บทที่ 125 หมอปีศาจ

บทที่ 125 หมอปีศาจ

เจี่ยเจินถึงกับสำลักน้ำลาย “นั่นเพราะเจ้ายังไม่รู้ว่าหมอปีศาจอย่างข้าเก่งกาจเพียงใดน่ะสิ อย่างเช่นขาพี่ชายเจ้า คนอื่นอาจอับจนปัญญาที่จะรักษา แต่สำหรับข้ามันไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่

อีกอย่างหากวันหน้ามีผู้ใดมารังแกเจ้า เจ้าก็แค่วางยาพิษให้คนผู้นั้นท้องเสียหรือคันไปทั่วทั้งตัวก็ได้ หากผู้ใดทำให้เจ้าไม่พอใจ ก็จะเป็นการง่ายที่จะ…”

“ศิษย์พี่!”

พอได้ยินศิษย์พี่เอื้อนเอ่ยเรื่องอุกอาจต่อหน้าเด็กหญิงวัยสามขวบ โจวผิงรุ่นพลันหางตากระตุก จึงรีบเอ่ยปรามอีกฝ่าย

เขามองเจี่ยเจินเหมือนไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยสิ่งใดกับคนผู้นี้ดี “ศิษย์พี่ องค์หญิงเก้าอายุเพียงสามขวบ”

แต่เจี่ยเจินกลับทำหน้าราวกับจะบอกว่า ‘แล้วมีปัญหาอันใด?’

อีกฝ่ายกลับไม่คิดว่าสิ่งที่ตนกำลังพูดนั้นมันผิดปกติอย่างไร เขาแค่คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น

“จะร่ำเรียนวิชาการแพทย์ ควรจะเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย สามขวบแล้วอย่างไร? หากเกินสามขวบไป นั่นก็ไม่ทันการณ์แล้ว”

โจวผิงรุ่นเงยหน้าขึ้น “เรื่องเรียนการแพทย์นั้นไม่ผิดอันใด แต่ท่านไม่ควรสอนเรื่องกู่พวกนั้น”

เพราะเขากังวลว่าหากเกิดอันใดขึ้นกับองค์หญิงน้อย แม้ศิษย์พี่ผู้นี้จะหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ฝ่าบาทย่อมตามล่าจนเจอ

เขาได้ยินข่าวลือจากในวังหลวงว่า ฮ่องเต้ทรราชผู้นี้ทรงรักใคร่พระธิดาเพียงคนเดียวของเขามาก แม้กระทั่งเหล่าองค์ชายยังได้รับความรักความเอ็นดูจากเขาเพียงหนึ่งในสามที่องค์หญิงน้อยทรงได้รับ

เจี่ยเจินเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีร้อนใจ ทำราวกับเขาเป็นตัวปัญหาถึงได้ตกปากรับคำว่า “ก็ได้ ๆ ไม่เรียนเรื่องกู่พวกนั้นก็ได้ ข้าจะสอนวิชาฝังเข็มให้เจ้าแล้วกัน หากมีคนกล้ามารังแก เจ้าก็แค่ฝังเข็มสักสองสามจุดให้พวกมันขยับตัวไม่ได้!”

โจวผิงรุ่น “…”

ไม่ต้องสอนสิ่งใดเลยไม่ดีกว่าหรือ องค์หญิงน้อยเป็นเด็กสุภาพน่ารักอ่อนโยน อย่าทำให้นางต้องแปดเปื้อนเลย!

อีกอย่างนางเป็นถึงองค์หญิง ผู้ใดยังจะกล้ารังแกนาง!

แต่เสี่ยวเป่าที่ได้ยินอย่างนั้นกลับมีท่าทางตื่นเต้นดีใจจนออกนอกหน้า แววตาสุกใสจับจ้องเจี่ยเจินพลางเอ่ยถามถึงการฝังเข็ม

นางทำราวกับอยากฝังเข็มใครบางคน

ว่ากันว่าหมอเป็นผู้มีเมตตา แต่คำนี้ใช้กับเจี่ยเจินไม่ได้ เพราะในตัวคนผู้นี้มีทั้งดีและชั่ว อีกอย่าง เขามักจะทำตัวไร้แก่นสารไปวัน ๆ

เจี่ยเจินเป็นคนสบาย ๆ ชอบทำตามใจตนเอง นิสัยค่อนข้างแปลกประหลาด ซึ่งเขาเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ทว่ามีสิ่งหนึ่งในตัวเขาที่ผู้คนต้องยอมรับ ก็คือฝืมือและความสามารถในการรักษาที่เรียกได้ว่าเก่งกาจอย่างไม่น่าเชื่อ

สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการให้เขารักษา การตัดสินใจของเจี่ยเจินจะขึ้นอยู่กับอารมณ์และความประทับใจแรกที่ได้พบหน้า หากเขาอารมณ์ดีหรือถูกชะตาด้วย เขาก็จะรักษาให้ ต่อให้วิญญาณผู้ป่วยจะลงไปถึงยมโลกแล้วก็ตาม เขาก็ยังสามารถพากลับมาได้

จึงเป็นที่มาของฉายาหมอปีศาจ

แต่หากเขาไม่เต็มใจจะรักษา ต่อให้เป็นผู้ดีมีอำนาจก็อย่าได้คิดว่าจะบังคับเขาได้

เมื่อเขายังหนุ่ม มีอ๋องในราชวงศ์ก่อนใช้อำนาจบีบบังคับเจี่ยเจินให้ไปรักษาตน แต่เจี่ยเจินไม่เต็มใจจึงสั่งให้ทหารไปคุมตัวเขามา

ทว่าทหารพวกนั้นจับตัวเจี่ยเจินไม่ได้ มิหนำซ้ำยังถูกวางยาพิษ ต่อมาเจี่ยเจินก็ได้แอบเข้าไปวางยาพิษอ๋องผู้นั้นถึงในจวนจนผมร่วงและมีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นเช่นนั้นอยู่นานสองนานกว่าอาการคันจะหายไป ทว่าผมกลับขึ้นใหม่ไม่ได้และผดผื่นบนใบหน้าก็ไม่หายไปเช่นกัน

อ๋องผู้นั้นโกรธมากจนสั่งให้คนตามจับตัวหมอปีศาจ แทบอยากจะฉีกร่างเขาออกเป็นชิ้น ๆ

แต่เจี่ยเจินนั้นมีฝีมือในการปลอมตัวเป็นเลิศ บางครั้งเขาก็เป็นชายชรา บ้างก็เป็นชายหนุ่ม บ้างก็เป็นหญิงสาว ต่อให้เดินเล่นอยู่ข้างนอกก็ไม่มีผู้ใดรู้รูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของเขา ฉะนั้นการไล่ล่าตามหาเขาจึงเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์

ผู้คนในใต้หล้าที่รู้จักหมอปีศาจต่างก็มีคำวิจารณ์ในตัวเขาแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคำด่าทอมากกว่าคำสรรเสริญ

เจี่ยเจินไม่สนว่าตนจะเป็นที่รักหรือเกลียดชัง และไม่สนใจว่าชื่อเสียงของตนเองจะเป็นเช่นไร

แต่ตอนนี้เจี่ยเจินอายุมากแล้ว เขาจึงมีใจจะรับลูกศิษย์ ทว่าคุณสมบัติที่เขาต้องการนั้นสูงลิ่ว

เช่นว่า น่าเกลียดไม่เอาเพราะมันไม่เป็นมิตรต่อสายตา เดี๋ยวจะพาอารมณ์ให้ขุ่นมัว ทำอาหารไม่เป็นไม่เอา ซื่อตรงเกินไปไม่เอา ขี้ขลาดเกินไปไม่เอา จิตใจคับแคบไม่เอา เจ้าเล่ห์เพอุบายก็ไม่เอา ที่สำคัญที่สุดคือห้ามโง่

ยิ่งไปกว่าเงื่อนไขต่าง ๆ นานาพวกนั้นแล้ว ยังต้องเป็นผู้ที่เขาพอใจและถูกชะตาด้วยเท่านั้น

คนที่เข้าใจก็คิดว่าเขากำลังคัดเลือกลูกศิษย์ แต่คนที่ไม่เข้าใจก็คิดว่าเขาจงใจเล่นแง่หรือกลั่นแกล้ง

คัดเลือกศิษย์มาก็หลายปี แต่เขายังคงเป็นตาแก่ตัวคนเดียว ศิษย์สักคนก็ยังไม่มี

ในที่สุด วันนี้เขาก็ได้พบลูกศิษย์ที่ถูกใจ มีเพียงเสี่ยวเป่าเท่านั้นที่สามารถเอ่ยชื่อสมุนไพรพวกนั้นได้อย่างถูกต้องแม่นยำ อีกทั้งเขายังถูกชะตานางมากจนสามารถเพิกเฉยต่อเงื่อนไขอื่น ๆ ที่ตนเองกำหนดไว้ได้

แต่มันกลับทำให้โจวผิงรุ่นรู้สึกทุกข์ใจอย่างหนัก เพราะเขากลัวว่าศิษย์พี่ผู้นี้จะต้องมาจบชีวิตลงก็คราวนี้

แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ศิษย์พี่ทำเรื่องท้าทายเช่นนี้ เพียงแต่อ๋องที่เขาเคยมีเรื่องด้วยนั้นไม่ได้น่าเกรงกลัวสำหรับเขาเลยสักนิด ซึ่งมันต่างจากผู้ที่เขากำลังท้าทายอยู่ตอนนี้โดยสิ้นเชิง

เสี่ยวเป่าสนทนากับเจี่ยเจินอย่างออกรสออกชาติในระหว่างมื้อเที่ยง รู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว

ด้านหนานกงฉีซิวเห็นว่าเสี่ยวเป่าไปนานแล้วก็ไม่รอช้า รีบออกมาตามหาน้องสาวของตนเองทันที

“พี่ใหญ่มาที่นี่!”

เสี่ยวเป่าตื่นเต้นทันที จะออกวิ่งไปหาพี่ชายของตน แต่พอวิ่งไปถึงประตูนางก็วิ่งกลับมา ยัดพุทราที่กัดไปแล้วครึ่งหนึ่งเข้าปากให้หมด แก้มป่องสองข้างนูนเด่นขึ้นมา คนตัวเล็กไม่ลืมที่จะคว้ามือเจี่ยเจินให้ตามมาด้วย

“ท่านลุง ไหน ๆ พี่ใหญ่ก็มาที่นี่แล้ว ท่านช่วยตรวจอาการพี่ใหญ่ดูก่อนเถอะนะเจ้าคะ”

เจี่ยเจินเดินตามนางไปด้วยท่าทางไม่รีบร้อน “ท่านลุงอันใดของเจ้า ต้องเรียกว่าอาจารย์สิ!”

เสี่ยวเป่าเองก็หัวไวไม่น้อย “ต้องรักษาขาพี่ใหญ่ให้หายก่อน”

เจี่ยเจินบ่นพึมพำกับตนเอง “ที่จริงแล้ว เจ้าเป็นศิษย์หรือข้าเป็นศิษย์กันแน่ เจ้าตัวเล็กนี่ทำตัวหยิ่งผยองเสียจริง นี่ข้ากำลังหาศิษย์ให้ตนเองจริง ๆ หรือ? ข้าว่าข้ากำลังหาเด็กน้อยจอมซนให้ตนเองเสียมากกว่านะ!”

แม้ปากจะพร่ำบ่น แต่สุดท้ายเขาก็ยอมไปกับเด็กเล็ก

โจวผิงรุ่นมองตามหลังพวกเขาไปพลางส่ายหัวอย่างเอือมระอา “ศิษย์พี่ของข้าก็แค่วาจาร้ายกาจ หากเขาไม่พอใจเสี่ยวเป่าจริง ๆ มีหรือจะยอมตามนางไป”

ภรรยาของโจวผิงรุ่นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่เจี่ยหลงทางอยู่ข้างนอกมานาน หากครั้งนี้เขาลงหลักปักฐานในเมืองหลวงได้คงจะดีไม่น้อย”

โจวผิงรุ่น “หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าเกรงว่าเมืองหลวงจะไม่สงบสุขอีกต่อไป”

ศิษย์พี่ผู้นี้มีนิสัยไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่ชอบกฎเกณฑ์วุ่นวายมากมายชวนน่าปวดหัว และผู้มีอำนาจที่ยิ่งยโสโอหังในเมืองหลวงก็มีไม่น้อย หากเขาไปมีความขัดแย้งกับคนพวกนั้น มันอาจจะเกิดหายนะเอาได้

ยิ่งคิดโจวผิงรุ่นก็ยิ่งปวดหัว

เสี่ยวเป่าพาเจี่ยเจินมาหาพี่ใหญ่ ผู้เปรียบเสมือนเทพเซียนที่กำลังนั่งเล่นหมากรุก และสนทนาอยู่กับบิดาของโจวเหยียน

นิ้วเรียวของหนานกงฉีซิวจับตัวหมากรุกหยกขาว ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าระหว่างหมากรุกกับนิ้วเรียวยาว สิ่งใดขาววาวกว่ากัน

“พี่ใหญ่”

เสี่ยวเป่ารีบวิ่งไปหาพี่ชายอย่างรวดเร็วราวกับเหาะได้ หนานกงฉีซิวเดินหมากรุกบนกระดานไร้ความลังเล ก่อนจะหันหน้ามาทางเสี่ยวเป่า ใบหน้ารูปงามแต่งแต้มด้วยคิ้วคมตาทรงเสน่ห์ มาพร้อมรอยยิ้มนุ่มนวลดุจสายลมยามวสันต์

“เสี่ยวเป่า”

น้ำเสียงก็อ่อนโยนไพเราะรื่นหู โจวเหยียนที่ติดตามตามเสี่ยวเป่ามาถึงกับหักห้ามใจไม่ลอบมองคนตรงหน้าไม่ได้ คนผู้นี้ดูดีเกินไป ขอมองอีกหน่อยก็แล้วกัน!

เด็กน้อยตัวอ้วนกลมจ้องพี่ชายของเสี่ยวเป่าตาไม่กะพริบ ทว่าจู่ ๆ เขาก็ถูกท่านพ่อตบหัวไปหนึ่งที

“ยังไม่รีบถวายบังคมองค์ชายใหญ่อีก”

โจวเหยียนมองท่านพ่อของตนด้วยสายตาขุ่นเคือง เหตุใดวันนี้ท่านพ่อถึงได้ลงไม้ลงมือกับเขาขนาดนี้ ท่านพ่อไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน!

“ถวายพระพรองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”