เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวแข็งทื่อในทันที ยังไม่ทันที่นางจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่โชคดีที่ชายคนนั้นขยับตัวไปด้านข้าง แล้วเอียงขาของตน จึงบังเอิญทำให้เสี้ยวหนึ่งของเสื้อคลุมสีขาวที่เขาสวมอยู่ปิดบังนางเอาไว้ได้ เขาไอเบาๆ ขณะถามว่า “องค์ชายยังมีเรื่องอันใดอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”

มุมปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยบึ้งตึง แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่การถาม แต่ก็ยังเผยความสง่างามน่าดึงดูดอย่างผู้ที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี “ตอนนี้ไม่มีแล้ว”

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าทำไม แต่นางก็ถึงกับแอบเหงื่อตกกับการกระทำเมื่อครู่ของตัวเอง

องค์ชายสามผู้นี้คิดจะล่อให้นางออกไปอีกแล้ว!

โชคยังดีที่พ่อหนุ่มขี้โรคคนนี้มีปฏิกิริยาตอบสนองได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งยังมีฝีมือการแสดงที่เก่งกาจไม่เลว ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เฮ้อ คนทั่วไปคงหมดหนทางที่จะรับมือกับผู้ชายคนนั้นได้แน่ๆ

เฮ่อเหลียนเวยเวยพลิกตัวนอนแนบกับพื้นพลางถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก มือข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าคาง ไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย

“เช่นนั้นกระหม่อมคงต้องขอตัวออกเดินทางต่อแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มยื่นมือออกไปปิดม่านรถม้าลง เขาก้มศีรษะ แล้วชำเลืองมองนาง จากนั้นจึงหันหน้าไปทางด้านนอกของรถม้าพลางสั่งเสียงเบาว่า “ลุงเหลียง ไปกันเถอะ”

ประตูเมืองเปิดออก พร้อมกับล้อรถม้าที่เคลื่อนไปบนพื้นดินทีละน้อย แต่ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกดังขึ้น

“ฝ่าบาท!”

เป็นเงาทมิฬนั่นเอง เขายื่นมือออกไปหมายจะพยุงไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่กำลังซวนเซ

แต่สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ทำให้การกระทำของเขาหยุดชะงักไป

“ฝ่าบาท…” แม้เขาจะแตะตัวอีกฝ่ายได้เพียงนิดเดียว แต่ความร้อนที่แผ่ออกมาอย่างช้าๆ จากร่างของผู้เป็นนายก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าสภาพร่างกายในตอนนี้ของเขาย่ำแย่เพียงใด

แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยสักคน

ฝ่าบาทเป็นคนที่แข็งแกร่ง และเป็นคนที่จะไม่มีวันเผยความอ่อนแอออกมาต่อหน้าคนอื่นเลยแม้แต่นิดเดียว

แม้กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังทำเพียงแค่ใช้นิ้วนวดขมับของตัวเองเท่านั้น คิ้วเรียวยาวของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย น้ำเสียงในยามที่ออกคำสั่งยังคงไร้อารมณ์เช่นเคย “ค้นหาต่อไป”

“แต่สุขภาพของฝ่าบาท…” ความกังวลฉายชัดอยู่ในดวงตาของเงาทมิฬ ตั้งแต่เหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในตอนนั้น ร่างกายของฝ่าบาทก็มีอาการป่วยมาตลอด และอาการป่วยแต่ละอย่างก็ล้วนแต่สามารถพรากเอาชีวิตของเขาไปได้ด้วยซ้ำ

แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับทำเพียงหมุนแหวนของตนช้าๆ “ข้าบอกว่าให้ค้นหาต่อไป”

“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬหลุบตาลงด้วยความเคารพเชื่อฟัง เขายกมือขึ้น พร้อมกับนำกำลังองครักษ์เงาที่เหลือออกตรวจตราทุกถนนภายในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว

รอจนกระทั่งรอบกายไม่มีใครอยู่ กิเลนอัคคีจึงปรากฏตัวออกมาจากมิติสวรรค์ แล้วกล่าวว่า “นายท่าน ท่านจำเป็นต้องพักผ่อนนะขอรับ”

“ม้าตัวเมื่อครู่ เป็นม้าลมทมิฬ” เสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเบาราวกับว่าเขาแค่กำลังพูดเรื่องที่เห็นกันได้ชัดๆ ออกมา

กิเลนอัคคีก้มหน้าลง “ไม่มีสิ่งใดสามารถเล็ดลอดสายตาของนายท่านไปได้เลย”

“ข้าไม่ได้มอง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้น แสงที่อยู่ในดวงตาของเขาราวกับหม่นไปบางส่วน “มันกระวนกระวายเพราะรู้สึกถึงการมีอยู่ของเจ้า”

กิเลนอัคคีสะดุ้งโหยง “นายท่าน ตาของท่าน”

“ตอนนี้ข้ามองไม่เห็น” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เฉกเช่นเคยราวกับว่าคนที่ตาบอดไม่ใช่เขา

กิเลนอัคคีขมวดคิ้วหนาของตนอย่างแรง ดังที่มันกล่าวไปเมื่อครู่ เหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่นั่นสร้างบาดแผลไว้ให้กับผู้เป็นนายของมันมากมาย จนออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ สถานการณ์เช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับนายท่านมาก่อน

บางครั้งยาวนานถึงสามวัน แต่บางครั้งก็สั้นเพียงแค่วันเดียว

เพียงแต่ระยะเวลาของอาการดูเหมือนจะสั้นลงเรื่อยๆ ก็ไม่รู้จะบอกว่าสถานการณ์นี้ดีหรือไม่ดีกันแน่

ไม่ว่าอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือห้ามให้ผู้ใดรู้โดยเด็ดขาดว่านายท่านอาการไม่ดี…

เฮ่อเหลียนเวยเวยที่หมอบอยู่ในรถม้าหันหน้ากลับไปมองเล็กน้อย ดวงตาของนางมีประกายแสงอันไม่รู้ที่มาปรากฏขึ้น คล้ายกับว่ามีบางสิ่งที่ดูแปลกไป

“หากแม่นางเสียใจ ท่านสามารถลงจากรถม้าเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้” น้ำเสียงของชายหนุ่มผู้นั้นอ่อนโยนอย่างมาก แต่ก็ให้ความรู้สึกผิดปกติอย่างประหลาด

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว “เสียใจหรือ” นางก็แค่รู้สึกว่าข้อได้เปรียบที่นางมีมันไม่ค่อยยุติธรรมเท่าใดนักต่างหาก ช่างเถอะ ถ้าเป็นองค์ชายสามในสภาพปกติ เขาคงพบว่านางซ่อนตัวอยู่ในรถม้าอย่างแน่นอน

เห็นได้ชัดว่าบางครั้งความโชคดีก็เป็นกุญแจสำคัญสู่ผลของการต่อสู้

ถึงแม้ตอนนี้สุขภาพร่างกายของนางจะไม่ได้ดีไปกว่าองค์ชายสามเลยก็ตาม

เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับไปนั่งบนเบาะนุ่มๆ แล้วเอนกายลงพิงเบาะ มุมหนึ่งในดวงตาของนางเผยความเหนื่อยล้าออกมาจนสังเกตเห็นได้

“ใครๆ ต่างก็อยากอภิเษกกับองค์ชายสามกันทั้งนั้น” ชายหนุ่มมองท่าทางของนาง เขาไม่คิดที่จะกลั้นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นตรงมุมปากเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกของเขาลื่นไหลราวกับเสียงธารน้ำไหลเอื่อย ท่าทางคล้ายกับเพียงแค่กำลังพูดความจริง

เส้นผมสีน้ำเงินเข้ม ไร้ซึ่งสีใดเจือปนทิ้งตัวลงบนไหล่ของเขาราวกับผ้าแพรราคาแพง เหนือคอเสื้อคือใบหน้าประหนึ่งหินหยกที่ทำให้ทุกชีวิตต้องพินอบพิเทา รูปร่างหน้าตาของเขาเป็นเช่นดวงดารา เป็นเหมือนฤดูใบไม้ผลิที่มาเยือนก่อนกำหนด และทำให้หิมะละลายจนหมดสิ้น ท่าทางที่คล้ายทั้งพอใจและไม่พอใจนั้นเป็นดั่งแสงที่แผ่บรรยากาศกดดันรุนแรงไปทั่วทั้งรถม้าคันนี้

ชายหนุ่มหน้าตาเช่นนี้ย่อมทำให้คนรู้สึกว่าเพียงแค่มองเฉยๆ เขาก็อาจจะมีมลทิน แต่กระนั้นพวกเขาก็อดคิดที่จะเข้าใกล้อีกฝ่ายไม่ได้

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองสำรวจชายหนุ่มในชุดสีขาวอีกครั้ง และเห็นเพียงแค่ว่าเขายังนั่งนิ่งไร้อารมณ์อยู่ตรงนั้นด้วยความรักสันโดษ ราวกับว่าต่อให้เขาไม่ทำอะไรเลย ก็ยังสามารถให้ความรู้สึกเป็นเหมือนสายลมที่สดชื่น

ใช่ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่เคยเจอคนประเภทนี้มาก่อน คนที่ภายนอกดูอ่อนแอเปราะบาง แต่ความจริงแล้วมีความสามารถมากพอที่จะกุมอำนาจฟ้าดินเอาไว้ในมือได้

ในจักรวรรดิจ้านหลง มีแค่คนเดียวที่ตรงกับภาพนี้ และนั่นก็คือชายผู้เป็นอันดับสองของเมือง คุณชายอู๋ซวงจากตระกูลขุนนางเหลียนเฉิง!

บอกไว้ก่อนว่าถึงตระกูลขุนนางเหลียนเฉิงจะไม่ใช่หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ แต่ก็เป็นหนึ่งในสกุลที่ลึกลับและสูงส่งที่สุดของจักรวรรดิจ้านหลง และดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ไป๋หลี่ที่ครองบัลลังก์อยู่ด้วย ทั้งสองตระกูลอาจจะมาจากต้นตระกูลเดียวกันก็เป็นได้

แม้ว่าทุกวันนี้คนในตระกูลจะอ่อนแอ แต่สมาชิกทุกคนในตระกูลต่างก็เป็นอัจฉริยะในด้านการสร้างอาวุธด้วยกันทั้งสิ้น

และในบรรดาคนของตระกูลเหลียนเฉิงอันสูงส่งนี้ บุตรชายคนโตนามว่าจิ่งอู๋ซวงก็เป็นคนที่มีฝีมือโดดเด่นที่สุด เขาได้รับการยอมรับตั้งแต่อายุยังน้อย และกลายเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเหลียนเฉิงได้อย่างเป็นเอกฉันท์

ตำแหน่งผู้สืบทอดของตระกูลเหลียนเฉิงนั้นจะตัดสินจากเพียงพรสวรรค์ โดยไม่ได้นำเรื่องความอาวุโสมารวมด้วย คนที่จะสามารถขึ้นเป็นประมุขของตระกูลได้นั้น จะต้องมีความสามารถพอที่จะชี้ชะตาของทุกคนในตระกูลได้!

ดังนั้นหากไม่รวมกับความจริงที่ว่าอาวุธที่เขาเป็นคนสร้างได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และพิจารณาจากแค่การที่เขาได้รับการยอมรับจากตระกูลขุนนางเหลียนเฉิงเพียงอย่างเดียวแล้ว ก็จินตนาการได้ไม่ยากเลยว่าความสามารถของผู้ชายคนนี้จะต้องโดดเด่นจนยากจะประเมินค่าได้อย่างแน่นอน!

“แม่นางจะไปที่ใดต่อหรือ” ชายหนุ่มพลิกม้วนกระดาษโบราณในมือ ที่กลางรถม้ามีกาน้ำชาถูกจัดเตรียมเอาไว้ ในกามีชาหอมกรุ่นอยู่ในนั้น ควันจากน้ำชาม้วนตัวเป็นวงกลม และลอยขึ้นในอากาศ พร้อมทั้งส่งกลิ่นหอมจางๆ ออกมา เขายิ้มให้เฮ่อเหลียนเวยเวย แม้รอยยิ้มนั้นจะมีความเหนื่อยล้าอยู่บ้างก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความสง่างามราวกับหลุดออกมาจากโลกอื่นของเขาน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว ท่าทางของเขาดูราวกับเทพบุตรที่เดินออกมาจากภาพวาดก็ไม่ปาน

ทีแรกเฮ่อเหลียนเวยเวยตั้งใจว่าจะข่มขู่ให้ผู้ชายคนนี้พานางไปที่งานประลองเจ้ายุทธ์ด้วย อย่างไรเสียเขาก็คือจิ่งอู๋ซวง และในฐานะที่เขาเป็นบุตรชายของผู้จัดงานประลองเจ้ายุทธ์ขึ้น และยังเป็นประเด็นร้อนของงานประลองเจ้ายุทธ์ในครั้งนี้อีก เขาจะต้องไปปรากฏตัวที่นั่นอย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้ขัดขืนนางเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำกลับยังช่วยเหลือนางเอาไว้มากมายถึงเพียงนี้

เฮ่อเหลียนเวยเวยก็นึกละอายที่จะโพล่งถ้อยคำโหดร้ายที่อยู่ในหัวออกไป ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่ตอบว่า “พอเลี้ยวตรงยอดเขาข้างหน้านั่น ท่านค่อยให้ข้าลงก็แล้วกัน”

ฝีเท้าของม้าลมทมิฬนั้นรวดเร็วยิ่งนัก

มันกางปีกบินขึ้นไปที่ยอดเขาได้ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ

หลังจากนั้น…

ชายหนุ่มคนนั้นหันหน้ามาทางเฮ่อเหลียนเวยเวยที่นั่งอยู่ข้างเขา แล้วชำเลืองมองนางขณะกระแอมไอออกมาสองครั้ง “ตอนนี้แม่นางควรลงจากรถได้แล้วมิใช่หรือ พวกเราชายหญิงอยู่กันสองต่อสอง ข้าไม่อยากทำลายชื่อเสียงของแม่นาง”

เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็ไม่ใช่คนหน้าด้านหน้าทน และพอจะเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายได้บ้าง

คำพูดนั้นฟังดูเหมือนว่าเขากำลังกลัวว่านางจะฉวยโอกาสเข้าใกล้เขามากกว่า

คนสมัยก่อนนั้นสลับซับซ้อนกว่าที่คนสมัยใหม่คิด เขายังอายุไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ แต่กลับคิดว่าผู้หญิงทั้งโลกจะเข้าหาเขาเพียงเพราะต้องการบางสิ่งจากเขาอย่างนั้นหรือ

เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วยืดตัวขึ้น ขณะที่ทำเช่นนั้น นางก็โยนเงินสิบตำลึงเงินลงบนโต๊ะ “เป็นค่าตอบแทนแทนคำขอบคุณ ขอบคุณคุณชายจิ่งยิ่งนักที่ช่วยข้าไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ แล้วพบกันใหม่”

ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย เมื่อครู่นางเพิ่งจะเรียกเขาว่าคุณชายจิ่ง…