ตอนที่ 85 ข้าอยากเจอหลานข้า

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 85 ข้าอยากเจอหลานข้า

“พรึ่บ”

“กึก”

สองเสียงดังฟังชัด รายงานและขวดกระเบื้องเคลือบที่อยู่ในพระหัตถ์ของจักรพรรดิหล่นลงบนโต๊ะ สีพระพักตร์ของพระองค์เกิดความตะลึงงันโดยพลัน “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

“ฝ่าบาท เด็กคนนั้น เป็นบุตรชายของท่านอ๋องซิวพะยะค่ะ”

จักรพรรดิถึงกับสูดพระอัสสาสะเข้าลึก ๆ ความมั่นคงเมื่อครู่เริ่มพังทลาย พระองค์คว้ามือของเหมียวเชียวชิว “เจ้าพูดใหม่อีกครั้งสิ พูดกับเราให้ชัดเจน บุตรชายของซิวเอ๋อร์? ซิวเอ๋อร์มีบุตรชายตั้งแต่เมื่อใดกัน?”

เหมียวเชียนชิวอดทนกับความเจ็บปวดที่ข้อมือ เขาพูดอย่างชัดแจ้งแจ่มชัดทีละคำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตอนแรกกระหม่อมเองก็ไม่เชื่อพะยะค่ะ เด็กคนนั้นไม่รู้ว่าเข้ามาในห้องลับตั้งแต่เมื่อใด เดิมทีท่านอ๋องซิวก็คิดว่าเป็นหัวขโมย ก็เกือบจะฆ่าคนที่อยู่นอกประตูเช่นกัน ผลลัพธ์ที่ได้เมื่อประตูถูกเปิดออก เด็กอายุ 5-6 ขวบคนหนึ่งก็พุ่งพรวดพราดเข้าใส่อ้อมกอดของท่านอ๋องซิวและเรียกเขาว่าท่านพ่อ ท่านอ๋องเห็นว่ากระหม่อมอยู่ที่นั่นด้วย ดูเหมือนว่าคงไม่อยากให้กระหม่อมรู้ เดิมทีก็คิดจะปฏิเสธ ผลลัพธ์ที่ได้คือเด็กคนนั้นกลับโกรธเคือง ท่านอ๋องซิวจึงรีบกอดปลอบประโลมเขา ฝ่าบาท ท่านอ๋องซิวรักเด็กคนนั้นมาก ตอนที่อยู่ต่อหน้าเด็กคนนั้นก็แสดงท่าทางอ่อนโยนมาก กระหม่อมไม่เคยเห็นท่านอ๋องเป็นเช่นนั้นมาก่อนเลยพะยะค่ะ”

บุตรชาย? บุตรชาย?

พระเนตรทั้งคู่ของจักรพรรดิหรี่ลง ราวกับเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ

ทว่าเหมียวเชียนชิวพูดสาบานได้ และเขาก็ไม่กล้าหลอกพระองค์ด้วย

พูดเช่นนี้ ซิวเอ๋อร์มีบุตรแล้วรึ?

มุมพระโอษฐ์ของจักรพรรดิเริ่มกระตุกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ พระองค์มิอาจคงความมั่นคงและนิ่งสงบที่เป็นขั้นพื้นฐานในฐานะของจักรพรรดิได้อีกแล้ว จึงคว่ำรายงานที่อยู่บนโต๊ะ และเดินออกมาจากโต๊ะด้วยความกระตือรือร้น

“ไป เราจะออกจากวัง ข้าอยากไปดูหลานของข้า”

เหมียวเชียนชิวตกตะลึง รีบสาวเท้าสองก้าวและคุกเข่าลงพรึ่บที่เบื้องพระพักตร์ของจักรพรรดิ “โปรดฝ่าบาทใคร่ครวญอีกครั้งด้วยพะยะค่ะ”

พระราชนัดดาของฝ่าบาทมีแค่พระองค์เดียวที่ใดกัน? อย่าว่าแต่บุตรของรัชทายาทที่อายุเจ็ดขวบเลย ซื่อจื่อขององค์ชายใหญ่ก็อายุ 13-14 ปีแล้ว แต่จักรพรรดิก็ยังไม่เคยเรียกพวกเขาว่าพระราชนัดดาด้วยท่าทางสูญเสียการควบคุมเช่นนี้มาก่อน หากจักรพรรดิออกจากวังเพื่อไปหาเด็กที่จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่รู้ที่มาที่ไปในเพลานี้ เกรงว่าเด็กคนนั้นคงได้กลายเป็นเป้าถูกวิพากษ์วิจารณ์ และถูกทุกคนกำจัดภายในเวลาอันรวดเร็วแน่

“เจ้า…” พระบาทของจักรพรรดิหยุดชะงักลง พระขนงพลันขมวดมุ่น ความคิดที่หลุดลอยออกไปเพราะแรงกระตุ้นเมื่อครู่ถูกดึงกลับมาในที่สุด พระองค์เลอะเลือนจริง ๆ กลางดึกเช่นนี้ จะออกจากวังไปที่จวนของเย่ซิวตู๋ได้อย่างไรกัน?

พระองค์คลึงหว่างพระขนง และกลับไปประทับลงอีกหนด้วยท่าทางเหนื่อยล้า เพียงแต่พระพักตร์กลับมิอาจปกปิดความโสมนัสได้

พระองค์ทอดพระเนตรไปยังเหมียวเชียนชิว พระขนงขมวดอีกหน “ซิวเอ๋อร์ไม่ได้บอกหรือว่าจะเข้าวังเมื่อใด?”

“…กราบทูลฝ่าบาท ไม่ได้บอกพะยะค่ะ”

“ไม่มีกฎเกณฑ์จริง ๆ” จักรพรรดิแค่นเสียงเย็นหนึ่งเสียง ทว่ายังคงรับสั่งอีกฝ่ายด้วยพระสุรเสียงทุ้มต่ำ “เช้าวันพรุ่งเจ้านำคำของเราไปบอกให้เขาเข้ามาน้อมทักทายเราที่วัง นี่ก็กลับมาที่เมืองหลวงแล้ว จะไม่เข้าวังได้อย่างไรกัน?” หลังจากชะงักไป จึงตรัสเสริมอีกประโยคว่า “อืม บอกเขาให้แอบพาเด็กคนนั้นเข้าวังด้วย บอกว่าเราอยากเจอ”

เหมียวเชียนชิวอยากร่ำไห้ ให้เขานำพระดำรัสของพระองค์ไปบอก มิเท่ากับทำให้ท่านอ๋องซิวทราบหรอกหรือว่าเขาบอกความลับ? บางทียังไม่ทันที่เขาจะได้ออกจากจวน อาจถูกท่านอ๋องซิวจับแยกเป็นส่วน ๆ ไปแล้วก็เป็นได้

อีกอย่าง ฝ่าบาทเหมือนจะลืมเรื่องสำคัญไปแล้ว

เมื่อเห็นเขาไม่ตกปากรับคำ จักรพรรดิก็แสดงออกอย่างไม่ลังเล “เหมียวเชียนชิว!!!”

เหมียวเชียนชิวถึงกับตื่นตระหนก รีบคุกเข่าลง เอ่ยปากพูดด้วยเนื้อตัวสั่นเทิ้ม “ฝ่าบาท กระหม่อมยังมีบางอย่างอยากกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”

“เอ่ยมา”

“ฝ่าบาท ในเมื่อท่านอ๋องซิวมีบุตรแล้ว มารดาของ…เด็กคนนั้น…” คำพูดส่วนหลังมีความหมายโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย

จักรพรรดิชะงัก พระองค์เพิกเฉยต่อเรื่องนี้ไปเสียสนิท มารดาของเด็ก? ซิวเอ๋อร์แต่งงานแล้วหรือ?

มารดาของเด็กเป็นบุตรีของตระกูลใดกันแน่? สถานะเป็นเช่นไร การศึกษาเป็นเช่นไร รูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร? อีกอย่าง นางอยู่กับซิวเอ๋อร์มานานเพียงใดแล้ว? เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินเขาบอกว่ามีสตรีเช่นนี้มาก่อน?

จักรพรรดิทรงเงียบขรึมลง ฉุกนึกขึ้นได้ว่าเรื่องนี้รุนแรงกว่าเรื่องที่พระองค์อยากเจอพระนัดดาอยู่มากโข

“เชียนชิว เจ้าเคยเห็นมารดาของเด็กคนนั้นหรือไม่?”

เหมียวเชียนชิวส่ายหน้า “กระหม่อมไม่เคยเห็นพะยะค่ะ เพียงแต่ตอนที่ท่านอ๋องซิวออกจากห้องลับ ดูเหมือนว่าจะเจอกับสตรีผู้นั้นด้วย แล้วก็ได้ยินเด็กคนนั้นเรียกนางว่า…ท่านแม่”

หลังจากชะงักไป เขาก็เกิดอาการลังเลอีกหน การพูดยิ่งช้าลงและสั่นเครือ “ฝ่าบาท กระหม่อมยังมีอีกเรื่องอยากกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิโบกพระหัตถ์ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เรารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร”

พระองค์แอบรู้สึกปวดเศียร ครั้นนึกถึงปัญหาที่กำลังจะตามมา ความรู้สึกมีความสุขเมื่อครู่ พลันดิ่งวูบลง

ซิวเอ๋อร์มีลูกเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อหนึ่งปีก่อน พระองค์กลับหาคู่หมั้นคู่หมายแทนเขาไปแล้ว

เดิมทีพระองค์ไม่ได้คิดจะยืนยันเรื่องนี้ตอนที่เขาออกจากเมืองหลวง ถึงอย่างไรพระองค์ก็รักซิวเอ๋อร์ เรื่องแต่งงานของเขาต้องระมัดระวังให้มาก และต้องถามถึงความเห็นของเขาถึงจะถูก

คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อปีก่อนตอนที่พระองค์ตัดสินพระทัยเรื่องงานแต่งของฮ่าวถิงองค์ชายเจ็ด กุ้ยเฟยกลับบอกว่าในฐานะที่ซิวเอ๋อร์เป็นองค์ชายห้าแล้วยังไม่ได้แต่งงานก็ไม่มีเหตุผลที่จะให้ฮ่าวถิงแต่งงานก่อน ครั้นถูกขัดจังหวะเช่นนี้ ท้ายที่สุดจึงถูกเปลี่ยนกลายเป็นงานแต่งของซิวเอ๋อร์แทน

ตอนแรกจักรพรรดิก็เกิดความคิดเห็นแก่พระองค์ คิดว่าเย่ซิวตู๋ออกจากเมืองหลวงไปเพียงลำพัง หากจัดงานแต่งงานให้เขา สู่ขอพระชายา อาจทำให้เขายอมอยู่เมืองหลวงก็เป็นได้

อีกอย่างตอนแรกพระองค์ต้องการบุตรีของครอบครัวหย่งอันโหว หย่งอันโหวแม้จะเป็นนายพล แต่ก็สั่งสอนบุตรีให้รู้ตำราและมีการศึกษาได้เป็นอย่างดี สตรีเช่นนี้ย่อมเหมาะสมกับซิวเอ๋อร์ พระองค์จึงนำความคิดนี้ไปบอกกับกุ้ยเฟย เพื่อให้นางนำสตรีผู้นั้นเข้ามาคุยในวัง และลองหยั่งเชิงดูสักหน่อย

คิดไม่ถึงเลยว่ากุ้ยเฟยเข้าใจความหมายของพระองค์ผิด กลับเรียกบุตรีหัวรั้นของตระกูลเว่ยหยวนโหวเข้าวัง สตรีที่มีความดื้อรั้นผู้นั้นเคยเห็นหน้าเย่ซิวตู๋แล้ว ไม่เพียงแค่รู้สึกชอบเย่ซิวตู๋อย่างมาก แต่ถึงขั้นฝังรากหยั่งลึกไปแล้ว

กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงได้ยินว่านางโปรดปรานเย่ซิวตู๋ และยินดีที่จะรอให้เขากลับมา จึงตกลงเรื่องงานแต่งระหว่างนางและเย่ซิวตู๋ในตอนนั้น

เรื่องราวจับพลัดจับผลู ทว่ากลับจับคู่แต่งงานให้เย่ซิวตู๋ได้แย่ที่สุด

จักรพรรดิเองก็จนปัญญา พระดำรัสก็ถูกตรัสออกไปแล้ว กุ้ยเฟยยังมาพูดว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อเบื้องพระพักตร์อีก ถึงอย่างไรพระองค์ก็มิอาจคืนคำได้

หากหลิ่วเซียงเซียงของตระกูลเว่ยหยวนโหวทราบว่าเย่ซิวตู๋มีลูกแล้ว เกรงว่าคงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เช่นนั้น

“เชียนชิว นิสัยของสองแม่ลูกคู่นั้นเป็นเช่นไร?” หลังจากครุ่นคิด พระองค์จึงไตร่ตรองได้ว่าคงได้แค่รับมือกับทางฝั่งของอวี้ชิงลั่ว

เหมียวเชียนชิวแอบรู้สึกลำบากใจ เมื่อตรึกตรองอย่างละเอียดแล้ว จึงใช้คำที่เหมาะสมในการพรรณนา “เกรงว่าคงโน้มน้าวใจได้ยากพะยะค่ะ แม้ว่าบ่าวจะไม่เคยเห็นหน้าสตรีผู้นั้น แต่ฟังจากน้ำเสียงที่นางพูดกับท่านอ๋องซิวแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่เกรงกลัวท่านอ๋องซิวแม้แต่น้อย”

“ไม่กลัว?” จักรพรรดิแอบประหลาดพระทัย ด้วยนิสัยที่แสนเย็นชาของเย่ซิวตู๋ ไม่ว่าจะกับสตรีผู้ใดก็มิเคยแสดงสีหน้าเป็นมิตรมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงสตรีธรรมดา ต่อให้เป็นบุรุษ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็อดใจสั่นไม่ได้ แม้แต่คนหัวรั้นอย่างหลิ่วเซียงเซียง ตอนที่อยู่ต่อหน้าเย่ซิวตู๋ แม้แต่ครึ่งค่อนประโยคก็ยังไม่กล้าพูด

“ฝ่าบาท…” เหมียวเชียนชิวเกิดความกังวล เรื่องนี้ หากแม่ของเด็กคนนั้นเจอกับหลิ่วเซียงเซียง ไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมากเพียงใด

อีกอย่าง ทางฝั่งนี้ก็ยังไม่ทันได้คิดหาวิธีการแก้ปัญหา เว่ยหยวนโหวตระกูลหลิ่วกลับได้รับแจ้งเรื่องที่เย่ซิวตู๋กลับเมืองหลวงแล้ว

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลิ่วเซียงเซียงก็พากลุ่มสาวใช้และคนรับใช้มาหาถึงที่

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เรื่องราวชักวุ่นวายแล้วค่ะ ชิงลั่วจะหนีศัตรูที่รอดักฆ่ากับดักตบแย่งสามียังไง

ไหหม่า(海馬)