ตอนที่ 119 หลับหูหลับตาตกหลุมพราง

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 119 หลับหูหลับตาตกหลุมพราง

นางเดินอาดๆ กลับเข้ามา สายตาที่สบเข้ากับตาของเสี่ยวเอ้อก็ให้ความรู้สึกท้าทายอยู่หลายส่วน คล้ายกำลังถามว่าเจ้าจะทำอะไรข้าได้เล่า แต่พอเดินไปถึงประตูห้องแล้วสบตากับหนิวโหย่วเต้า นางก็ใจฝ่อลงอีกครั้ง เนื่องจากไม่มีความมั่นใจ

หนิวโหย่วเต้ายิ้มนิดๆ พลางเอ่ยถาม “มาหาข้าหรือ?”

เมื่ออยู่ต่อหน้าเสี่ยวเอ้อ เฮยหมู่ตานจึงยืนกรานไปว่า “พวกเราเคยพบกันแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าถาม “มีธุระอะไร?”

เฮยหมู่ตานมองเสี่ยวเอ้อ พยักเพยิดหน้าไปทางด้านใน เอ่ยถามว่า “เข้าไปคุยในห้องได้หรือไม่?”

“เชิญ!” หนิวโหย่วเต้าเบี่ยงตัวหลบทางให้ ผายมือเชิญ

พอเห็นเฮยหมู่ตานเดินเข้าไป เสี่ยวเอ้อรีบเอ่ยเตือนหนิวโหย่วเต้าว่า “ท่านลูกค้าขอรับ อย่าหาว่าข้าน้อยไม่เตือนท่านเลย ที่ผ่านมาก็เคยมีลูกค้าที่โดนหลอกลวงเสียเงินเสียทองเหมือนโยนทิ้งน้ำ หลังเกิดเรื่องขึ้นจะสืบสาวเอาเงินคืนก็ถูกใช้จ่ายไปหมดแล้ว ทวงกลับมาไม่ได้ หากมีใครเอ่ยถึงเรื่องเงินขึ้นมา ต้องระวังไว้นะขอรับ มิเช่นนั้นหากเกิดอะไรขึ้นทางโรงเตี๊ยมจะไม่รับผิดชอบ”

เขาเอ่ยเตือนโดยไม่หลบเลี่ยงเฮยหมู่ตานที่อยู่ในห้องเลยสักนิด พอเฮยหมู่ตานที่อยู่ในห้องได้ยินก็ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย กัดฟันขบริมฝีปาก ร้องด่าในใจว่าตาต่ำเหยียดหยามคนอื่น นางตั้งปณิธานแน่วแน่แล้วว่าสักวันหนึ่งจะเดินเข้ามาที่นี่อย่างสง่าผ่าเผยให้คนพวกนี้ก้มหัวค้อมคำนับให้ได้!

พอได้ยินคำเตือนเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญเล็กน้อย นึกขึ้นได้ว่าใน ‘บันทึกสวรรค์พิสุทธิ์’ เคยเอ่ยถึงคนจำพวกหนึ่งไว้ พอจะเข้าใจแล้วว่าสตรีนางนี้มาหาตนด้วยเรื่องใด

“รบกวนแล้ว” หนิวโหย่วเต้าดีดเหรียญทองเหรียญหนึ่งให้เป็นรางวัล

หยวนฟางเสียดายยิ่ง ปวดใจกับวิธีใช้เงินของหนิวโหย่วเต้า แค่ตกรางวัลต้องให้มากขนาดนี้เชียวหรือ?

เสี่ยวเอ้อรับเอาไว้ ยิ้มออกมา นับเป็นแขกที่ใจกว้างคนหนึ่งทีเดียว เขารีบเอ่ยว่า “ข้าจะคอยจับตามองอยู่ที่ชั้นล่าง หากมีเรื่องใดท่านลูกค้าเรียกได้เลยนะขอรับ”

จากนั้นหนิวโหย่วเต้ากับหยวนฟางก็เข้าห้องไป เสี่ยวเอ้อช่วยปิดประตูให้

เฮยหมู่ตานที่อยู่ในห้องเห็นว่าน้ำชาเดือดแล้ว จึงรีบยกลงมาทันที เลื่อนโต๊ะจัดเก้าอี้ให้อย่างดี ผายมือเชื้อเชิญ “น้องชายเชิญนั่ง”

หนิวโหย่วเต้าแย้มยิ้มพลางนั่งลง เขายิ้มเพราะอีกฝ่ายตาแหลมยิ่ง มองออกว่าเขาและหยวนฟางมีความสัมพันธ์แบบเจ้านายกับลูกน้อง

เฮยหมู่ตานผายมือเชิญหยวนฟางนั่งต่อ “พี่ชาย เชิญนั่ง”

หยวนฟางมึนงง ฉงนว่าสตรีนางนี้จะทำอะไร เขาไม่ได้นั่งลงไป หากแต่เลียนแบบหยวนกัง ยืนอยู่ข้างๆ หนิวโหย่วเต้า จ้องมองด้วยความระแวดระวัง

เขาจำได้ว่าหยวนกังก็ทำแบบนี้ หากมีคนแปลกหน้าเข้าใกล้หนิวโหย่วเต้า หยวนกังจะรีบเฝ้าระวังทันที ท่าทางเหมือนพร้อมจะลงมือทุบตีคนตลอดเวลา

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่รับน้ำใจ เฮยหมู่ตานยิ้มเจื่อน หันไปยกน้ำชามาช่วยรินให้คนทั้งสอง หลังรินเสร็จก็นั่งตัวตรงลงตรงข้ามกับหนิวโหย่วเต้า เอ่ยแนะนำตัว “ทุกคนล้วนเรียกข้าว่าเฮยหมู่ตาน…”

หนิวโหย่วเต้ายกมือตัดบท มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วกล่าวว่า “ไปหา ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ มาให้ข้าสักเล่มที”

หยวนฟางร้อง “โอ้” คำหนึ่ง หันหลังเตรียมออกไป ภายในใจนึกว่าหนิวโหย่วเต้ามีเรื่องอะไรถึงต้องให้ตนออกไป ถึงขนาดสงสัยว่าจะเป็นเรื่องบัดสีระหว่างชายหญิงหรือเปล่า สงสัยว่าสตรีนางนี้จะมาเพื่อขายบริการ

“เจ้ากลับมานี่” หนิวโหย่วเต้ารีบเรียกไว้ ในใจรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง พบว่าหยวนฟางผู้นี้ห่างชั้นกับหยวนกังนัก กับหยวนกังตนเพียงส่งสายตาให้ก็ทราบแล้วว่าต้องทำอะไร เขาชี้ไปที่เฮยหมู่ตาน แล้วเอ่ยกับหยวนฟางว่า “ไม่ได้พูดกับเจ้า ข้าให้นางเป็นคนไปหามา”

“….” เฮยหมู่ตานและหยวนฟางตะลึงไปพร้อมกัน

จากนั้นเฮยหมู่ตานก็ลุกขึ้นมา ท่าทางงุนงงสงสัยเล็กน้อย

“เอา ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ แล้วก็สุราชั้นดีกับอาหารเลิศรสมา อ้อ เขากินเจนะ” หนิวโหย่วเต้าอธิบายอย่างชัดเจน จากนั้นถามนางว่า “มีปัญหาหรือไม่?”

“……” เฮยหมู่ตานมึนงงเล็กน้อย หมายความว่าอย่างไร? เพิ่งพบหน้ากัน นั่งคุยยังไม่ทันจบประโยคก็ใช้ตนไปซื้อของแล้วหรือ? หลังจากได้สติกลับมา นางตระหนักได้ถึงความไม่ธรรมดาของคนผู้นี้ แล้วก็ทำให้นางรู้สึกเชื่อใจได้อย่างน่าประหลาด อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยินยอมเจรจากับนางมิใช่เหรอ จึงรีบพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ได้! รอสักครู่ เดี๋ยวข้ามา”

กล่าวจบก็รีบเดินออกไป นางเดินไปถึงประตูเตรียมจะเปิดประตู หนิวโหย่วเต้าพลันเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า “ข้าเตรียมจะพักอยู่ที่นี่ครึ่งปี ตอนนี้เพิ่งจะจ่ายค่าห้องพักไปเพียงวันเดียวเอง”

เฮยหมู่ตานชะงักอยู่ตรงหน้าประตูท หันกลับมามองหนิวโหย่วเต้า

ฝ่ายหนิวโหย่วเต้ากลับถือถ้วยชามองท้องฟ้ายามราตรีด้านนอกหน้าต่างอย่างสบายใจ วาจานั้นดูคล้ายไม่รู้กำลังพูดกับใคร แต่นางรู้แก่ใจดีว่าเขาพูดกับนาง

เฮยหมู่ตานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างแข็งขันพร้อมเอ่ยว่า “ข้าจะช่วยจ่ายให้คุณชายเอง” กล่าวจบก็เปิดประตูเดินออกไป

“…..” หยวนฟางมึนงง เอ่ยถามว่า “เต้าเหยี่ย นางจะช่วยจ่ายค่าเช่าห้องให้พวกเราหรือขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวตอบ “คงใช่กระมัง! ชาของที่นี่ก็เป็นชาชั้นเลิศเช่นกัน เงินที่จ่ายไปคุ้มค่าแล้ว” พลางผายมือสื่อให้เขาดื่มชาด้วยกัน

หยวนฟางนั่งลงฝั่งตรงข้าม ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง ถามอีกครั้งว่า “พวกเราต้องพักอยู่ที่นี่ครึ่งปีหรือขอรับ? นางจะจ่ายค่าห้องครึ่งปีให้พวกเราอย่างนั้นหรือขอรับ?”

“นางจะจ่ายก็จ่าย ไม่จ่ายก็ช่าง พวกเราก็ไม่ได้เสียหายอะไรหนิ เจ้าจะกังวลใจไปทำไม?” หนิวโหย่วเต้ากลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง

“มีเรื่องดีเช่นนี้ด้วยหรือขอรับ?” หยวนฟางสงสัย แต่เขาก็พอจะมองออกเช่นกัน เต้าเหยี่ยเป็นคนที่คุ้ยเคยกับการบงการคน ไปที่ไหนก็สามารถบงการคนรอบตัวได้ตามอำเภอใจ คนที่เพิ่งเจอหน้ากันเมื่อครู่นี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่ก็ยังเรียกใช้งานอีกฝ่ายโดยไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย

เสี่ยวเอ้อที่รออยู่ในสวนด้านล่างเงยหน้ามองห้องพักชั้นบนอยู่เป็นระยะ เมื่อเห็นเฮยหมู่ตานที่เพิ่งเข้าไปไม่นานก็ออกมา จึงอดตะลึงขึ้นมาไม่ได้ โดนไล่ตะเพิดออกมาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?

เฮยหมู่ตานเร่งเดินออกจากโรงเตี๊ยมไป ไปหาพรรคพวกของตน

เมื่อทั้งกลุ่มมาถึงจุดลับตาแล้ว มีคนรีบเอ่ยถามทันที “ลูกพี่ ได้พบหรือไม่ เขาตกลงไหม?”

เฮยหมู่ตานตอบว่า “ได้พบแล้ว ยังไม่ได้เริ่มเจรจา ข้ามีเงินติดตัวไม่พอ พวกเจ้าจงไปรวบรวมเงินมาให้ข้าอีกแปดร้อยเหรียญทอง”

ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยด้วยความแปลกใจ “จะเอาเงินมากขนาดนี้ไปทำอะไร?”

เฮยหมู่ตานกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อึกอักอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยอ้อมแอ้มว่า “เขาจะพักอยู่ที่นี่ครึ่งปี แต่เพิ่งจ่ายค่าห้องไปแค่วันเดียว พวกเราจะออกส่วนที่เหลือให้เขาก่อน”

“……” คนในกลุ่มต่างมองนางด้วยความตกตะลึง ไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร

ด้วยเหตุนี้เฮยหมู่ตานจึงบอกเล่าเรื่องราวออกมาอย่างชัดเจนอีกครั้ง กระทั่งตัวนางที่เป็นคนพูดก็ยังไม่มีความมั่นใจเลย

“ห๊า!” คนทั้งกลุ่มอุทานขึ้นมาพร้อมกัน มองนางเหมือนมองดูคนโง่

มีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ลูกพี่ พวกเรามาหาเขาเพราะต้องการเงิน แล้วนี่ทำไมท่านกลับทำตรงกันข้ามล่ะ?”

อีกคนกล่าวว่า “พักหนึ่งวันเป็นเงินสิบเหรียญทอง พักครึ่งปีก็เท่ากับหนึ่งพันแปดร้อยเหรียญทอง”

มีคนเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ลูกพี่ ท่านเข้าใจผิดไปหรือเปล่า ยังไม่ทันได้เจรจาอะไรเลย ท่านก็จะช่วยออกค่าเช่าครึ่งปีให้เขาแล้ว ประเดี๋ยวถ้าเขาไม่ตอบตกลงจะทำอย่างไรล่ะ?”

มีคนเอ่ยเสริมว่า “ใช่! พวกเราก็ไม่ค่อยมีเงินอยู่แล้ว อีกฝ่ายเพิ่งมาถึงก็เข้าพักที่นี่แล้ว อีกทั้งยังกล้าเอ่ยปากเช่นนี้ มีความมั่นใจขนาดนี้ มิน่าใช่คนที่พวกเราจะไปหาเรื่องได้ หากว่าอีกฝ่ายไม่ตกลงขึ้นมา พวกเราก็อาจจะทำอะไรเขาไม่ได้ เงินจำนวนนี้คงจะเสียเปล่าแน่”

เฮยหมู่ตานเองก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน ที่ผ่านมาเป็นพวกนางที่หลอกลวงต้มตุ๋นผู้อื่นมาโดยตลอด วันนี้คล้ายจะเจอคนที่ร้ายกาจเข้าแล้ว ส่วนตนก็เหมือนกับเจอผีอย่างไรอย่างนั้น อีกฝ่ายพูดจาง่ายๆ สบายๆ แค่ประโยคเดียว ไม่ได้บังคับกดดัน ตนก็เป็นฝ่ายเสนอตัวรับปากจ่ายให้แล้ว ราวกับมีภูตผีดลใจก็มิปาน

“ข้าว่าเขาค่อนข้างน่าเชื่อถือ!” เฮยหมู่ตานเอ่ยอย่างหวั่นใจ

ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยว่า “น่าเชื่อถือหรือ? ลูกพี่ น่าเชื่อถือตรงไหนกัน? ข้าว่าคนผู้นี้ดูไม่คล้ายจะเป็นคนดี เหมือนพวกคนชั่วมากประสบการณ์มากกว่า อาจจะคิดมาหลอกเอาเงินพวกเราก็เป็นได้ พวกเราจะมาพลาดท่าง่ายๆ ไม่ได้นะ”

มีคนเอ่ยสนับสนุน “ใช่ๆ คนแบบนี้จะทำอะไรพวกเราไม่อาจรู้ได้เลย มีใครเขาทำแบบนี้บ้าง ช่างเถอะ สิบเหรียญทองที่เสียไปแล้วก็แล้วกันไป แต่เงินหนึ่งพันแปดร้อยเหรียญทองสำหรับคนไม่มีลู่ทางอะไรอย่างพวกเราไม่ใช่เงินน้อยๆ เลย ถ้าหลงกลเข้าไปได้จบเห่แน่”

อีกคนเอ่ยขึ้นว่า “คนผู้นี้เป็นใครกัน ชั่วร้ายเกินไปหรือเปล่า แม้แต่คนยากจนก็ยังไม่ละเว้น!”

เฮยหมู่ตานอับอายจนพาลโกรธ เอ่ยไปว่า “เลิกโอ้เอ้กันได้แล้ว เอาเงินมาซะ วันนี้ข้าขอเดิมพันดูสักครั้งแล้วกัน!”

ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยถาม “เดิมพันหรือ? เช่นนี้เรียกเดิมพันได้หรือ? ลูกพี่ ท่านไม่ได้กินยาผิดมาใช่ไหม คงมิใช่ว่าตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกพบกระมัง?”

เฮยหมู่ตานตอบโต้ว่า “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า? ถ้าพลาดขึ้นมาข้ารับผิดชอบเอง ต่อไปก็ให้หักจากส่วนของข้า!”

ลูกน้องคนหนึ่งกล่าวว่า “ลูกพี่ มิใช่เช่นนั้น แต่มีใครเขาทำแบบนี้กันบ้าง? นี่เขากำลังโกงพวกเราอยู่ชัดๆ!”

เฮยหมู่ตานเอ่ยว่า “เร็วเข้า ฝั่งนั้นกำลังคอยอยู่…” นางตะโกนอย่างหงุดหงิด ถึงขั้นยกเท้าถีบทุกคนไปสองสามที อารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อย เมื่อถูกหนิวโหย่วปั่นหัวจนไม่รู้จะทำอย่างไร นางจึงต้องกัดฟันเสี่ยงดวงดูสักครา ลองเดิมพันเหมือนที่นางพูดไป

สุดท้ายคนทั้งกลุ่มก็รวบรวมตั๋วแลกทองมูลค่าหนึ่งร้อยเหรียญแปดใบมาให้นางอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ละคนอิดออดทอดถอนใจ รู้สึกเหมือนเห็นนางกระโจนเข้ากองไฟทว่าไม่อาจรั้งตัวเอาไว้ได้

“ไปหา ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ มาหนึ่งเล่ม สุราชั้นดีอาหารเลิศรส จำไว้ ห้ามทำลวกๆ เอาสุราและอาหารอย่างดี! เออใช่ มีคนหนึ่งที่กินเจ เอาอาหารเจมาด้วย รีบไปซะ ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่ เร็วเข้า อย่าชักช้า” เฮยหมู่ตานไล่ตะเพิดไป

ลูกน้องคนหนึ่งโอดครวญว่า “จ่ายเงินให้เขาแล้วยังต้องเตรียมสุราอาหารชั้นดีให้ด้วยหรือ? นี่มันจะรังแกกันมากเกินไปแล้ว ลูกพี่ ท่านหลับหูหลับตาตกหลุมพรางไปได้อย่างไรเนี่ย!”

เฮยหมู่ตานยกเท้าถีบเขาจนเซไปทีหนึ่ง เอ่ยสั่งว่า “รีบไปซะ ได้ยินไหม?” รีบไล่พวกเขาออกไป

หลังจากเห็นทุกคนเดินหน้าเศร้าคอตกออกไปแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะยกสองมือขึ้นปิดหน้า นึกโมโหอยู่ในใจ ถามตัวเองเช่นกันว่ากินยาผิดไปหรือไม่

แต่สุดท้ายก็ยังยึดมั่นในการตัดสินใจของตน ตัดสินใจเดิมพันดูสักตา

นางสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง หันหลังเดินกลับไป กลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม เดินไปหยุดหน้าโต๊ะคิดเงิน ล้วงตั๋วแลกทองมูลค่าห้าร้อยเหรียญหนึ่งใบและมูลค่าหนึ่งร้อยเหรียญทองอีกสิบสามใบออกมา ยื่นส่งออกไป “เถ้าแก่ เช่าห้องหมายเลขสองครึ่งปี”

เถ้าแก่ตะลึงงัน รับตั๋วแลกทองสิบสี่ใบไปตรวจสอบความถูกต้องทีละใบ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหา ก็ถามด้วยความสงสัย “จ่ายค่าเช่าให้ห้องหมายเลขสองครึ่งปี เจ้าแน่ใจหรือ?”

เฮยหมู่ตานพยักหน้ายืนยันพลางเอ่ยว่า “เงินเป็นของปลอมหรือไง? หรือว่าจะไล่ตะเพิดข้าออกไปอีก?” ความอัปยศก่อนหน้านี้ ตอนนี้ได้ระบายออกไปด้วยเงินมากมายขนาดนี้ ทำให้นางเรียกความมั่นใจกลับมาได้แล้ว

เถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อที่อยู่ด้านข้างมองหน้ากัน หรือก่อนหน้านี้จะเข้าใจผิดไปจริงๆ?

เถ้าแก่หยิบสมุดบัญชีขึ้นมา บันทึกเงินจำนวนมากลงไป ตั้งใจเขียนใบเสร็จให้นางเป็นพิเศษ

เฮยหมู่ตานรับใบเสร็จมา รู้สึกว่าใบเสร็จที่อยู่ในมือค่อนข้างหนักอึ้ง นางเก็บไว้อย่างระมัดระวัง เสี่ยวเอ้อเชิญนางเข้าไปด้านในด้วยความสุภาพ นางวางท่าใส่ ไม่สนใจเขา หันหลังเดินออกจากโรงเตี๊ยมไป ยืนคอยอยู่นอกโรงเตี๊ยมรอพรรคพวกนำของมาส่งให้

เมื่อเผชิญหน้ากับรัตติกาลอันเวิ้งว้าง อารมณ์ของนางซับซ้อนขึ้นมาอย่างน่าประหลาด!

รออยู่พักหนึ่งพรรคพวกก็กลับมา ทยอยส่งมอบของให้นาง ยังคงมีท่าทางห่อเหี่ยวทอดถอนใจกันอยู่

เฮยหมู่ตานถือกล่องอาหารสองใบไว้ สาวเท้าเดินกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม

หยวนฟางเปิดประตูให้นางเข้าไปในห้อง

หลังจากเข้ามาด้านใน เฮยหมู่ตานวางข้าวของลง หยิบใบเสร็จออกมายื่นให้หนิวโหย่วเต้าก่อนพร้อมเอ่ยว่า “นี่คือใบเสร็จค่าเช่าห้องครึ่งปี”

หนิวโหย่วเต้ารับไปมองเล็กน้อย จากนั้นยื่นส่งให้หยวนฟาง “เก็บไว้ซะ”

หยวนฟางรับไปดูทันที หนึ่งพันแปดร้อยเหรียญทองหรือ? มุมปากกระตุกขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเถ้าแก่บอกไว้ว่าหากพักไม่ครบกำหนดสามารถขอคืนค่าส่วนต่างได้ นี่หมายความว่าตอนนี้พวกเขามีเงินหนึ่งพันแปดร้อยเหรียญทองอยู่ในมือ!

เขาหันหลังเดินออกไป ต้องไปตรวจสอบที่โถงรับแขกของโรงเตี๊ยมดูเสียหน่อยว่าใบเสร็จนี่เป็นของจริงหรือไม่

…………………………………………………