ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ซีเว่ยเฝ้าดูตอนที่มาร์นี่หลอกพวกลัทธิกระดูกเน่าและมุ่งหน้าไปยังค่ายผู้ลี้ภัย

เหตุผลที่เขามอบเควสนี้ให้ลีอาก็เพราะเขาได้ค้นพบว่าพวกลัทธิไม่ได้วางแผนที่จะฆ่าเธอ แต่จะสังเวยเธอเป็นเครื่องบูชาแบบเป็น ๆ ให้กับเทพเจ้ากระดูกเน่า

เขาสามารถเดาความคิดของเทพเจ้ากระดูกเน่าได้ในทันที มันก็เหมือนกับตัวเขาเอง เทพเจ้าชั่วร้ายมักจะกินเทพเจ้าที่อ่อนแอกว่าเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเอง

ส่วนระบบที่เธอมีก็ไม่ได้สำคัญอะไร เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่ผู้ศรัทธาทุกคนจะมีพรของเทพเจ้าในตัวของพวกเขา และเทพที่อ่อนแออย่างเทพเจ้ากระดูกเน่าก็ไม่อาจค้นพบอะไรจากระบบได้

ถึงซีเว่ยจะเชื่อว่าตอนนี้เขามีความสามารถในการต่อสู้แล้ว แต่เขาก็ยังค่อนข้างระวังตัว เขาได้วางแผนและเตรียมการเพื่อให้ตัวเองปลอดภัยและป้องกันไม่ให้เทพเจ้ากระดูกเน่าติดตามพลังของลีอามาจนถึงตัวเขาได้ เขาจึงได้ออกเควสให้เธอหลบหนีแทน

“ด้วยวิธีนี้มันจะปูทางไปสู่ความสำเร็จ ฉันจะพร้อมเมื่อลีอากลับไปถึงเมืองเริ่มต้น อีกไม่นานก็จะถึงเวลาเอาคืนพวกลัทธิที่รังแกผู้ศรัทธาของฉันแล้ว ฉันพร้อมที่จะสู้กับเทพเจ้าชั่วร้ายระดับลูกกระจ๊อกแล้ว” ซีเว่ยเกาคางด้วยหนวดของเขา

ตอนนี้เขามีพลังงานเทพเจ้าเพียงพอที่จะเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้ว แต่เขาก็ต้องหยุดความคิดนั้นเอาไว้ก่อนเพราะภัยคุกคามจากเทพเจ้ากระดูกเน่า เขาเริ่มเตรียมกลยุทธ์บางอย่างเพื่อต่อกรกับพวกลัทธิ

“ปัญหาฝั่งวิคกิดอร์ก็เรียบร้อยไปแล้ว ไปดูเมืองเริ่มต้นแล้วกัน…”

เมืองเล็ก ๆ นี้กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน

กลุ่มแนวหน้าก็สามารถสำรวจหุบเขาแห่งความตายได้ 5% แล้ว พวกเขากำลังหยุดพักวันหนึ่ง พวกเขาวางแผนที่จะไปต่อหลังจากนี้ให้ถึง 6% ยิ่งไปกว่านั้นมอนสเตอร์เกือบทุกตัวที่พวกเขาสามารถเข้าถึงได้ตั้งแต่ทางเข้าหุบเขาจนถึงระยะ 2% นั้นถูกฆ่าโดยผู้เล่นทั่วไปคนอื่น ๆ แล้ว และผู้เล่นทั่วไปกำลังเดินเข้าสู่เปอร์เซ็นต์ที่ 3

แต่ความสนใจของซีเว่ยก็ถูกดึงไปที่กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ‘สมาคมลับแห่งดวงตา’ ที่ซุ่มซ่อนอยู่ใกล้กับเมืองเริ่มต้น

สมาคมลับแห่งดวงตาต่างจากลัทธิกระดูกเน่า มันเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นผลกำไร พวกเขาไม่ได้มีศรัทธาเดียวกัน แม้ไม่รู้ว่ามันก่อตั้งขึ้นได้อย่างไร แต่คนกลุ่มนี้ก็มีจำนวนและความสามารถในการต่อสู้ระดับที่สูงกว่าผู้เล่นในปัจจุบัน

บังเอิญว่าลัทธิกระดูกเน่าและสมาคมลับแห่งดวงตา ได้กลายเป็นอุปสรรค 2 ชิ้นของศาสนจักรเทพเจ้าแห่งเกม พวกลัทธิกระดูกเน่าไม่มีความสามารถเมื่อเทียบกับผู้เล่น แต่เทพเจ้าชั่วร้ายของลัทธิกระดูกเน่ากลับเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อซีเว่ย ในทางกลับกัน สมาคมลับแห่งดวงตาไม่สามารถคุกคามซีเว่ยได้ แต่พวกเขากลับเป็นภัยคุกคามอย่างมากต่อผู้เล่นในเมืองเริ่มต้น

เอ็ดเวิร์ดไม่ได้นิ่งนอนใจแม้ว่าปาร์ตี้แนวหน้าของเขาจะหยุดพักหนึ่งวัน เขาได้รับเควสใหม่จากแองโกร่าให้ไปตรวจสอบสมาคมลับแห่งดวงตา ซึ่งเขาได้รับเควสมาช้าไปหน่อยเพราะขุนนางหนุ่มกำลังมีงานเลี้ยงฉลอง

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือมีพวกปัญญาอ่อน 2 คนที่แองโกร่าได้มอบหมายเควสเดียวกันนี้ไปให้ แม้ตัวแองโกร่าเองจะไม่ได้คาดหวังอะไรจากพวกปัญญาอ่อน 2 คนนี้ แต่พวกเขากลับสะดุดเข้ากับฐานของสมาคมลับแห่งดวงตาที่อยู่ใกล้กับเมืองเริ่มต้น แม้ว่าพวกเขาจะถูกฆ่า แต่การค้นพบของพวกเขาก็ได้ถูกส่งต่อมายังแองโกร่า เพราะพวกเขาสามารถทำเควสได้สำเร็จผ่านคอมพิวเตอร์ (win98) ของซีเว่ย

ในทางกลับกัน แองโกร่าก็ได้ส่งข้อมูลนี้และรายละเอียดเควสให้กับเอ็ดเวิร์ด

เอ็ดเวิร์ดนั้นแตกต่างจากผู้เล่นบ้าบอสองคนที่เดินดุ่ม ๆ เข้าไปในฐานของศัตรู เขาแทรกซึมเข้าไปในฐานอย่างเงียบเชียบ แม้ซีเว่ยจะไม่ได้สร้างคลาสโจรขึ้นมาเป็นคลาสพื้นฐาน แต่เอ็ดเวิร์ดที่เป็นเมจก็มีความสามารถในการปรับตัวให้กลืนไปกับสภาพแวดล้อมได้ดี มันเป็นคลาสที่ดีที่สุดรองจากเรนเจอร์ในเรื่องนี้

‘มีสองคนที่ทางเดินข้างหน้า ข้าจะฆ่าพวกเขาแบบเงียบ ๆ เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้!’ เอ็ดเวิร์ดซ่อนตัวอยู่ในช่องระบายอากาศด้วยร่ายกายที่ยังไม่โตของเขา เขาเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยขณะที่เขาพยายามลอบฟังบทสนทนาของพวกสมาคมลับ

หลังจากผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง เอ็ดเวิร์ดก็ไม่ใช่พรานมือใหม่ที่เพิ่งออกจากหมู่บ้านอีกต่อไป

เมื่อเขาแทรกซึมเข้าไปในฐานของศัตรู เขาก็รู้ทันทีว่าที่นี่ไม่มีใครมือสะอาด พวกเขากำลังขายยาหลอนประสาทที่จะทำลายผู้อื่นและทำการค้าทาส พวกเขาจะใช้ทาสที่ขายไม่ออกมาทดสอบมนต์ดำและยาหลอนประสาทชนิดใหม่ ในขณะที่ทาสที่ตายแล้วจะถูกเก็บอวัยวะและขายให้กับพวกลัทธิเป็นเครื่องมือในการประกอบพิธีกรรม…สิ่งที่เขาเห็น ทำให้เอ็ดเวิร์ดแทบอยากจะเผาที่นี่ให้เป็นจุล

จากสิ่งที่เขาได้เห็น เอ็ดเวิร์ดก็ไม่รู้สึกผิดสักนิดหากเขาต้องฆ่าทุกคนที่นี่จนหมด

ขณะนั้น บทสนทนาของผู้ชายสองคนด้านล่างก็ดังขึ้น

“ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาจับผู้ชาย 2 คนที่พยายามลอบเข้ามาในฐานได้”

“ข่าวเจ้าเก่าไปแล้ว คนพวกนั้นตายแล้ว”

“ตาย? ทำไมถึงไม่จับพวกมันมาเป็นทาสล่ะ แทนที่จะฆ่าทิ้งเรายังหาเงินจากมันได้นี่”

“เจ้าไม่เข้าใจ หัวหน้าแส้ดำพยายามคุยกับพวกมันและทรมานพวกมันเพื่อถามว่าใครจ้างพวกมันมา หลังจากที่เค้นความจริงได้แล้ว เราก็อาจจะเอาพวกมันไปขายเป็นทาส”

“แล้ว? พวกมันยอมตายโดยไม่พูดอะไรเลยเหรอ”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิ”

“อะไร? เกิดอะไรขึ้น?”

“แม้ว่าหนึ่งในนั้นจะถูกจับและถูกทรมานด้วยแส้เหล็ก แต่มันก็ยังพยายามเล่าเรื่องตลก มันไม่เพียงจะไม่ปิดปากเงียบ มันกลับพยายามหาข้อมูลจากหัวหน้าแส้ดำ แม้ว่ามันจะถูกทรมานสีหน้ามันก็เหมือนว่ามันไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย…”

“คนอะไรจะแกร่งขนาดนั้น แล้วอีกคนล่ะ?”

“เขา…หัวเราะ”

“หัวเราะ? หรือว่ากำลังยิ้มเยาะ?”

“ไม่ หัวเราะอย่างบ้าคลั่งเลยล่ะ มันเหมือนเขาเป็นพวกเส้นตื้น เขาหัวเราะเพราะพื่อนข้าง ๆ กำลังเล่าเรื่องตลก”

“…”

“ในที่สุดหัวหน้าแส้ดำก็ตะคอกใส่คนที่เล่าเรื่องตลกด้วยความโกรธ และเตรียมจะสับเขา!”

“ว้าว ในที่สุดเขาก็กลัวแล้วใช่ไหม”

“ไม่ คำพูดสุดท้ายของเขาคือ ‘เดี๋ยวก่อน! ให้ข้าพูดให้จบก่อน เจ้าจะต้องหัวเราะออกมาดัง ๆ แน่!’”

“เขาบ้าเหรอ? แต่อีกคนต้องกลัวมากแน่”

“ไม่ เมื่อเขาเห็นหัวเพื่อนของเขาหล่นลงพื้น เขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม!”

“บ้าอะไรเนี่ย…”

“คำพูดของเขาคือ ‘ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้โง่ ข้าตลกมาก ข้ากำลังจะขำตาย!’”

“???”

“ใช่ จากนั้นแส้ดำก็ฆ่าเขาด้วย”

“…พวกเขามาจากไหนกัน”

“มีแค่พระเจ้าที่รู้ แต่แส้ดำบอกเราว่าพวกงี่เง่าคนอื่นต้องอยู่แถว ๆ นี้แน่ เราต้องจริงจังกับการลาดตระเวนให้มากขึ้น”

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินผ่านช่องระบายอากาศแคบ ๆ ร่างสีดำก็กระโดดออกมา ก่อนที่สองคนนั้นจะทันได้ตอบสนอง คนหนึ่งก็ถูกเผาจนเป็นฝุ่น อีกคนหนึ่งก็กลายเป็นก้อนน้ำแข็งและแตกเป็นเสี่ยง ๆ

เอ็ดเวิร์ดจ้องมองศพอย่างเย็นชา เขาถอนหายใจแล้วพูดออกมาเบา ๆ ว่า “เจ้ารู้มากเกินไป”

——————————————————————————————————————————————————————–