มีเป็นพันเป็นหมื่น คุณยอมตามผม เป็นบุญของผมแล้ว และเป็นความเสียดายของคุณ คุณไม่เคยคิดมาก่อนเลยหรอ?”
“คุณลุง คุณเคยได้ยินประโยคหนึ่งมั้ย?”
“อะไร?”
“บางคนนั้นร่างกายพิการแล้ว แต่ใจไม่พิการ;บางคนนั้นร่างกายไม่พิการ แต่ใจพิการแล้ว แทนที่จะไปอยู่กับคนที่ใจพิการแล้ว ฉันยอมที่จะเลือกผู้ชายที่ ฉันมั่นใจแล้วว่ารักฉันด้วยความจริงใจ และฉันก็รักเขาเช่นกัน”
บนระเบียงนั้น ใบหน้าที่มั่นใจของเด็กสาวนั้นสะท้อนแสงที่เจิดจ้าออก ถึงแม้ว่าคำพูดที่หวานๆจะเลี่ยน แต่ก็ยังหวานถึงในใจของคนได้
นี้คือเธอ หลังจากที่พวกเขาต่างยอมรับฐานะกันแล้ว ครั้งแรกที่สารภาพรักกับเขา
ประโยคนั้น”ผู้ชายที่ฉันมั่นใจแล้ว รักฉันด้วยความจริงใจ และฉันก็รักเขาด้วย” คนที่พูดถึงคือเขา
มุมปากของหลิงเล่ดึงขึ้นเรื่อยๆ เขาคิด ชีวิตนี้ แค่เธอ พอแล้ว
ตอนที่ไปถึงหน้าประตูลิฟต์ มู่เทียนซิงมองดูสิ้นสุดของระเบียง หน้าประตูผู้ป่วยนั้นมีตำรวจยืนอยู่หลายราย เหมือนกับว่ากำลังปกป้องใครอยู่
“พี่หย่าจูนอยู่ในนั้นหรอ?”เธอเอียงหัวนิดๆ ระหว่างที่รอลิฟต์นั้น ก็พลางคิดว่าควรไปทักทายดีมั้ย ลองซักถามความเป็นอยู่
และแล้ว ตอนที่เธอกำลังคิดนั้น ผู้ชายที่สามารถรู้ความคิดของเธอได้นั้น บอกกับเธอเสียงเรียบว่า:”ไม่ต้องไปแล้วรอให้เขาหายดีแล้วก็จะกลับมาเอง ตอนนี้ถ้าพวกเราไปละก็……กลัวว่าจะนำความยุ่งยากมาให้พวกเขาโดยที่ไม่จำเป็น งั้นก็คงไม่ดีแล้วนะ”
เขาบอก พาความยุ่งยากมาให้”พวกเขา”
และชัดเจนว่า ในนั้นรวมคุณหญิงเยว่หยาด้วย
มู่เทียนซิงรู้สึกว่าหลิงเล่นั้นเป็นผู้ชายที่ใจดี ละเอียดรอบคอบจริงๆ
ลิฟต์มาถึงแล้ว อาจเป็นเพราะตอนกลางคืน ข้างในเลยไม่มีคน มู่เทียนซิงดันเขาเข้าไป สามคนตระกูลจั๋วก็เข้าไปด้วย
หลังจากที่ประตูลิฟต์ปิดลง มู่เทียนซิงก็พูดว่า:”คุณลุง ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนคุณไม่ได้อาศัยอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น แต่ว่าฉันคิดว่า ความคิดของคุณนั้นสมบูรณ์มาก อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเด็กตอนนี้ที่โตมาในครอบครัวที่อบอุ่นเยอะเลย คุณลุง คุณไม่ได้อยู่ร่วมกันกับพ่อแม่ของคุณ ไม่งั้น คุณน่าจะเป็นเด็กที่ทำให้พวกเขาภูมิใจตั้งแต่เล็กเลยนะ”
สามคนตระกูลจั๋วรู้สึกกลัวนิดๆ กลัวว่าคำพูดของมู่เทียนซิงนั้นจะทำให้หลิงเล่เสียใจ
อย่างน้อยสำหรับซือซ่าวแล้ว สิ่งที่เขาขาดที่สุด คือความห่วงใยที่ต้องการในตอนเด็ก
ใครจะไปรู้ เขาแค่ถามเรียบๆว่า:”ทำไม?”
ประตูลิฟต์เปิดออกโดยเร็ว มู่เทียนซิงดันเขาไป แล้วเดินอย่างหนักแน่นระหว่างข้นของฤดูร้อน เสียงหวานเหมือนอยู่ในความฝัน:”เพราะว่า คุณเป็นผู้ชายที่รู้เรื่องมาก รู้เรื่องมาก รู้เรื่องมากที่สุดไงละ!”